หรือว่า ‘สื่อ’ ยังคง ‘เสื่อม’ ไม่เปลี่ยนแปลง? เมื่อเสียงสะท้อนวงการสื่อไทย ไม่ได้หายไปไหนแม้ผ่านมาหลายปี หนำซ้ำกำลังดังสะสมเรื่อยมา
วงการสื่อสารมวลชนของไทย กลับมาเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอีกครั้ง แม้จะเป็นหัวข้อเดิมๆ ก็ตาม ว่าทำไมสื่อไทยบางส่วนรายงานแต่ข่าวดราม่า ข่าวตามกระแส เพื่อเรียกเรตติ้ง เรียกร้องให้ผู้คนมาสนใจ – และคงไม่ต้องพูดชื่อให้เฉพาะเจาะจงอะไร หลายคนก็คงนึกออกว่าที่ผ่านมา ข่าวดังๆ ที่วงการสื่อเกาะติดจนเป็นกระแสมีเรื่องอะไรบ้าง
ขนานไปกับปัญหาดังกล่าว คือสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นความเงียบงัน เมื่อพูดถึงการรายงานข่าวสารที่ประชาชนอาจจำเป็นต้องรู้ หรือส่งผลกระทบกับชีวิตของพวกเขา สะท้อนให้เห็นสองด้านของปัญหาเดียวกัน เราจะหาทางออกจากจุดนี้ได้อย่างไร?
The MATTER ได้ไปพูดคุยกับ อ.พรรษาสิริ กุหลาบ อาจารย์ประจำภาควิชาวารสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อหาคำตอบว่า ปัญหาทั้งหมดมีที่มาที่ไปอย่างไร แล้วทั้งสื่อและประชาชนจะทำอะไรได้บ้างเพื่อร่วมกันแก้ปัญหา
จะมองปัญหาสื่อไทยทำข่าวดราม่า-เรียกเรตติ้งอย่างไร
จริงๆ ไม่แปลก ก็เป็นปัญหาที่ไม่ใช่แค่ในประเทศไทยเท่านั้น ต่างประเทศก็เป็น แม้แต่ในประเทศที่วงการสื่อมีพัฒนาการทางเทคโนโลยี ก็เป็นเหมือนกัน มันก็เป็น dilemma ของอุตสาหกรรมสื่อ และเป็นบทบาทที่ถูกคาดหวังจากสาธารณะอยู่แล้ว ว่าสื่อต้องรายงานข้อเท็จจริงตรงไปตรงมา ไม่เน้นเรื่องเร้าอารมณ์หรือดราม่า
แต่ในขณะเดียวกัน ระบบตลาดก็ไม่ได้เอื้อให้วงการสื่อทำอย่างนั้นได้ทั้งหมด เพราะว่าจริงๆ รายได้ของสื่อไม่ได้มาจากจำนวนคนซื้อ แต่มาจากโฆษณา ซึ่งก็วัดจากการมีคนเข้าถึง มีคนเห็น มีคนอ่าน ถ้าเป็นสมัยก่อนก็คือ เอาตัวเลขที่บอกว่า มีคนอ่านนิตยสาร มีคนอ่านหนังสือพิมพ์ หรือมีคนเข้าถึงรายการโทรทัศน์มากน้อยแค่ไหน หรือเรตติ้ง ไปบอกผู้ให้โฆษณา เพื่อที่ผู้ให้โฆษณาจะได้มาลงกับเรา
มันก็เป็นเรื่องที่ถกกันมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ตั้งแต่สมัยสื่อดั้งเดิมมาจนถึงสมัยสื่อใหม่ ถามว่าเราจะหลุดจากระบบนี้ได้อย่างไร คำตอบก็คงยาก เพราะว่ามันก็เป็นธุรกิจ ถ้าจะมองว่าเป็นองค์กรเชิงพาณิชย์ หรือแม้กระทั่งองค์กรสื่อสาธารณะเองก็ใช้วิธีคิดแบบนี้ ก็คือ การวัดจำนวนผู้เข้าชมเป็นเกณฑ์หนึ่งในการวัดว่าตัวรายการหรือตัวเนื้อหาได้รับความนิยมหรือมีคนสนใจจริงๆ
ประเด็นคือ เรายังหาระบบการวัดความสนใจจากผู้ชมหรือการมีส่วนร่วมของผู้ชม ของผู้รับสาร ในรูปแบบอื่นยังไม่ค่อยได้ เราก็เลยยังยึดกับวิธีคิดเดิมๆ ก็คือการวัดเรตติ้ง การวัด page view การวัด engagement ซึ่งก็จริง ใช่ มันก็เป็นวิธีวัด แต่ในขณะเดียวกัน วิธีวัดแบบนี้ก็สะท้อนว่า มันก็ทำให้เราได้แต่เนื้อหาที่เร้าอารมณ์ เน้นดราม่า
