“จะว่าเป็นสื่อใหม่อย่างนั้นก็ได้ครับ เรามีหลายแพลตฟอร์มที่คนในยุคสมัยนี้สนใจ แล้วเราเป็นสำนักข่าวที่เกิดขึ้นโดยที่ไม่พึ่งพาระบบเดิมๆ” เคน-นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ บรรณาธิการบริหาร สำนักข่าวออนไลน์ ‘The Standard’ บอกกับเราด้วยรอยยิ้มเมื่อเริ่มต้นบทสนทนา
ออฟฟิศบรรยากาศสบายๆ (จนหลายคนอิจฉา) กลางย่าน RCA อันเป็นจุดนัดพบนั้น ตั้งขึ้นเมื่อกลางปี 2017 พร้อมกับการประกาศเปิด The Standard ในฐานะสำนักข่าวออนไลน์แห่งใหม่ และสโลแกนที่ฟังดูขึงขังจริงจังอย่าง ‘Stand up for the people’
ในวันที่เราทิ้งตัวลงบนโซฟาคุยกับ เคน-นครินทร์ สำนักข่าวแห่งนี้ผ่านเข้าสู่ช่วงเดือนที่ 8 แล้ว พร้อมกับผลงานมากมายบนแพลตฟอร์มอันหลากหลาย จนมั่นใจว่าอย่างน้อยทุกคนต้องเคยผ่านตาคลิปวิดีโอ บทความ นิตยสาร หรือพอดแคสต์ (อันนี้อาจจะผ่านหู) ของ The Standard กันบ้างล่ะ
“ระยะยาวเราก็อยากเป็นสถาบันข่าวที่น่าเชื่อถือเหมือน The New York Times นะ” นั่นคือหนึ่งในคำตอบของเคน-นครินทร์ ในวันที่ Young MATTER ชวนเขาคุยเกี่ยวกับมาตรฐานของสำนักข่าวออนไลน์ และความท้าทายที่ The Standard อยากไปให้ถึง
ทำไมใช้ชื่อว่า The Standard หมายถึง ‘มาตรฐาน’ หรือเปล่า
ถ้าแปลตรงๆ ก็คือมาตรฐานนะ แต่คำว่า ‘มาตรฐาน’ ที่เราต้องการสื่อคืออะไรที่มันกลางๆ ปกติ อยู่ในชีวิตผู้คนทั่วไป หรือจะแปลเป็นมาตรฐานของการทำข่าวที่สร้างสรรค์และน่าเชื่อถือที่ทีมเรายึดถือก็ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะสร้างมาตรฐานใหม่อะไรให้ใครนะ ไม่ใช่แบบนั้น
แล้วคอนเซ็ปต์ ‘Stand up for the people’ ล่ะ
มันมาจากคอนเซ็ปต์ของสำนักข่าวตั้งแต่ร้อยปีที่แล้วที่ว่า “สื่อที่ดีคือสื่อที่เกิดมารับใช้ประชาชน” แต่คำว่า ‘รับใช้ประชาชน’ ของเราไม่ได้มีความหมายเชิงการเมืองเพียงอย่างเดียวนะ โอเค เราเป็นกระบอกเสียง เราตรวจสอบผู้มีอำนาจ รัฐบาล หรือคนที่มีสื่อของตัวเองเยอะๆ เราต้องตรวจสอบเขาเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว แต่เราก็รู้สึกว่าเราก็ต้องทำคอนเทนต์ที่พูดเรื่องชาวบ้าน เรื่องคนทั่วไป อ่านแล้วคุณได้ประโยชน์ คุณได้อะไรสักอย่างกลับมา ไม่เปลือง 4G
สื่อมีหลากหลายรูปแบบ ทำไมถึงเลือกที่จะให้ The Standard เป็นสำนักข่าวออนไลน์
ตอนเริ่มทำ The Standard เราก็ถามตัวเองว่าจะนิยามตัวเองว่าเป็นอะไร นิตยสารออนไลน์ไหม ทำคอนเทนต์รายวันหรือเปล่า พอตีโจทย์ไปตีโจทย์มา สุดท้ายเราก็รู้สึกว่า เออ ถ้าเราอยากจะสร้างอิมแพคให้กับคน เราอยากจุดประเด็นอะไรขึ้นมา พูดถึงปัญหาที่หมักหมม เราก็เลยเป็นนิตยสารออนไลน์ไม่ได้ เราต้องใช้คำว่าสำนักข่าว แล้วสำนักข่าวต้องการอะไรบ้าง สำนักข่าวต้องการความสด ใหม่ รายวัน พอคิดแบบนั้นก็เลยเติมนักข่าวขึ้นมา ยึดเอาความน่าเชื่อถือเป็นหลัก
เราดูโมเดลจากต่างประเทศด้วย ในอเมริกามีสำนักข่าวรุ่นเก๋าที่ทำมานานอย่าง The New York Times ทำมาเป็นร้อยปี อย่าง CNN หรือ ABC News ก็ด้วย ในระยะสิบปีหลังก็มีสื่อออนไลน์ใหม่เกิดขึ้น แล้วเรียกตัวเองว่าเป็นสำนักข่าว ก็ดูเป็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จ ตอนนี้เรามองว่าแลนด์สเคปของสื่อเปลี่ยนไปแล้ว เราเห็นหลายๆ สื่อพยายามจะปรับตัวเข้าสู่โลกออนไลน์ แล้วตอนนี้เทคโนโลยีมันก็ช่วยทำให้เราตั้งตัวเป็นสำนักข่าวได้สะดวกขึ้น เพียงแต่ว่ามันต้องใช้เวลาระดับหนึ่งในการสร้างความน่าเชื่อถือ
เราเจอคำถามนี้เสมอตลอด 6-7 เดือนที่ผ่านมาเลยนะว่า เฮ้ย The Standard เป็นสำนักข่าวยังไง ไม่เห็นจะเป็นข่าวเลย เรารู้สึกว่าเรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลา เราก็ต้องค่อยๆ สร้างไป อายุ 6-7 เดือนนี่ ถ้าเป็นคนก็ยังแบเบาะมาก
The Standard มีวิธีเลือกข่าวที่จะนำเสนอยังไง
เราตั้งใจนำเสนอ ‘creative news’ ต้องเป็นข่าวสารในแนวทางสร้างสรรค์ ไม่ได้หมายถึงแต่ข่าวดีนะ ข่าวแย่ก็ได้ แต่ต้องเป็นข่าวแย่ที่เราสามารถนำเสนอให้มันสร้างสรรค์ได้ ทำให้คนได้เรียนรู้อะไรจากมัน แล้วก็เลือกข่าวใหญ่และข่าวสำคัญ มีผลกระทบกับคนหมู่มากเป็นหลัก อย่างข่าวระเบิด น้ำท่วม รัฐบาลประกาศเลื่อนเลือกตั้ง หรือนโยบายอะไรออกใหม่ อีกแบบหนึ่งคือ เป็นข่าวที่คนสนใจเป็นข่าวที่ใครๆ ก็เล่น เป็นข่าวที่เราควรจะทำบ้าง แต่เราก็จะมองในเรดาห์ของเรา เอาข่าวที่คนสนใจมาบิดให้เข้ากับในมุมของเราให้ได้
แล้วเราก็มองว่านอกจากมีข่าวแล้ว มันควรจะเติมความสนใจด้านอื่นๆ ของคนเข้าไป ให้มันสนุกมากขึ้น มีเสน่ห์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบันเทิง ไลฟ์สไตล์ ศิลปะ วัฒนธรรม แฟชั่น งานดีไซน์ หนังละคร สุขภาพ หรือความสัมพันธ์ เราเชื่อว่าการมีหลายๆ อย่างจะช่วยให้มันครบ มันกลมกล่อมมากขึ้น แต่ถ้าจัดลำดับความสำคัญ สำคัญที่สุดก็ยังเป็นข่าว เพราะยังไงเราก็คือสำนักข่าว
นอกจากนั้นก็คือต้องดูด้วยว่ากลุ่มคนอ่านของเราคือใคร ซึ่งเราตั้งเป้าไว้ว่าเป็น ‘urban young adults’ คือคนเมืองที่เป็นคนยุคใหม่ ไม่ได้หมายถึงว่าคนรุ่นใหม่ อายุเท่าไหร่ถึงเท่าไหร่นะ แต่คือคนที่ใช้เทคโนโลยีคล่องแคล่วระดับหนึ่ง คนอายุ 70 แต่ใช้ไลน์ ใช้เฟซบุ๊ก เปิด Youtube ได้ เขาก็ถือเป็นคนยุคใหม่เหมือนกัน พอมีเป้ามา เราก็รู้ว่าต้องทำคอนเทนต์แบบไหน มันคือคอนเทนต์แบบ The Standard
การเป็นสำนักข่าวทำให้เราต้องวิ่งตามกระแสตลอดเลยหรือเปล่า
เราก็อยากจุดประเด็นข่าวเองนะ เราคิดว่ามันท้าทาย ทุกที่อยากทำหมดแหละ อยากเป็นคนนำ ไม่อยากเป็นคนตามอย่างเดียวหรอก เราก็พยายามอยู่ พยายามมอบหมายให้ทุกคนต้องมีข่าวที่ตัวเองจุดขึ้นมา เสนอมา ทำรีเสิร์ชมา มีหลายข่าวที่มันอาจจะไม่ได้เป็นประเด็นใหญ่ในสังคม แต่เราจุดแล้วมันเกิดผลขึ้น อย่างเช่นตอนนั้นเราทำเรื่องสวนสาธารณะพระราม 3 ชาวบ้านโทรมาขอบคุณ เราก็พยายามทำอยู่เรื่อยๆ ยอมรับว่าปีที่แล้วเราวิ่งตามคนอื่น เซ็ตระบบให้แน่น มันท้าทายมากที่เราจะต้องทำข่าวทุกวันให้ได้มาตรฐาน เราก็ตั้งใจว่าปีนี้จะเป็นปีที่เราอยากจะทำอะไรที่มันฉีกออกไปบ้าง มีคอนเทนต์ที่ไม่เหมือนคนอื่นบ้าง
ในยุคของโซเชียลมีเดียที่ใครๆ ก็เป็นสื่อได้ มีพื้นที่ในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร คิดว่า The Standard แตกต่างจากกลุ่มคนหรือเพจเหล่านั้นยังไง
เราเรียกกลุ่มคนเหล่านี้ว่าเป็น online influence อาจจะเป็นบล็อกเกอร์ที่มีอิทธิพลมากจนสามารถกำหนดวาระของข่าวบนโลกออนไลน์ได้ หลายครั้งสื่อใหญ่กระโจนไปเล่นตามด้วยซ้ำ แต่เราเป็นสำนักข่าว สิ่งที่เราทำคือเล่าความจริงด้วยน้ำเสียงที่น่าเชื่อถือ มันอาจจะน่าเบื่อกว่าการเล่าแบบใส่ความเห็น อารมณ์ หรือดราม่า แต่อย่างน้อยเราเชื่อว่าในระยะยาวมันน่าจะยั่งยืนกว่า แต่ก็เข้าใจนะว่ามีคนที่ชอบอรรถรสแบบนั้น เราก็ชอบ
‘ความน่าเชื่อถือ’ ที่ว่ามีความหมายเท่ากับสื่อต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่สามารถใส่ความเห็นในการนำเสนอหรือเปล่า
ความน่าเชื่อถือ ไม่ได้หมายความว่าเราไม่เลือกข้างนะ เราเลือกก็ได้ แต่ต้องนำเสนอด้วยข้อเท็จจริง ต้องบอกความจริงของทั้งสองฝั่ง เราจะชอบฝั่งนี้มากก็ได้ แต่เราต้องไม่โกหก ถ้าถามว่า The Standard เลือกข้างไหน นี่ไม่ได้พูดแบบหล่อนะ (ยิ้ม) เราเลือกข้างประชาชน อะไรที่ทำให้คนส่วนใหญ่ คนทั่วไปเสียเปรียบ เราไม่ยอมเด็ดขาด เราจะไปเลือกข้างรัฐบาลทำไมในเมื่อเขามีอำนาจ มีสื่ออยู่ในมืออยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราบิดเบือน อย่างที่สองคือเราเลือกข้างประชาธิปไตย เรื่องอะไรก็ตามเป็นการแสดงออกเรื่องสิทธิและเสรีภาพ เราก็ไม่เห็นด้วยถ้ามันจะถูกปิดกั้น
ความเป็นกลางของ The Standard คือตาชั่ง คือการให้พื้นที่ในสัดส่วนที่เราคิดว่าเหมาะสม อย่างเช่น เรื่องชาวบ้านออกมาประท้วงราคายางตกต่ำ เรานำเสนอข่าวชาวบ้านเยอะหน่อย เพราะเขาเดือดร้อนแล้วไม่มีพื้นที่จะพูด แต่ก็ให้พื้นที่รัฐบาลว่าเขาบอกว่ายังไง เราก็นำเสนอไปพร้อมกัน เราพยายามให้พื้นที่กับทุกฝ่าย นี่เป็นสิ่งที่ทำมาตลอด แต่ต้องยอมรับว่าท้ายที่สุดแล้วไม่มีความเป็นกลางในระดับอุดมคติหรอก เพราะว่านักข่าวทุกคนก็เป็นคน มีความเห็น มีโอกาสที่อคติจะเกิดขึ้นได้ แต่อย่างน้อยให้มันน้อยที่สุด หรือถ้าเป็นความคิดเห็นก็จะเป็นเชิงตั้งคำถามก็ยังดีกว่า
ถึงอย่างนั้นก็ยังหนีไม่พ้นกับเรื่องดราม่า โดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ที่คนเสนอความคิดเห็นได้ทางตรงและเร็ว The Standard มีวิธีรับมือยังไง
สื่อโดนด่าเยอะสุดไม่แปลก เพราะว่าสื่อมีความคาดหวังสูง โดนคาดหวังจากสังคมสูงว่าเราต้องทำหน้าที่ให้ดี นั่นก็เป็นเหมือนกับความท้าทายที่เราต้องไปให้ถึง คิดเสียว่ามันเป็นเรื่องปกติ คิดเสียว่ามันเป็นของคู่กัน เราควบคุมความเห็นใครไม่ได้ และไม่ได้ต้องการควบคุม
วิธีการรับมือก็คือ เราดูว่าสิ่งที่เขาคอมเมนต์มันผิดจริงไหม ข้อมูลผิดก็แก้ไข มีเรื่องของการใช้ภาษาที่ไม่สมควรหรือเปล่าแต่ถ้ามันเป็นเรื่องที่วัดผลไม่ได้ เราไม่รู้จะวัดผลยังไง ถ้าแบบนี้เราจะปล่อยไป เคยเจอแบบที่ว่า “ไม่สมเป็นแสตนดาร์ดเลย ไม่มีมาตรฐาน” ยังไงอ่ะ บอกหน่อยสิครับ (หัวเราะ)
คิดว่าอะไรคือหัวใจของการทำข่าวออนไลน์
เราว่าความเร็วสำคัญที่สุด แต่ก็ต้องมีองค์ประกอบอย่างอื่น ส่วนตัวแล้ว เรายึดเอาหลัก ‘3 เข้าใจ’ มาใช้
หนึ่ง คือต้องเข้าใจตัวเองก่อน เข้าใจว่าแบรนด์ดิ้งของตัวเองคืออะไร มีจุดแข็ง จุดด้อย หรือข้อได้เปรียบอะไร อะไรคือสิ่งที่เราไม่เหมือนที่อื่น อะไรคือความถนัด เราต้องค้นให้เจอ ต้องชัดกับตัวเองก่อน
สอง คือเข้าใจกลุ่มคนอ่านหลัก ถามตัวเองว่าเราเขียนให้ใครอ่าน เอาใจคนกลุ่มนี้มากหน่อย แล้วก็ค่อยเพิ่มไปยังกลุ่มที่เราอยากขยาย
สาม คือเข้าใจโลก ในที่นี่เราหมายถึงโลกของหุ่นยนต์ โลกของอัลกอริธึม เพราะถ้าเราไม่เข้าใจ เราก็เหมือน ไปอยู่ในสนามที่เราเล่นผิดกติกาหมดเลย เราก็ไม่มีทางชนะ
สามอย่างนี้เป็นหลักเบื้องต้น แล้วที่เหลือก็เป็นรายละเอียดของแต่ละเพจ แต่ละแบรนด์แล้ว
มองภาพ The Standard ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าไว้แบบไหน
ผมหวังว่าคงเป็นสำนักข่าวที่คนรู้จักมากขึ้น ตั้งเป้าคนกดไลก์เป็นล้าน (ฮ่าๆ) สามารถสร้างอิมแพคให้กับสังคมได้บ้าง มีคุณภาพของข่าวที่ดีแล้วก็มีแพลตฟอร์มที่หลากหลายมากขึ้น มีอีเวนท์ที่รวบรวมคนมาเจอกัน อยากให้ The Standard เป็นสำนักข่าวๆ อันดับต้นๆ ในใจของคนอ่าน อยู่หนึ่งในสามก็ยังดี แล้วก็ให้นายกฯ พูดถึงสักครั้งครับ (หัวเราะ) อยากทำข่าวที่เป็นข่าวภูมิภาคมากขึ้น เรื่องของจังหวัดอื่นๆ บ้าง ไม่ได้กระจุกแค่ในกรุงเทพฯ มองระยะยาวก็อยากเป็นสถาบันข่าวที่น่าเชื่อถือเหมือน The New York Times พึ่งพาได้ มีประโยชน์ มีสาระ มีแรงบันดาลใจ
ความสุขหรือความสนุกในการทำ The Standard คืออะไร
เราว่าหัวใจที่สำคัญของงานนี้ มันคือการที่เราได้บอกเล่าเรื่องราวดีๆ ออกไป ได้เป็นตัวจุดประกาย ได้เป็นคนตั้งคำถาม สร้างแรงกระเพื่อม สื่อมันมีพลังจริงๆ นะ มันทำให้คนคนหนึ่งโดนขับไล่จากประเทศ ทำให้บางคนมีปากมีเสียงได้ ทุกคอนเทนต์ที่เราทำออกไป เราอยากให้มันสร้างผลอะไรสักอย่างต่อสังคมให้ได้มากที่สุด อาจจะเริ่มจากสังคมเล็กๆ ก่อนก็ได้ มันเป็นแพชชั่นที่ทำให้คนทำงานอย่างเราไม่รู้สึกเหนื่อยกับงาน มันคือการ ‘stand up for the people’ เราทำคนเดียวไม่ได้ แต่พอเป็น The Standard แล้วมีทีม มันเลยทำได้
การทำคอนเทนต์ออนไลน์มันเหนื่อย มันไม่มีวันหยุด แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือมันทำให้เราเติบโตในทุกๆ วัน เราเรียนรู้ทุกๆ วัน เราอาจจะไม่ได้ฉลาดขึ้นนัก แต่อย่างน้อยเราก็รู้สึกว่าเราไม่โง่ลง เพราะเราต้องอ่านต้องติดตามเรื่องนั้นเรื่องนี้ทุกวัน มันก็ทำให้เราได้ฝึกฝนตัวเองในทุกๆ วันไปด้วย
Content by Nicha Pattanalertpun & Thanisara Ruangdej
Illustration by Yanin Jomwong