สำนักงานประกันสังคม ดูจะเป็นหน่วยงานที่ถูกทวงถามถึงบทบาทการทำงานมากที่สุด ว่าในช่วงวิกฤตที่ผ่านมานั้น ได้ทำอะไรหรือไม่ ทั้งที่ในความเป็นจริง ตามกฎหมาย บทบาท หน้าที่ หน่วยงานนี้ ควรจะ ‘ขยับ’ เร็วที่สุด เมื่อยามเกิดวิกฤต
เพราะต้องไม่ลืมว่า ประกันสังคม ไม่ใช่สวัสดิการที่รัฐให้ฟรีๆ แต่เกิดจากการจ่ายสมทบร่วมกัน ในรูปแบบไตรภาคี คือรัฐ นายจ้าง และลูกจ้าง โดยสำนักงานประกันสังคมดูแลสวัสดิการหลัก คือการรักษาพยาบาล ชดเชยกรณีเลิกจ้าง ว่างงาน ช่วยเหลือกรณีคลอดบุตร ทุพพลภาพ และจ่ายบำนาญชราภาพ ปัจจุบันกองทุนประกันสังคม มีเงินรวมประมาณ 2.1 ล้านล้านบาท นำไปลงทุน 94% โดยยืนยันว่า มีฐานะเพียงพอ ไม่ง่อนแง่น
ปัจจุบันสำนักงานประกันสังคม ดูแลผู้ประกันตน ซึ่งอยู่ในภาคแรงงานในระบบที่เป็นลูกจ้างทำงานในสถานประกอบการ ผู้ประกันตนภาคสมัครใจ ที่เคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือ ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และผู้ประกันตนประกอบอาชีพอิสระ หรือผู้ประกันตนตามมาตรา 40 รวมเป็นเลขกลมๆ ทั้ง 3 กลุ่ม แล้วประมาณ 17 ล้านคน
สิ่งที่ประกันสังคมทำไปแล้วในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา หลัง COVID-19 ได้แก่การ ‘ลดเงินสมทบ’ การเพิ่มการจ่ายเงินกรณีถูกเลิกจ้างกะทันหัน หรือหน่วยงานรัฐสั่งให้นายจ้างหยุดประกอบกิจการ ซึ่งในแง่เงินช่วยเหลือ ก็หมายความว่าจะต้องไม่มีงานทำในช่วงเวลานี้ หรือถูกเลิกจ้างเท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าถึงการช่วยเหลือโดยสำนักงานประกันสังคมได้
(2)
คำถามก็คือว่า แล้วผู้ที่เป็น ‘มนุษย์เงินเดือน’ เป็น ‘ลูกจ้างประจำ’ ที่จ่ายเงินสมทบประกันสังคมทุกเดือน ไม่ได้ถูกสั่งปิดกิจการ แต่ถูก ‘ลดเงินเดือน’ เพราะวิกฤตครั้งนี้ เช่น พนักงานสายการบิน พนักงานในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ อย่าง ธุรกิจห้างสรรพสินค้า ธุรกิจโรงหนัง ธุรกิจอีเวนต์ – ออแกไนเซอร์ ธุรกิจสื่อ ธุรกิจบันเทิง พนักงานร้านอาหาร พนักงานโรงแรม พนักงานบริษัทที่อยู่ในภาคการท่องเที่ยว ฯลฯ ระบบประกันสังคม และระบบสวัสดิการอื่นของรัฐจะยื่นมือไปช่วยอย่างไร นอกจากแค่ ‘ลดเงินสมทบ’
เพราะต้องไม่ลืมว่า คนกลุ่มนี้ยังคงสถานะเป็นพนักงานประจำ ไม่ได้ถูกเลิกจ้าง แต่บางคนถูกตัดเงิน 20% บางคนถูกตัดเงิน 50% หรือมากกว่านั้นก็มี เพราะคนจำนวนหนึ่งมีรายได้โดยอิงกับ ‘ค่าแรง’ จากการทำงาน ค่าคอมมิชชัน หรือค่าล่วงเวลา มีเงินเดือนเป็นฐานเท่านั้น เมื่อไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ก็ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทั้งหมดนี้ ยังไม่นับรวมธุรกิจอีกหลายอย่างที่ไม่ได้ถูกสั่งปิด แต่นายจ้าง และผู้ประกอบการได้รับผลกระทบ ‘ทางอ้อม’ จากการล็อกดาวน์ ทำให้รายได้ต่อเดือนลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งนายจ้างก็เข้าไม่ถึงการเยียวยาด้วยมาตรการรัฐอื่น นอกจาก ‘สินเชื่อ’ เร่งด่วน และลูกจ้างของธุรกิจเหล่านี้ก็ไปไม่ถึงการเยียวยา เพราะไม่มีคำสั่งปิดกิจการอย่างเป็นทางการ