ทีนี้ ปัญหาก็คือว่า ถ้าเราไปเน้นในเรื่องของเร้าอารมณ์หมด แล้วสื่อมวลชนได้ให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงมากพอที่จะทำให้ประชาชนมีข้อมูลสำหรับการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ หรือเอาไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจหรือยัง
หรือสอง สภาพสังคมและการเมืองเอื้อให้เขาเอาข้อมูลตรงนี้ไปใช้ทำอะไรต่อได้หรือเปล่า ตัวอย่างเช่น เรื่องอย่างเลือกตั้ง ถ้าคนไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เขาจะต้องใส่ใจกับมัน คนรู้สึกว่ามันก็เป็นแค่พิธีกรรมอันหนึ่ง ไม่ได้รู้ว่ามันมีผลอย่างไรกับชีวิตของเขาจริงๆ มันก็ไม่แปลกที่เขาก็จะไม่เรียกร้องข้อมูลจากองค์กรสื่อ
เพราะฉะนั้น ถ้าสมมติว่า เขาไม่รู้สึกว่าข้อมูลเหล่านี้มันจำเป็นหรือเอาไปแล้วไม่รู้ไปทำอะไร ถึงแม้สื่อจะให้ข้อมูลมา ข้อมูลเหล่านี้ก็ไม่สามารถที่จะทำให้คนรู้สึกว่ามันเป็นประโยชน์ต่อเขา คนก็ไม่เข้าถึง เพราะฉะนั้น สื่อก็จะสะท้อนกลับไปว่า เห็นไหม อุตส่าห์ทำงานดีๆ ออกมา แต่ว่าข้อมูลเหล่านี้คนก็ไม่ใส่ใจอยู่ดี เพราะฉะนั้นจะไปใส่ใจทำไม คือมันก็เป็นงูกินหางอยู่อย่างนี้
ข่าวดราม่าเป็นปัญหาในตัวมันเองหรือเปล่า
เรื่องที่เราเรียกกันว่าดราม่า หรือว่าถ้าเป็นภาษาของในเชิงวิชาการหรือในวงการวารสารศาสตร์ อาจจะเป็นเรื่องที่เรียกว่า ‘เรื่องปุถุชนสนใจ’ (human interest) คือเป็นเรื่องที่เร้าอารมณ์ สะเทือนอารมณ์ ซึ่งถ้ามองในแง่ดีจริงๆ มันก็มีประโยชน์นะคะ ในแง่ที่ว่า มันทําให้คนฉุกคิดหรือมันทําให้คนสนใจ
ดังนั้น ถามว่าดราม่าผิดไหม ก็ไม่ได้ผิด ซึ่งเราไม่ควรจะตัดสินว่าถูกผิดนะ เราสามารถที่จะรับรู้เรื่องราวดราม่าที่เกิดขึ้นในสังคมได้ หรือเรื่องราวเร้าอารมณ์ได้ เพราะว่าหนึ่งมันเป็นเรื่องปกติของชีวิต ชีวิตเรามันมีดราม่าต่างๆ อยู่แล้ว แต่ในฐานะสื่อวารสารศาสตร์ เราควรจะมองปรากฏการณ์ที่เราเรียกกันว่าดราม่าหรือเรื่องที่เร้าอารมณ์ว่า มันสะท้อนสภาพปัญหาหรือความน่ากังวลใจของสังคมอย่างไร
เราสามารถจะเริ่มหรือ lead ประเด็นด้วยการบอกว่ามันเป็นดราม่าเพื่อเกาะกระแสได้ เพียงแต่ว่า สื่อวารสารศาสตร์ต้องมองไปไกลกว่านั้นว่า ดราม่าตรงนี้มันสะท้อนความไม่ปกติของสังคมอย่างไร และนําเสนอโดยไม่ดราม่า
ถ้าเรามองเห็นว่าปรากฏการณ์ที่เราเรียกว่าดราม่าหรือเรื่องราวอารมณ์เหล่านี้มันสะท้อนความไม่ปกติ ความไม่เป็นธรรม หรือสิ่งที่เป็นปัญหาที่ถูกซุกไว้ใต้พรมของสังคม เราก็ควรจะต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง มันไม่ใช่ว่าเคสนี้จบแล้วก็พอ เพราะมันไม่จบ ถ้าเราใช้ดราม่าหรือใช้กระแสความสนใจของประชาชนตรงนี้มาเป็นจุดเริ่มต้นในการบอกว่าเกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้น สิ่งที่เราควรจะตามต่อก็คือ แล้วปัญหาเหล่านี้มันควรจะได้รับการแก้ไข หรือนํามาพูดคุยกันในวงสังคมอย่างไร
โมเดลธุรกิจของสื่อที่เน้นยอดผู้ชมเป็นหลัก สะท้อนส่วนหนึ่งของปัญหา
โมเดลธุรกิจที่ว่ามันเป็นปัญหา ในเรื่องของการเน้นการเข้าถึงเนื้อหา เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงปริมาณและไปบอกกับโฆษณาได้ จะบอกว่าจริงๆ มันเป็นทั้งวงการ สื่อออนไลน์ก็เป็นนะคะ เพราะว่าถ้าเราทําคอนเทนต์ออนไลน์ เราก็ต้องการให้คนเข้าถึงเนื้อหาและมี engagement มากใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้น มันก็เป็นโมเดลที่เลี่ยงได้ยาก แล้วก็เข้าใจว่า เราก็ต้องพึ่งพากับโมเดลนี้แหละ
และตอนนี้มันยังไม่ได้มีรูปแบบการหารายได้แบบอื่นๆ ที่จะมาบอกว่าเป็นสูตรสําเร็จหรือมาทดแทนโมเดลการโฆษณาได้ ยังไงโฆษณามันก็จะเป็นส่วนหนึ่งของวิธีการหารายได้ของสื่ออยู่แล้ว ไม่ว่าจะมาจากทางใดก็ตาม และเราก็จะต่อรองกับแพลตฟอร์มได้ยากด้วย เพราะสิ่งเหล่านี้มันมากับผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นกูเกิล เฟซบุ๊ก หรือโซเชียลมีเดียอื่นๆ เขาก็ต้องการแทรกสิ่งเหล่านี้มา เพราะมันก็เป็นโมเดลหารายได้ของเขา เพราะฉะนั้น มันพัวพันกันหมด
โครงสร้างสื่อกดทับ ตอกย้ำข้อจำกัดการรายงานข่าว
สำหรับไทย ระบบสื่อ (media system) ก็ยังไม่เอื้อต่อการหารายได้หรือวัดคุณภาพของเนื้อหาด้วยรูปแบบอื่นๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเป็นเจ้าของคลื่นความถี่อยู่ที่ภาครัฐ ทำให้เป็นเรื่องยากที่องค์กรสื่อ โดยเฉพาะองค์กรเชิงพาณิชย์จะรายงานประเด็นที่ตรวจสอบอำนาจรัฐหรือวิพากษ์อำนาจนำในสังคมได้โดยไม่ต้องกังวลว่ารัฐในฐานะเจ้าของคลื่นความถี่จะแทรกแซงการดำเนินงานหรือไม่
ดังนั้น องค์กรสื่อจึงเน้นการรายงานปรากฏการณ์ หรือพิจารณาสภาพปัญหาโดยไม่ได้เชื่อมโยงให้เห็นว่าเป็นผลมาจากนโยบาย โครงสร้างสังคม หรือวิธีคิดที่ไม่เป็นธรรมต่อกลุ่มคนต่างๆ อย่างไร แต่ไม่ค่อยให้ความสำคัญต่อการรายงานเชิงลึกหรือประเด็นที่เป็นการตรวจสอบนโยบายสาธารณะหรืออำนาจรัฐ ซึ่งเป็นการผลิตที่ต้องการเวลาและการลงทุนสูง ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะได้รับความนิยมจากประชาชน อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการถูกแทรกแซงจากรัฐ และกลุ่มผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้อง
ขณะเดียวกัน กสทช. (สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) ในฐานะองค์กรกำกับดูแลสื่อของรัฐ ก็มีบทบาทสูงในการควบคุมเนื้อหาและกำหนดการเข้าถึงคลื่นความถี่ของเอกชนและประชาชน ตัวอย่างเช่นการเปิดประมูลใบอนุญาตประกอบการทีวีดิจิทัลในราคาที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นไปได้ในการหารายได้ขององค์กรสื่อ ผู้ประกอบการบางส่วนจึงคืนใบอนุญาตเนื่องจากไม่สามารถหารายได้มาจ่ายค่าสัมปทานได้ ทำให้เหลือทีวีดิจิทัลกลุ่มรายการข่าวสารและสาระเพียง 3 ช่องจาก 7 ช่อง ขณะที่ช่องรายการสาระและบันเทิงที่มีรายการข่าวเป็นจุดขาย ก็เน้นรูปแบบรายการและประเด็นที่สร้างความบันเทิง หรือเรื่องดราม่า มากกว่าการให้ข้อมูลและให้ความรู้ ส่วนช่องสำหรับเด็กและเยาวชนไม่มีเลย