สิ่งที่น่าเศร้าก็คือ แม้คนทุกกลุ่มข้างต้นจะเคยส่งเงินสมทบ
เข้ากองทุนประกันสังคมทุกเดือน จนถึงบัดนี้กลับเข้าไม่ถึงความช่วยเหลือใดๆ
และเมื่อคนกลุ่มนี้ ไปลงทะเบียนขอรับสิทธิ์ สิ่งที่ระบบ AI ตอบกลับมาก็คือ ท่านไม่ได้สิทธิ์ เพราะท่านไม่ได้รับผลกระทบ
วันที่ 22 เมษายน ที่ผ่านมา สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยผลสำรวจปัญหาและความต้องการของภาคธุรกิจ พบว่าภาพรวมทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นนายจ้าง แรงงาน ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และผู้ว่างงาน 88% ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากมาตรการรัฐ เพราะติดเงื่อนไขซับซ้อน ส่วน 12% ได้รับความช่วยเหลือแล้ว แต่ก็เห็นว่ามาตรการช่วยเหลือยังไม่เพียงพอ
หากลงมาเดินถนนจริง รัฐบาลก็น่าจะได้เสียงตอบรับแบบเดียวกัน เพราะในช่วงวิกฤตรอบนี้ ทุกคนล้วนได้รับผลกระทบกันอย่างเสมอหน้า และในมาตรการเยียวยาจากรัฐ ก็ไม่ควรมีใครต้องถูกตัดออกไปแม้แต่คนเดียว
(3)
หันไปดูมาตรการหลายประเทศทั่วโลก การ ‘แจกเงิน’ เพื่อช่วยเหลือในยามยากลำบาก และทำให้เศรษฐกิจยังเดินต่อไปได้ ทั้งในรูปแบบของ universal basic income หรือเงินเดือนขั้นพื้นฐาน หรือการช่วยจ่ายเงินทดแทนผู้ที่ขาดรายได้
ในญี่ปุ่นนั้น มีการจ่ายเงินเยียวยาลงไปถึงประชากรทุกคนทั่วประเทศคนละ 1 แสนเยน (ประมาณ 3 หมื่นบาท) ด้วยเหตุที่ว่าไม่สามารถประกอบอาชีพได้ปกติ ส่วนฮ่องกง แจกเงินให้กับประชากรอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป คนละ 1 หมื่นดอลลาร์ (ประมาณคนละ 4 หมื่นบาท)
หรือในมาเลเซีย ประเทศเพื่อนบ้านเรา ก็จ่ายเงินช่วยเหลือทั้งผู้ที่มีรายได้น้อย รายได้ปานกลาง ไปจนถึงข้าราชการ – ข้าราชการบำนาญ และพนักงานบริษัทรายได้น้อยที่มีรายได้ลดลง ในจำนวนที่ลดหลั่นกันไป ซ้ำยังเตรียมใช้มาตรการเข้ม ‘บังคับ’ ไม่ให้นายจ้างลดเงินเดือนลูกจ้างอีกต่างหาก
หลายประเทศทั่วโลก มีมาตรการทั้งโปรยเงินแบบถ้วนหน้า และในมาตรการที่แยกย่อย – ลงไปเฉพาะกลุ่ม ไม่ต้องให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาเรียกร้องทีหลังว่าเงินไปไม่ถึง
ส่วนของไทยนั้น มีข้อเสนอแบบเดียวกัน จากทั้งนักการเมือง และจากนักวิชาการ ให้จ่ายในรูปแบบที่คล้ายกัน คือให้ทุกคนที่อายุ 18 ปีขึ้นไป 3,000 บาทต่อคน ติดต่อกัน 3 เดือน ซึ่งก็ถูก สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ปัดตกทันที ว่า ‘คงต้องกู้ยันตาย’ ที่สะท้อนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากการบอกว่า รัฐบาลไม่มีเงิน