แม้สังคมจะอยู่ในยุคสื่อหลอมรวมและประชาชนนิยมใช้สื่อออนไลน์มากขึ้น แต่คลื่นความถี่ของสื่อแพร่ภาพกระจายเสียง (วิทยุ–โทรทัศน์) ก็ยังมีความสำคัญ เพราะยังคงเป็นช่องทางสื่อสารมวลชนที่เข้าถึงผู้คนได้ในวงกว้างและมีอิทธิพลต่อความคิดของประชาชนและผู้กำหนดนโยบาย หากประชาชนทั่วไปไม่สามารถใช้ประโยชน์จากคลื่นความถี่ได้อย่างทั่วถึง ก็จะเสียโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลสาธารณะและสื่อสารความต้องการของตน รวมถึงขาดโอกาสในการตรวจสอบและสร้างอำนาจต่อรองกับรัฐและกลุ่มผลประโยชน์อื่นๆ
นอกจากความเป็นเจ้าของคลื่นความถี่แล้ว รัฐยังใช้กฎหมายเข้าควบคุมเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น สิทธิการเข้าถึงข้อมูลสาธารณะ และเสรีภาพสื่อ โดยเฉพาะมาตรา 112 พรบ.คอมฯ พรก.ฉุกเฉินฯ
ในเมื่อมีความเสี่ยงสูงในการรายงานที่ตรวจสอบอำนาจรัฐ เช่น กรณีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ สื่อก็ไม่รายงานประเด็นเหล่านี้ หรือรายงานแต่เน้นความดราม่าของเหตุการณ์ ซึ่งกลับสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้ความรุนแรงโดยรัฐต่อประชาชน
แล้วเราจะแก้ปัญหาอย่างไรกันต่อ
อย่างแรกเลยคือ คิดว่า ทั้งองค์กรสื่อและตัวคนทำงานต้องไปด้วยกัน เพราะว่าบางทีปัญหาที่ผ่านมาของนักวิชาการเวลาเสนอ solution บางอย่าง อาจจะพูดเป็นวิธีการ ซึ่งก็มักจะมองไปที่ปัจเจก แต่จริงๆ แล้ว
จากการอ่านงานวิจัยหรือพยายามศึกษา-ทำความเข้าใจกับองค์กรสื่อ เราคิดว่า การแก้ปัญหามันต้องเป็นทั้งองคาพยพ องค์กรต้องดําเนินการร่วมกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวผู้บริหาร ซึ่งไม่ใช่แค่บรรณาธิการหรือผู้กำหนดนโยบาย แต่หมายถึงผู้บริหารในฐานะเจ้าของสื่อเลย จะต้องเข้าใจปัญหาตรงนี้ เพื่อที่จะมาได้มาคุยกันว่า เราจะหลุดจากโมเดลเดิมๆ หรือวิธีที่ทําให้เราเน้นการนําเสนอเนื้อหาที่เร้าอารมณ์ได้อย่างไร หรือจะมีวิธีการอย่างไรให้มีสัดส่วนของเนื้อหาที่เร้าอารมณ์เพื่อช่วยดึงกระแส ดึงความสนใจของคน แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีพื้นที่สำหรับการทำงานในเชิงคุณภาพ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่ครบถ้วน ตามพันธกิจที่มันควรจะเป็นด้วย
อย่างที่สองคือ ประเด็นเหล่านี้ มันไม่ใช่เกิดขึ้นกับองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่ทั้งอุตสาหกรรมสื่อควรจะไปด้วยกัน เพราะว่าท้ายที่สุดแล้ว ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่า องค์กรใดองค์กรหนึ่งนําเสนอเรื่องดราม่า แต่ว่ามันเป็นภาพรวมทั้งหมดเลยของอุตสาหกรรมสื่อที่เน้นเนื้อหาที่เร้าอารมณ์ เนื้อหาที่เป็นดราม่า จนทําให้เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นไปในทิศทางนั้น
แต่ละองค์กรก็ควรจะมาร่วมกันคุยเหมือนกัน มันควรจะเป็นการสร้างเครือข่ายกันระหว่างองค์กรต่างๆ ที่มีอยู่ แล้วก็คุยกันถึงประเด็นที่เป็นปัญหาตรงนี้ ว่าเราจะหลุดจากวิธีคิดนี้อย่างไรได้บ้าง หรือมันมี option อื่นๆ ให้เราทำได้บ้างไหม
ประเด็นที่สามก็คือ เราน่าจะต้องมีวิธีการวัดความนิยมหรือความไว้วางใจของผู้รับสารด้วยวิธีอื่นๆ บ้าง นอกเหนือจากการดูจากตัวเลขอย่างเดียว ซึ่งมันก็ต้องเป็นการสร้างนวัตกรรม ในแง่ของงานวิจัยมันก็มี อย่างเช่น การทํา focus group เชิญคนมาคุย แต่ว่ามันคงต้องมีมากกว่านั้น และแต่ละองค์กรก็คงต้องหาแนวทางที่เหมาะกับองค์กรเอง นักวิชาการไม่สามารถไปบอกได้ว่า คุณต้องใช้วิธีนั้นวิธีนี้
ซึ่งถ้าองค์กรใส่ใจ ก็จะอาจจะมีหนทางในการที่จะคุย แล้วก็หาวิธีการที่เหมาะสมกับธรรมชาติขององค์กรเอง และไม่ได้เพิ่มภาระในการทํางาน การหาวิธีการวัดความนิยมหรือความพึงพอใจของผู้รับสารในรูปแบบอื่นๆ น่าจะเป็นสิ่งสําคัญในการที่จะทําให้เราเห็นว่า นอกเหนือจากเรื่องของการวัดเรตติ้ง การวัดยอด engagement หรือดูคอมเมนต์คนแล้ว มันน่าจะมีข้อมูลเชิงคุณภาพอื่นๆ ที่เอามาใช้ ในการปรับปรุงเนื้อหาของเราได้บ้าง
และขอย้ำด้วยว่า สื่อก็ต้องฟังผู้รับสารเยอะๆ ด้วยเหมือนกัน เพราะว่า แน่นอนเขาก็มีความคิดเห็นที่หลากหลาย เราคิดว่าตัวผู้รับสารเอง ถ้ามันมีบทสนทนาเหล่านี้เยอะๆ มันจะทําให้เราชัดเจนมากขึ้นว่า เราต้องการสื่อที่มีคุณภาพแบบไหน แล้วเราก็จะได้ไม่มาโวยวายเฉพาะเวลาที่เกิดประเด็นขึ้นเท่านั้น เพราะไม่อย่างนั้น สื่อก็จะ take action เฉพาะประเด็นนั้นไป เขาไม่ได้แก้ปัญหาในระยะยาว ดังนั้น ถ้าเราไม่ต้องการให้เกิดปัญหานี้ ตัวประชาชนอาจจะต้องมีความขันแข็งในการที่จะส่งเสียงตัวเองมากขึ้น
ท้ายที่สุดก็คือ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ระบบตลาดอย่างเดียว แต่ว่ามันเป็นเรื่องของความรู้สึกว่าคนได้ข้อมูลแล้วเขาจะมีส่วนร่วมทางสังคมทางการเมืองได้อย่างไร ดังนั้น มันก็ต้องกลับมาที่ว่า สังคมการเมืองในสังคมไทยเป็นประชาธิปไตยมากน้อยแค่ไหน มันมีอิสระให้คนได้พูด ได้คิด ได้ฝันมากน้อยแค่ไหน เพราะไม่อย่างนั้น ได้รับข้อมูลอะไรมา มันก็เอาไปทําอะไรไม่ได้
เพราะฉะนั้น ตราบใดที่สังคมยังไม่เป็นประชาธิปไตย เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารยังถูกปิดกั้นอยู่ เราก็จะวนลูปกันอยู่อย่างนี้ เราก็จะหลีกหนี เสพดราม่าไปวันๆ เพราะว่าเราไม่ต้องเอาข้อมูลไปใช้ทําอะไร เพราะเราไม่มีสิทธิ เราเป็นได้แต่คนที่นั่งฟังว่าเขาจะสั่งอะไรลงมา แล้วก็ใช้ชีวิตตามที่เขากําหนดมาให้เรา แต่เราไม่มีสิทธิจะไปกําหนดชีวิต
ผู้ชมเปลี่ยน
แต่สิ่งหนึ่งที่คิดว่าอาจจะเปลี่ยน คือ ผู้ชม แน่นอนคนทุกรุ่นชอบดราม่า อย่างที่เราเห็นในทวิตเตอร์ ถึงแม้จะเป็นประเด็นหนัก แต่ถ้ามีดราม่า คนก็จะเฮละโลไปที่ดราม่า อันนี้จริง
แต่คนรุ่นใหม่ๆ อย่างที่เราเห็นในเรื่องของการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หรือความสนใจของเยาวชนเกี่ยวกับประเด็นที่สอดคล้องกับคุณค่าประชาธิปไตยมากขึ้น มีการเรียกร้องสื่อให้มีความไหวรู้ต่อวิธีคิด ต่อการใช้คำศัพท์ ต่อการเรียกที่ไม่ตีตรา ไม่ป้ายสี แล้วก็ให้ความเป็นธรรมกับคนที่เกี่ยวข้องมากขึ้น เราคิดว่า ตรงนี้ต่อไปมันอาจจะทำให้วงการสื่อมวลชนค่อยๆ คิดว่า เราจะนําเสนอดราม่าแบบเดิมๆ ไม่ได้แล้ว
แน่นอนมันยังมีคนเสพอยู่ เพราะว่าสังคมก็เริ่มมีความสนใจที่แตกต่างกันไปมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันในเมื่อผู้ชมเริ่มเปลี่ยนหรือว่าเริ่มมีวิธีคิดที่แตกต่างไปจากวิถีของสื่อหรือการทำงานของสื่อแบบเดิมๆ โอกาสที่องค์กรสื่อที่นําเสนอข้อมูลที่มีคุณภาพและอยู่ในหนทางที่ไม่ใช่เร้าอารมณ์แบบสุดลิ่มทิ่มประตู อาจจะมีหนทางเกิดได้
แต่แน่นอน มันต้องผ่านการต่อรองกันอีกเยอะ หรือว่าในกรณีคนรุ่นใหม่เอง ก็คงจะต้องหาวิธีการสื่อสารที่จะทําให้สื่อรู้สึกว่าไม่ได้ถูกโจมตีอีกเยอะ ที่ไม่ใช่การฟาด ด่าทออย่างเดียว อาจจะต้องหาเวทีหรือพื้นที่ที่ทําให้มีการอภิปรายถกเถียงในเรื่องความต้องการของผู้รับสารรุ่นใหม่ ว่าต้องการให้สื่อเป็นอย่างไร มันคงต้องมีพื้นที่เหล่านั้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ชมจะเรียกร้องอย่างไรให้เกิดผลเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ
จริงๆ ง่ายที่สุดอย่าง hashtag ก็เป็นอะไรที่องค์กรสื่อหวั่นไหวนะคะ เนื่องจากองค์กรสื่อเองต้องมอนิเตอร์อยู่แล้วว่าข้อมูลในโซเชียลมีเดียเป็นยังไง ซึ่งอันนี้ก็เป็นเรื่องดี เนื่องจากเขาต้องปรับตัวต้องมาใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ ดังนั้นการมอนิเตอร์ผ่าน social listening ก็เป็นเรื่องที่สําคัญ
hashtag มีผลนะคะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจุดยืนทางการเมือง หรือว่าเมื่อเร็วๆ นี้ ที่มีองค์กรสื่อเอาภาพไอดอลเกาหลีไปใช้ แล้วแฟนคลับ ด้อมไม่โอเคมากๆ อันนี้ก็เป็นผล จนทำให้องค์กรสื่อต้องออกแถลงการณ์ ส่งแถลงการณ์ไปขอโทษต้นสังกัดที่เกาหลี
แต่อย่างที่บอก ถ้าเราต้องการจะให้หนักแน่นกว่านั้น การรวมกลุ่มกันของคนที่สนใจเรื่องนี้ ก็มีผลและจําเป็นเหมือนกัน เพราะว่าอย่างที่คุยกัน เราก็ต้องการเวทีหรือว่าพื้นที่ที่ทําให้เราถกเถียงกันหรืออภิปรายกันในเรื่องนี้ได้ และถ้าเราสามารถจะเชื่อมโยงตรงนี้ได้ เห็นความเชื่อมโยงของประเด็นด้วยกัน เราก็สามารถจะมารวมกลุ่มกันได้ เราก็คงต้องการอะไรประมาณอย่างนี้ว่า ให้เห็นความเชื่อมโยงกันระหว่างกลุ่มหลายๆ กลุ่ม ที่มีความกังวลหรือว่าต้องการสื่อที่มีคุณภาพ สื่อที่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคน สื่อที่ยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตยหรือว่าเห็นหัวคนเหมือนกัน
อีกประเด็นก็คือ การร้องเรียนในช่องทางที่เป็นทางการ ไม่ว่าจะเป็นขององค์กรสื่อในระดับปัจเจก องค์กรวิชาชีพหรือองค์กรกํากับดูแลอย่าง กสทช. ซึ่งมีข้อดีอย่างหนึ่งคือ จะได้มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐานอย่างชัดเจนอย่างเป็นทางการว่า เรื่องนี้มันไม่ใช่แค่ concern ที่เกิดขึ้นในหมู่คนรุ่นใหม่ และเกิดขึ้นเป็นกระแสในโซเชียลมีเดียเท่านั้น แต่มันมีการทําบันทึก มีการแบบสรุปเป็นข้อมูลและลงบันทึกเป็นหลักฐาน แล้วก็ส่งไปให้องค์กรวิชาชีพ และองค์กรที่เกี่ยวข้องเหล่านี้ก็จะต้องมาใส่ใจ หรืออย่างน้อยจะต้องมีกระบวนการในการดำเนินการบางอย่าง
อย่างไรก็ดี แต่ละองค์กรก็มีเงื่อนไขและข้อจํากัดของเขา ซึ่งผลสรุปจากการดําเนินงานของเขาอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ของประชาชนเสียทีเดียว แต่อย่างน้อย การที่เราส่งเรื่องเหล่านี้เข้าไปในช่องทางที่เป็นทางการ และมีการบันทึกเรื่องเหล่านี้เอาไว้ ก็จะได้เป็นหลักฐาน เผื่อมีคนมาค้นคว้าหรือมีคนที่สนใจทำประเด็นเหล่านี้ต่อไป จะได้เห็นว่า เออ เราเคยส่งเรื่องเหล่านี้เข้าไปในองค์กรที่เกี่ยวข้องเหล่านี้แล้ว แสดงว่ามันเป็นปัญหาจริงๆ มันไม่ใช่เรื่อง random ที่เกิดขึ้น
หน้าตาของสื่อคุณภาพในบริบทของสังคมไทย
อย่างแรกเลยคือ ‘อํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน’ สื่อต้องเข้าใจคํานี้ก่อนว่า ประชาธิปไตยไม่ได้หมายถึงการเลือกตั้งอย่างเดียว เป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ หรือเป็นคำลอยๆ ที่คนพูดกัน แต่หมายความว่า เขาต้องมีอํานาจในการตัดสินชะตากรรมชีวิตของเขา
เวลาที่เราพูดถึงเรื่องสิ่งที่ควรจะเป็น (normative) ในที่นี้จะหมายถึงบทบาทของสื่อในสังคมประชาธิปไตย ดังนั้นหน้าที่ของสื่อมวลชนก็คือ
หนึ่ง นําเสนอข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน ซึ่ง ไม่ใช่ว่าต้องนําเสนอช็อตเดียวแล้วจบ คุณก็ต้องติดตามประเด็นนั้นอย่างต่อเนื่อง ถ้าคุณเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่มีความสําคัญ มีผลกระทบ หรือว่ามันใกล้ชิดกับประชาชน ถ้าเขาไม่รู้เรื่องนี้แล้วเขาจะไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ
สองก็คือว่า คุณก็ต้องตรวจสอบอํานาจรัฐ หรือสถาบันที่มีอำนาจต่างๆ ในรัฐทุกสถาบัน เหตุที่เป็นอย่างนี้เพราะว่า สถาบันเหล่านั้นจะได้ทํางานอย่างโปร่งใส และเพื่อให้ประชาชนมีอํานาจในการที่จะใช้ชีวิตของเขาได้
ซึ่งไม่ได้บอกว่าเราต้องเป็นปฏิปักษ์กับรัฐ การตรวจสอบในที่นี้ไม่ใช่หมายความว่าเราต้องเป็นศัตรูกับรัฐหรือว่าองค์กรใดๆ ที่เราไปตรวจสอบเขา แต่การตรวจสอบในที่นี้หมายถึงว่า เขาก็จะได้ทํางานอย่างโปร่งใส
แน่นอนมันก็มีสถาบันนิติบัญญัติ-ตุลาการอยู่แล้ว แต่อย่างในยุโรปยุคที่ประชาธิปไตยเริ่มก่อร่างสร้างตัว เหตุที่คนยกให้สื่อเป็นฐานันดรที่สี่ขึ้นมา เพราะว่าเขาเป็นตัวแทนของประชาชนไปใช้สิทธิในการตรวจสอบสถาบันที่มีอํานาจเหล่านี้ ดังนั้น การตรวจสอบสถาบันที่มีอํานาจจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น
เพราะฉะนั้น มันเชื่อมโยงกัน ที่บอกว่า อํานาจประชาธิปไตยเป็นของประชาชน สื่อก็ต้องทำให้ได้ข้อมูลมาอย่างครบถ้วนรอบด้าน และก็ต้องตรวจสอบสถาบันที่มีอํานาจให้เขาสามารถใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพได้ มันก็เป็นเรื่องพื้นฐานว่า ถ้าเราเคลมว่าเราเป็นสังคมประชาธิปไตย สื่อก็ควรจะต้องคํานึงถึงหน้าที่ตรงนี้ และแม้จะมีเรื่องระบบตลาดอะไรมาเกี่ยวข้อง มันก็ต้องทําให้เนื้อหาหลากหลาย ไม่ใช่บอกว่า ฉันก็จะเฮละโลไปทางที่นําเสนอแต่เนื้อหาดราม่าอย่างเดียว เพราะมันทําเงินให้กับฉัน
อีกอย่างหนึ่งคือ ข้อดีของสังคมในปัจจุบันคือเราเห็นความซับซ้อนของปัญหาต่างต่างมากขึ้น เราเห็นความเชื่อมโยงกันของแต่ละประเด็นมากขึ้น ดังนั้น ทั้งประชาชนทั้งสื่อมวลชนเองก็ต้องเข้าใจความซับซ้อน และความเชื่อมโยงของปัญหาของสิ่งต่างๆ ในสังคมเหล่านี้ ว่ามันเชื่อมโยงกัน
ดังนั้น วิธีการมองปัญหาแบบเดิมๆ แยกว่าอันนี้เป็นเรื่องการเมือง อันนี้เป็นเรื่องสาธารณสุข อันนี้เป็นเรื่องเทคโนโลยี มันไม่ได้แล้ว เพราะทุกเรื่องเชื่อมโยงกันหมด ดังนั้น ในสังคมยุคนี้ เราจะทํายังไงให้เห็นว่าความเชื่อมโยงตรงนี้เกี่ยวข้องกับตัวเราในฐานะประชาชนอย่างไร และสื่อก็ต้องมองว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตัวเขาในฐานะประชาชนอย่างไร มันมีมิติต่างๆ ที่เขาจะต้องคํานึงถึงอย่างไรบ้าง
บทเรียนสำคัญของวงการสื่อ
อยากให้คนที่ทํางานทั้งในระดับปัจเจกและระดับองค์กร คำนึงถึงความหมายในการดํารงอยู่ของสื่อมวลชนในฐานะสถาบันทางสังคมให้มากขึ้น เพราะจะทำให้เห็นความยึดโยงกับประชาชน มากกว่าการที่เห็นเขาเป็นเพียงผู้บริโภค
เพราะในนิเวศสื่อในปัจจุบัน หรือที่คนเขาชอบพูดกันว่า ‘ใครๆ ก็เป็นสื่อได้’ ผู้บริโภคเหล่านี้เขาก็เขาก็เป็นผู้ที่ใช้สื่อ และเขาก็เป็นผู้ที่ผลิตเนื้อหาของตัวเขาเอง เพราะฉะนั้น ความสำคัญขององค์กรสื่อก็ลดลง เขาไม่ได้เชื่อคุณเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เพราะมันมีคนที่พูดกับเขาเยอะขึ้น ซึ่งคนเหล่านั้นจะเป็นองค์กรสื่อเล็กๆ แต่ว่าผลิตเนื้อหาที่เขาสนใจ หรือว่าผลิตเนื้อหาแล้วมันสามารถจะตอบโจทย์ชีวิตของเขาได้มากกว่าคุณ
ดังนั้น ถ้าไม่คำนึงถึงว่า ความหมายในการดํารงอยู่ของคุณในสังคมประชาธิปไตยคืออะไร คุณก็จะติดอยู่ในกับดักของการหารายได้ ไม่ว่าจะเป็นโฆษณา-การขายของ และสูตรที่คุณจะใช้ก็นี่แหละ เนื้อหาดราม่า เนื้อหาที่มันเร้าอารมณ์ เนื้อหาที่มันเรียกยอด engagement หรือเนื้อหาที่คนจะคลิกเข้ามาดู
แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าคุณเข้าใจว่า คุณมีความหมายในการดำรงอยู่ที่ยึดโยงอยู่กับประชาชนอย่างไร โดยที่ไม่ได้หลอกตัวเองด้วย ถ้าคุณสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ในฐานะที่คุณเป็นสื่อมวลชนที่นําเสนอข้อเท็จจริง และให้ข้อมูลที่มันเป็นประโยชน์กับชีวิตเขาได้ ท้ายที่สุด คุณก็จะหาคนที่สนับสนุนคุณเจอ คุณอาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม แต่อย่างน้อยคุณมีอิทธิพล หรือสามารถที่จะให้ข้อมูลที่มันสำคัญกับคนเหล่านั้น แล้วเขาก็จะเชื่อคุณ เห็นว่าคุณมีความสำคัญต่อชีวิตเขา วันหนึ่งที่คุณกำลังจะล้มหายตายจาก เขาจะได้มาบอกว่า ไม่ได้ ฉันต้องการให้เธออยู่ แล้วเขาก็จะมาปกป้องคุณ
เดิมพันมันอยู่ตรงนั้น ว่า คุณทำให้เขาเชื่อมั่น และไว้วางใจคุณมากน้อยแค่ไหน คุณอาจจะบอกว่า คนตามฉันเยอะ เพราะฉันใช้ดราม่า นั่นแสดงว่าคนเชื่อมั่นแล้ว ถ้าคุณเชื่ออย่างนั้นก็โอเค ไม่มีปัญหา แต่ว่าเราก็ต้องดูกันต่อไป