(4)
เมื่อเป็นแบบนี้ ในเวลาวิกฤตที่ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่ามีผลกระทบกับประชาชนทุกระดับ และจะร้ายแรงกว่าวิกฤต ‘ต้มยำกุ้ง’ เมื่อ 23 ปีก่อน เสียงทวงถามการ ‘ดึงเงิน’ จากกองทุนประกันสังคมมูลค่า 2 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นเงินก้อนใหญ่ในกองทุน เป็นเงินสมทบจากผู้ประกันตน ทั้งมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 และเงินสมทบจากนายจ้าง ซึ่งรัฐบังคับให้จ่ายตามกฎหมาย ออกมาใช้ และออกมาช่วยเยียวยา อย่างน้อยก็เป็น ‘เงินยืม’ หรือเป็น ‘สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ’ จึงดังมากขึ้นเรื่อยๆ
แน่นอน สิ่งที่สำนักงานประกันสังคม และที่รัฐบาลตอบกลับเช่นกัน ก็คือกฎหมายไม่อนุญาต และโดยหลักการ เงินชดเชยจากประกันสังคม ต้องเป็นเรื่อง ‘เหตุฉุกเฉิน’ ตามที่ระบุไว้ในกฎหมาย คือเรื่องทุพพลภาพ และตายเท่านั้น ไม่ได้รวมถึงเรื่องอดตาย
ขณะเดียวกัน ในเวลานี้ กองทุนประกันสังคม ยังมีความเสี่ยง ยังต้องลุ้นกันทุกวี่วันว่า ‘บำนาญชราภาพ’ ที่ประกันสังคมต้องจ่ายให้ผู้ประกันตนหลังอายุ 60 ไปจนสิ้นอายุขัยนั้น จะเพียงพอหรือไม่ เพราะในระยะยาวอีก 20 – 30 ปีข้างหน้า สัดส่วนการจ่ายบำนาญชราภาพ จะสูงกว่าการเก็บเงินสมทบเข้ากองทุนชัดเจน จากจำนวนประชากรผู้สูงอายุ ที่อายุขัยเฉลี่ยประชากรสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตรงกันข้ามกับวัยแรงงาน และวัยแรงงานในอนาคตที่มีแต่จะลดลง
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเรื่องของอนาคตที่ยาวไกล เพราะต้องไม่ลืมว่า กองทุนประกันสังคม ยังสามารถเขยิบเพดาน การจ่ายเงินสมทบได้ ปรับรูปแบบการจัดระบบบำนาญชราภาพได้ และการที่กองทุนฯ ยังมีเงินกองรออยู่ในมูลค่า 2 ล้านล้านบาท ก็ยังทำอะไรได้อีกเยอะ ก่อนจะถึงเวลาที่ต้องจ่ายยบำนาญชราภาพในอนาคตข้างหน้า..
ตรงกันข้ามกับ ภาค ‘นายจ้าง’ และ ‘ลูกจ้าง’ ที่ ณ วันนี้ หลายคนอยู่ในลมหายใจสุดท้าย ใช้เงินต่อเงิน เพื่อหมุนให้ยังใช้ชีวิตต่อไปได้
(5)
อีกส่วนหนึ่งที่มีเสียงเรียกร้องมานาน ก็คือการผูกประกันสังคมไว้ที่กระทรวงแรงงาน กระทรวงเกรดซี ที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ
รอบนี้ เห็นได้ชัดว่าในภาวะวิกฤต การที่ประกันสังคมอยู่ภายใต้พรรคร่วมรัฐบาล ทำให้เงินเยียวยาหลายอย่างที่ควรจะรวมในแพคเกจตั้งแต่แรก กลายเป็นเรื่องที่ขยับเขยื้อนช้า ต้องไปขอเงินจากรัฐบาลเพิ่มทีหลัง และทำให้ลูกจ้างในระบบประกันสังคมได้รับเงินช้าตามไปด้วย
เอาง่ายๆ ว่ากว่าจะเพิ่มสิทธิได้รับเงินทดแทนในกรณีว่างงานจาก 50% เป็น 62% ยังต้องใช้เวลานานหลายสัปดาห์ และการขยายแพคเกจนั้น ก็ต้องลุ้นกันเต็มที่ว่าพรรคการเมืองหลักของรัฐบาล จะ ‘เอาด้วย’ หรือไม่ ทั้งที่กระทรวงแรงงาน และประกันสังคม
ถือเป็นหน่วยงานที่ดูแลสวัสดิการคนกลุ่มหลักของประเทศนี้
ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจาก COVID-19
ที่สำคัญอีกอย่างก็คือวิธีคิดของหน่วยงานนี้ โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่า ไม่ได้เป็นการดูแลสวัสดิการและเยียวยาแรงงาน ในสิ่งที่พวกเขาควรจะได้ และเอาเงินมาฝากกับกองทุนนี้เป็นเวลาเนิ่นนาน แต่เป็นการทำตัวเสมือนหนึ่งเป็น ‘เจ้าของ’ เงินและเป็นผู้ที่มีคุณูปการ เอาเงินของลูกจ้าง – แรงงาน ไปลงทุนจนงอกเงยเต็มไปหมด
เพราะฉะนั้น จะดีกว่าหรือไม่ หากทำให้สำนักงานประกันสังคมเป็นอิสระมากกว่านี้ เป็นของประชาชนมากกว่านี้ เพื่อให้การตัดสินใจช่วยเหลือ เป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องติดขัดกับระบบรัฐราชการ
ถามว่าประกันสังคม มีความสามารถจริงหรือไม่ในการบริหาร ก็อาจจะจริง เพราะจำนวนเงินสะสมถือว่าอยู่ในฐานะมั่นคง (แม้ข้อมูลล่าสุด จะเก็บเงินจากฝั่งรัฐบาลไม่ได้ถึง 8.7 หมื่นล้านบาท) แต่ในแง่หนึ่ง สำนักงานประกันสังคม ไม่ใช่ ‘เจ้าของ’ เงินนี้แน่ๆ เพราะเงินก้อนใหญ่ ล้วนมาจากที่เก็บจากลูกจ้าง – นายจ้าง ตามที่รัฐบังคับ
เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดโรคระบาดที่กระทบเศรษฐกิจกับประชาชนทุกระดับไปมากขนาดนี้ ก็ไม่ควรจะผูกความเป็นเจ้าของ ผูกกฎหมาย แล้วออกมาบอกว่าได้ ‘ช่วยสังคม’ แล้ว ทั้งที่มีอีกหลายเรื่องที่ควรจะเอาเงินของลูกจ้างที่อยู่ในกองทุน ออกมาทำอะไรได้มากกว่านี้
หลังจากนี้ อาจ ‘ให้ยืม’ เงินของตัวเองในอนาคต หรือ ‘ปล่อยกู้’ ดอกเบี้ยต่ำ และเปิดโอกาสให้ ‘ถอน’ ออกจากกองทุน ความจริงผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคม ก็ควรมีสิทธิ์ที่จะทำได้ทั้งสิ้น มากกว่าปล่อยให้กฎหมายเป็นตัวรั้ง
แล้วถ้าหากติดปัญหาที่กฎหมาย ก็ควรจะเร่งแก้กฎหมาย เพราะหลังจากนี้ เราจะเจอวิกฤตหนัก และเงินจะฝืดมากขึ้น เกินกว่าที่ทุกคนจะจินตนาการ
การจัดระบบสวัสดิการใหม่ โดยเริ่มต้นจากระบบประกันสังคม ซึ่งมีข้อมูลผู้ประกันตน ข้อมูลนายจ้างเป็นฐานควรต้องเร่งทำ แล้วระบบสวัสดิการในกรณีภาวะวิกฤตแบบนี้ ก็ควรจะคิดเรื่องความ ‘ถ้วนหน้า’ มากขึ้น มากกว่าจะแบ่งกลุ่ม มากกว่าจะให้ไปลงทะเบียนยุ่งยาก ซึ่งแน่นอนจะมีผู้ที่ตกหล่นอีกมาก
หากเห็นคุณค่าในคนทุกคนเท่ากัน และทุกกลุ่มล้วนมีคุณูปการต่อระบบเศรษฐกิจภาพใหญ่เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นฟรีแลนซ์ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร หรือมนุษย์เงินเดือนที่จ่ายเงินสมทบทุกเดือน ก็ควรจะจัดการเยียวยาให้ตรงจุดเสียที
มิเช่นนั้น เราก็จะมีปัญหาแบบนี้เรื่อยๆ แล้วก็ต้องมาตามแก้ใหม่ทุกครั้งไป โดยที่มีคนอดตาย หรือถูกเขี่ยออกจากสวัสดิการภาพใหญ่ ทั้งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย…