เวลา ความฝัน และประสบการณ์ชีวิต สิ่งที่เคยเป็นแต้มต่อของคนรุ่นใหม่ กลับถูกพรากไปด้วยการบริหารจัดการ COVID-19 ที่ล้มเหลวของรัฐบาล
ประเด็นนี้ถูกยกขึ้นมาพูดถึงอย่างมาก ทั้งในโลกออนไลน์และแผ่นป้ายประท้วงในพื้นที่ชุมนุม สะท้อนให้เห็นถึงความสิ้นหวังของ ‘คนรุ่นใหม่’ ซึ่งควรจะเต็มไปด้วยสีสัน มีชีวิตชีวา และมีไฟในการทำตามความฝันของตัวเอง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การมาของ COVID-19 พรากโอกาสในการทำสิ่งต่างๆ ของใครหลายคนไป ขณะเดียวกัน การจัดการของรัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพ ก็ยิ่งตอกย้ำให้ชีวิตของคนรุ่นใหม่เหี่ยวเฉาลงไปยิ่งกว่าเดิม กลายเป็นว่า รัฐบาลได้พรากความใฝ่ฝันของพวกเขาไปแล้ว
เราจึงอยากพาทุกคนไปฟังเสียงของคนรุ่นใหม่ ตั้งแต่เยาวชนจนถึงคนทำงาน เพื่อให้เห็นว่า การทำงานที่ล้มเหลวของรัฐบาล พรากอะไรไปจากพวกเขาบ้าง?
เค (นามมสมมติ) อายุ 17 ปี
ในมุมมองของหนู รัฐบาลจัดการปัญหา COVID-19 ได้ไม่ทั่วถึง และไม่ยอมแก้ปัญหาที่ต้นตอ ไม่มีนโยบายมารองรับมาตรการที่ประกาศออกมา ไม่มีคนรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วก็เล่นกับชีวิตของคน
การจัดการ COVID-19 ที่ล่าช้า ทำให้หนูสูญเสียญาติไป เพิ่งเผาวันนี้เลย เพราะเข้าถึงการรักษาช้า กว่าจะไปถึงโรงพยาบาลก็อาการหนักมากแล้ว ตอนนี้ คนในบ้านเขาก็ติดแล้วด้วย ยังหาเตียงกันไม่ได้ แต่อีกคนได้เข้ารักษาในโรงพยาบาลแล้ว คนนี้อาการค่อนข้างหนัก
แถมหนูยังสูญเสียชีวิตวัยรุ่นของตัวเองไป 2 ปีแบบฟรีๆ ปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่จะได้ใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแล้ว ควรที่จะได้เจอเพื่อนๆ มากกว่า ต้องมาเรียนออนไลน์เจอเพื่อน เจอครูผ่านจอ และรัฐบาลก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรในส่วนนี้ด้วยเลย เสียเงินไปกับเรื่องที่ไม่ควรเสีย อย่างค่าตรวจเชื้อและค่าวัคซีนที่มีคุณภาพ ซึ่งรัฐบาลควรจะจ่ายให้ด้วยซ้ำ
ถ้ารัฐบาลจัดการ COVID-19 ได้ดีกว่านี้ หนูก็ไม่ต้องสูญเสียญาติ ไม่ต้องสูญเสียชีวิตวัยรุ่นไปฟรีๆ คงจะได้วิ่งเล่นกับเพื่อน นั่งเล่นกับเพื่อนๆ ในห้อง ได้รับวัคซีนที่มีคุณภาพและฟรี ได้มีเวลาในการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยอย่างเต็มที่ แล้วสภาพจิตใจก็คงจะดีมากกว่านี้
Geum-ja (นามสมมติ) อายุ 16 ปี
เราอยากออกไปหาแรงบันดาลใจข้างนอกบ้าน เพราะเราชอบการใช้จินตนาการ เช่น การวาดรูป จำเป็นต้องออกไปพบเจออะไรใหม่ๆ บนโลกภายนอกอยู่เสมอ แต่พอ COVID-19 มา ก็จำเป็นต้องลดลง เราต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้องกับสมุดวาดรูป 1 เล่มเป็นเดือนๆ และการอุดอู้อยู่แต่ในห้อง ความคิดสร้างสรรค์ของเราก็เริ่มไม่น้อยลง
ถ้าพูดในมุมเด็กนักเรียนอย่างเราคือ ถ้ารัฐบาลจัดการได้ดีจริง เด็กจะไม่ต้องเสียสุขภาพทั้งด้านร่างกายและจิตใจ อย่างที่เห็นว่าเด็กไทยมีความเครียดสะสมเพราะระบบการศึกษามาเยอะมากพอแล้ว และการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุของรัฐบาลมันไม่ได้ช่วยให้อะไรๆ ดีขึ้นเลย
วัยของพวกเราควรได้เรียนรู้อยู่ในที่ที่ควรจะได้เรียนรู้ ไม่ใช่การต้องมานั่งกังวลค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอุปกรณ์การศึกษา หรือค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่คิดว่าต้องเก็บหรือจ่ายเพื่อเอาตัวรอดในรัฐบาลชุดนี้ คุณเป็นรัฐบาล คอยบริหารประเทศ ประเทศมีประชาชนอาศัยหลายสิบล้านคน และประชาชนก็คอยเสียภาษีให้พวกคุณ คุณก็ต้องรับผิดชอบชีวิตของพวกเขาให้ดีที่สุดสิ
เราสูญเสียชีวิตวัยรุ่นไปเกือบหมดแล้ว บางครั้งก็ทำให้เราไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เราเคยร้องไห้มาหลายครั้งมากๆ มันเหมือนจะไม่เห็นแสงสว่างอะไรเลย พวกเราไม่ควรจะต้องมานั่งกังวลการใช้ชีวิตผ่านไปให้ได้ในแต่ละวันในประเทศนี้ พวกเราควรได้ออกไปเปิดรับอะไรใหม่ๆ ได้มีสิทธิและเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย พวกเราควรได้เอาช่วงเวลาชีวิตวัยรุ่นไปค้นหาตัวเอง ควรได้เดินออกจากกรอบที่เคยขีดเส้นไว้ ได้มีชีวิตวัยเรียนที่มีความสุขกับเพื่อนๆ ไม่ใช่ถูกกดขี่จากผู้ใหญ่ หรือต้องมาแบกรับแรงกดดันมหาศาลจากคนรอบข้าง มันไม่ใช่สิ่งที่เด็กอย่างพวกเราควรจะต้องเจอ
ถ้าการบริหารของรัฐบาลดีกว่านี้ ชีวิตเราจะไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังเรื่อง privacy and security เลย และงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ก็จะได้รับการสนับสนุนจากหลายๆ ฝ่าย ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีความฝัน และมีสิทธิ์ที่จะได้ทำตามความฝันนั้น แถมเราไม่ต้องมาคอยกังวลเรื่องการเจ็บป่วยหรือโรคภัยต่างๆ ทุกคนจะไม่อดตาย เราจะมีรัฐบาลที่สามารถพึ่งพาได้ และก็อาจจะทำให้ประชาชนทุกคนได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างมีอิสระเสรีอีกครั้ง
จ้า อายุ 18 ปี
ในช่วงที่ COVID-19 ระบาด มีหลายอย่างที่เราต้องพับเก็บไป เราเคยมีแพลนไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อน และครอบครัว จะได้กลับบ้านทุกเสาร์-อาทิตย์ ได้ไปเที่ยวกับแฟน ซึ่งตอนนี้ก็เลิกกันไปแล้ว
การทำงานของรัฐบาลตอนนี้ แก้ปัญหาไม่ตรงจุดเลย เอาแค่ลวกๆ ให้พอผ่านไปได้แบบไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะได้รับ ทำให้เราสูญเสียการใช้ชีวิตปกติที่ควรจะได้รับ และสูญเสียชีวิตของคนมากมายซึ่งไม่ควรจะเกิดขึ้น เพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจ
ถ้ารัฐบาลจัดการปัญหาได้ดีกว่านี้ เราคงใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ ไม่ต้องมาคอยระวัง หรือคอยลุ้นว่าจะได้ฟังข่าวร้ายที่เราภาวนาว่าจะไม่เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวหรือคนในครอบครัวของเรา
เก็ท อายุ 21 ปี
การระบาด COVID-19 ครั้งล่าสุดนี้ เป็นสิ่งที่ตอกย้ำความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลที่จะพาประเทศให้พ้นวิกฤตไปได้ ไร้ความสามารถไม่พอยังมีอีโก้ไม่ยอมสละอำนาจอีก อยากจะบอกถึงนายกฯ ว่าไม่ต้องห่วงศักดิ์ศรีหรือภาพลักษณ์ของท่านหรอก เพราะมันไม่เหลือตั้งนานแล้วจากการกระทำของพวกท่านเอง และเวลานี้ชีวิตคนไทยมันมีค่ามากกว่าศักดิ์ศรีทิพย์ที่ท่านมโนว่าตนเองยังมีอยู่
ด้วยความที่การแก้ปัญหามันช้า ยืดเยื้อมาจนจะ 2 ปีแล้ว ตอนนี้ผมเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ สิ่งที่เสียแน่ๆ คือชีวิตในช่วงมหาวิทยาลัย ความรู้ ความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ผมรู้สึกเหมือนผมโดนพรากการใช้ชีวิตบางส่วนไปจริงๆ นะ เราก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ แหละ แต่ถ้าเราได้ใช้ชีวิตตามปกติ อะไรๆ มันคงดีกว่านี้มากเลย
ผมเริ่มมาเรียนออนไลน์ตอนปี 3 ซึ่งเป็นปีที่ขัดเกลาความรู้กับสกิลได้ดีสุดแล้ว เพราะตัววิชาและภาระงานที่เข้มข้นมาก แต่พอมาเป็นออนไลน์ อรรถรสในการเรียนบางวิชาก็หายไป คิดภาพว่าต้องมานั่งเรียนวิชา discussion แบบออนไลน์ แรกๆ ก็พอไหว แต่ตอนนี้เราไม่ไหวกันแล้ว ได้แต่เรียนๆ ให้มันจบไป บางทีก็มานั่งถามตัวเองว่าจะเรียนและจบไปอย่างนี้จริงๆ เหรอ มันโคตรไม่ได้อะไรเลย ผมคิดถึงห้องเรียนมากๆ จนตอนนี้แทบจะจำความรู้สึกพวกนั้นไม่ได้แล้ว
อีกเรื่องคือ การทำกิจกรรม ผมรู้สึกว่ากำลังจะเสียมันไปจริงๆ แล้วก็สงสารน้องที่เพิ่งเข้ามาในมหาวิทยาลัยด้วย ชีวิตปี 1 เขาหายไปเลย ทั้งที่มันควรเป็นช่วงเวลาที่เขาจะได้เต็มที่กับชีวิตมหา’ลัยที่สุดด้วยซ้ำ เฟรชชี่มีครั้งเดียว และตอนนี้ก็มีเฟรชชี่ 2 รุ่นแล้วที่ไม่ได้ใช้ชีวิตตรงนั้น
ถ้ารัฐจัดการได้ดีกว่านี้ ผมคิดว่าช่วงชีวิตที่ผ่านมาน่าจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น ผมไม่สามารถตอบได้หรอกว่ามันจะดีขึ้นมากแค่ไหน หรือดีขึ้นในเรื่องอะไรบ้าง แต่ผมรู้สึกว่าช่วงเวลาที่หายไปตลอด 2 ปี พวกเราน่าจะได้เรียนรู้ เติบโต ได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ มากมาย และเมื่อมันเป็นเรื่องของเวลา มันเทียบเป็นความเสียหายไม่ได้จริงๆ
เนื่องด้วยการจัดการ COVID-19 อันแสนห่วยแตกของนายกฯ มันพรากการใช้ชีวิตของเรามา 2 ปีแล้ว และเราก็ต้องมานั่งจมทุกข์กับระบบการปกครองอันไร้ประสิทธิภาพที่เราไม่ได้ร้องขอ จะหนีก็หนีไม่ได้ สู้ก็ไม่รู้ว่าจะสู้ยังไงแล้ว เป็นประชาชนภายใต้รัฐบาลนี้โคตรจะไม่มีความสุขเลยผมรู้สึกว่าคนไทยมันไม่ได้อยากมานั่งด่าการกระทำต่ำช้าของรัฐบาลทุกวันหรอก ชีวิตของแต่ละคนมีเรื่องราวให้คิดอยู่เต็มไปหมดแล้ว
ผมกำลังจะจบ แทนที่จะเอาเวลามานั่งกังวล ประสาทกินกับรัฐบาล ผมควรได้ใช้เวลาแบบสบายใจมานั่งมองดูเรื่องอนาคตดีกว่ามั้ย ทำไมการเป็นเยาวชนไทยต้องมานั่งปวดหัวกับการจัดการของรัฐบาลขนาดนี้ด้วย รัฐไม่เคยสร้างความเชื่อใจให้เราเลยว่าเราจะสามารถมีอนาคตที่ดีในประเทศนี้ได้ สรุปง่าย ๆ เลยคือ ชีวิตเราจะดีขึ้นในทุกด้าน ถ้ารัฐบาลจัดการได้ดีกว่านี้ หรือถ้าให้ดีกว่านั้น ถ้าเปลี่ยนรัฐบาล ชีวิตคนและอนาคตของประเทศจะเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไปร้อยเท่าพันเท่า
เจ (นามสมมติ) อายุ 29 ปี
ตอนต้นปี 2562 ผมกำลังอยู่ในโปรแกรมฝึกช่างภาพสำหรับทำงานบนเรือสำราญ ซึ่งใช้เวลา 6 เดือนในการฝึกและทำเอกสารวีซ่าและสอบต่างๆ อีก 3 เดือน ผมทำคะแนนสอบได้เป็นอันดับต้นๆ ของทีม และเตรียมตัวหนักมาก ได้ไปถึงช่วงโค้งสุดท้าย คือเอกสารวีซ่าสำหรับทำงาน ซึ่งตรงกับช่วงเดือนธันวาคม พอดีกับช่วงที่ COVID-19 ระบาดในจีนและเข้ามาไทยในที่สุด
หลังจากนั้น เรือสำราญหยุดวิ่งทั่วโลก โปรแกรมที่ผมฝึกอยู่หยุดชะงัก และไม่นานหลังจากนั้นในบริษัทที่ผมทำงานอยู่ก็ลดจำนวนพนักงาน ผมเป็นหนึ่งในคนที่โดนจ้างออก และเรื่องเรือก็เงียบไป ผมหอบเอาเงินเดือนที่จ้างออก 3 มาหุ้นเปิดร้านอาหารซีฟู้ดที่บ้านเกิด และสมัครงานใหม่ที่บ้าน ได้ทำบริษัทออแกไนซ์ของภาครัฐ
สถานการณ์ COVID-19 เริ่มหนักขึ้น ร้านอาหารเปิดได้ 1 ปี เกิดการระบาดระลอก 2 ที่เป็นรอบอาหารทะเลจากมหาชัย แต่ก็ยื้อมาจนระลอก 3 จึงตัดสินใจปิดตัวลง ส่วนบริษัทออแกไนซ์หลังจากรับงานภาครัฐมา 1 ปี พอถึงช่วงระบาดระลอก 2 งานภาครัฐก็ถูกถอนงบประมาณและหยุดงานต่างๆ ไว้ โอกาสต่างๆ ที่เราจะได้ประสบการณ์งานใหญ่ก็ต้องหายไป
ทั้งร้านอาหาร ทั้งงาน ทั้งความฝันที่จะได้ไปเรือสำราญ ภายในเวลา 2 ปี พังทลายไปหมดทุกอย่าง ตอนนี้หอบเอาเงินก้อนที่เหลืออยู่มาทำขายของออนไลน์ ซึ่งก็ไม่ได้ขายดีนัก เพราะกำลังซื้อของคนไทยตอนนี้ต่ำมาก เลยต้องทำฟรีแลนซ์ไปด้วย ซึ่งตอนนี้ผมตัดสินใจจะย้ายออกจากประเทศนี้ โดยตั้งเป้าไปเรียนต่อที่แคนาดา และเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นู้นเลย เพราะจากสถานการณ์ในไทยตอนนี้ คงใช้เวลาอีกหลายปีในการฟื้นตัว
รัฐบาลไม่มีมาตรการอะไรที่จริงจังพอจะให้หวังพึ่งได้เลย ช่วงแรกๆ ที่ระบาดอาจจะรับมือได้ดี แต่ช่วงปีนี้หนักมาก คลัสเตอร์หลายๆ ครั้งก็ล้วนแล้วมีส่วนเกี่ยวข้องกับความไม่จริงจังของภาครัฐทั้งสิ้น เราไม่สามารถคาดหวังอะไรได้ เราพึ่งพาภาครัฐไม่ได้เลย ไม่มีอะไรที่ทำให้เราดีใจเมื่อได้ยินว่า ภาครัฐกำลังทำ สิ่งที่เขาทำมีแต่เสียงก่นด่า และถูกตั้งคำถามว่า มันทำได้ดีที่สุดแค่นี้จริงๆ หรอ หรือแค่มีนัยยะทางการเมืองแอบแฝง
ถ้ารัฐบาลจัดการกับ COVID-19 ได้ดีกว่านี้ ตอนนี้ผมคงไปยืนยิ้มทำงานอยู่บนเรือสักลำแถวแคริเบียน เพราะผลสอบผมผ่านหมดแล้ว แต่อายุของมันอยู่เพียงแค่ 1 ปี และตอนนี้ก็ยังไม่มีท่าทีที่จะรับคนใหม่ หรือต่อให้ไม่ได้ไป ผมก็คงได้โอกาสที่จะได้ทำงานใหญ่ๆ อะไรต่อไป ช่วงเวลาของการสร้างเนื้อสร้างตัวที่ดีที่สุดของผมเสียไปแล้ว 2 ปี ช่วงเวลาที่พ่อแม่เรากำลังมีความหวังว่าลูกกำลังไปได้สวย ไม่ควรมาปากกัดตีนถีบแบบปัจจุบัน
ถามว่ารู้สึกสิ้นหวังบ้างไหม ก็มีบ้างครับ แต่ถึงยังไงตัวผมเองก็ยังคงพยายามปากกัดตีนถีบไปให้รอด ถึงมันจะมองไม่ค่อยเห็นทางที่ดีเท่าไร เป็นความรู้สึกที่เราไม่สามารถหวังพึ่งอะไรกับภาครัฐได้ นั่นคือเราเลิกหวังไปแล้วว่าจะมีอะไรดีขึ้น จนผมไม่คิดจะอยู่ที่นี่แล้ว ผมเชื่อว่าผมควรได้รับชีวิตที่ดีกว่านี้ ผมสิ้นหวังกับประเทศไทย ผมอยากใช้ชีวิตช่วงที่ดีที่สุดตอนที่ผมยังมีแรงและความฝันกับประเทศที่มันดีกว่านี้
มิ้ง อายุ 27 ปี
จริงๆ ตอน COVID-19 มา เรากำลังจะเปลี่ยนงาน แต่ก็คิดว่าทำงานไปเรื่อยๆ ก่อน เก็บเงินสักก้อน แล้วลาออกเพื่อไปทำงานที่มั่นคงกว่านี้ งานเก่าเราเป็นเซลล์ในสนามบิน แต่ละเดือนได้เงินไม่เท่ากัน ปีนั้นเราใช้หนี้บัตรเครดิตหมดแล้ว เลยคิดว่าทั้งปีจะเก็บเงิน แล้วค่อยลาออก แต่มันดันเป็นช่วงต้นปีที่ COVID-19 มา สถานการณ์ก็ไม่ค่อยดีแล้ว พอเดือนกุมภาปลายๆ เขาก็ให้ work from home แล้วสถานการณ์ก็แย่ลงเรื่อยๆ กลางปีเราเลยลาออก
อีกเป้าหมายที่ตั้งใจคือ เราจะไปเรียนญี่ปุ่น ก็ยังไปไม่ได้ เพราะปลายทางเขาไม่เปิด เราคิดว่าหลายๆ ปัจจัยในประเทศไทยทำให้คิดว่า ถ้ายังอยู่ก็ไม่น่ารอดหรอก ไม่ใช่เพราะ COVID-19 อย่างเดียว คือตอนนั้นญี่ปุ่นมันเปิดแล้ว ช่วงปลายปี เปิดให้บินเข้าได้ แต่มันเพิ่งมาปิดช่วงปีนี้ ก็เลยต้องรอก่อน อันนี้คือแพลนที่เรามี แต่มันรวนไปหมดเลย
แต่พอ COVID-19 มาแล้วเราทำงานภาคท่องเที่ยว โดนเต็มๆ เลย เราทำกับลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยว อยู่สนามบิน เอาจริงๆ ตั้งแต่แรก รัฐบาลไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเลยนะ คือเงินเดือนเซลล์มันเยอะด้วยค่าคอมมิชชั่น เราเคยได้มากสุด 70,000 บาท แต่เงินเดือนเรา 9,000 บาท มีค่าภาษาฐานที่ได้คือ 13,000 บาท พอ COVID-19 ระบาดบริษัทก็ช่วย ยังให้เราอยู่ ไม่ให้เราออก แล้วตอนนั้นรัฐบาลบอกว่า ใครเดือดร้อนให้ส่งเรื่องไปหารัฐบาล แต่เราไม่ได้ตกงานไง เลยเป็นกลุ่มที่ไม่เข้าเกณฑ์
มันต้องช่วยทุกคนสิ นโยบายช่วยเหลืออะไรที่รัฐบาลออกมา เราไม่เคยได้เลย อย่างเราชนะ 7,000 บาท ก็ไม่ได้ เพราะเราเพิ่งลาออก แล้วชื่อมันยังอยู่ในประกันสังคม กดปุ๊บก็ไม่ได้ ชื่อมันขึ้นว่า ปีที่แล้วคุณมีรายได้ประจำปีเกินเกณฑ์ เอ้า มันปีที่แล้วไง ปีนี้เราไม่ได้ ปีนี้โดนทุกคน ทำไมไม่ให้ นโยบายแต่ละอย่างเฮงซวยมาก ทำเหมือนเราเป็นปลาสวาย ใครงับได้ก็ได้ไป ใครงับไม่โดนก็ช่างหัวมัน
เรื่องวัคซีนอีก การจะไปต่างประเทศ หลายประเทศเขาออกวัคซีนพาสปอร์ต มันจะมีวัคซีนที่ WHO รองรับ และประเทศนั้นๆ ใช้แล้วเขารองรับ อย่างญี่ปุ่นรับอยู่ 3 ยี่ห้อคือ Pfizer, Moderna และ AstraZeneca แล้วอย่างนี้มาบังคับเราฉีด Sinovac เราจะไปได้ไหม ก็ไม่ได้ แทนที่จะสั่งวัคซีนดีๆ เข้ามาก็ไม่สั่ง แล้ววัคซีนก็ช้ามาก ช้าเกินไป
ประเทศไทยปีที่แล้วกับปีนี้ คือจากหน้ามือเป็นหลังตีนนะ ปีที่แล้วติดเชื้อน้อย เพราะเราดูแลกันเองดี ด้วยความกลัว แต่ต่างประเทศเขาระบาดหนักมาก ทำไมรัฐบาลไม่มีแผนสำรองบ้างเผื่อว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตอนแรกเขาก็อ้างว่าจัดการได้ดีนี่นา งั้นทำไมไม่สามารถทำให้ดีต่อไปได้ล่ะ
รัฐบาลไม่คิดที่จะช่วยเหลือภาคธุรกิจไว้เลย ไม่คิดเลยเหรอว่า อีกหน่อย ถ้าประเทศมันต้องการการฟื้นตัว ทุกคนไม่มีทุนแล้วนะ เขาเป็นหนี้ เขาเจ๊งหมดแล้ว แถมมาตรการช่วยเหลือ ก็จะต้องออกมาหลังจากที่ประชาชนก่นด่าตลอด เหมือนคิดไม่ทัน ต้องให้คนคิดให้
ถ้าเขาจัดการอะไรได้ดีกว่านี้ อย่างน้อยที่สุด เราก็คงได้ถอดแมสก์แล้ว ได้ทำกิจกรรมที่อยากทำ ตอนนี้อยากออกไปข้างนอก อยากไปเดินเล่น สวนสาธารณะให้เรารู้สึกผ่อนคลาย อยากไปเดินห้าง อยากไปซื้อของ ทำไม่ได้เลย ทุกคนมันเก็บกด ถ้าเขาคุมได้แล้วจริงๆ ทุกอย่างจะดำเนินต่อไปได้ แต่ก็อย่างที่บอก รัฐบาลไม่เคยช่วยธุรกิจเลย ถึงจะถอดแมสก์ได้ ภาคธุรกิจก็คงเจ๊งไปแล้ว ต้องฟื้นฟูกันยาว
เบนซ์ อายุ 24 ปี
ช่วงก่อน COVID-19 ระบาด เราอยู่สหรัฐอเมริกา ไปเรียนภาษาแล้วก็ใช้ชีวิตดูว่าเป็นยังไงบ้าง เราเตรียมแพลนที่จะเรียนเบเกอรี่ต่ออีก 3-4 ปี ติดต่อโรงเรียนไว้แล้ว เอาจริงๆ คือกะว่าจะอยู่ยาว ไม่กลับมาไทยแล้วด้วย แต่พอ COVID-19 ตอนแรกก็คิดว่าทางนั้นจะเอาอยู่ ด้วยการจัดการของ CDC (ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐอเมริกา) ที่มีประสิทธิภาพ แต่แม่บอกว่าให้กลับไทย แล้วสถานการณ์การระบาดในสหรัฐฯ ก็น่ากลัวจริงๆ เลยคิดว่า กลับก็ได้
แต่พอกลับมาไทย ช่วงแรกๆ ถ้าจำได้ ลงเครื่องปุ๊บ เขาจะให้ไปกักตัวที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่แจ้งล่วงหน้า มีให้ไปบางแสน พัทยา เราเกือบได้ไหมแล้วนะ ถ้าเรากลับช้ากว่านั้นสัก 2-3 วัน คงได้ขึ้นรถทัวร์ แล้วไปกักตัวกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ ที่มีออกข่าวอยู่ช่วงนึง แต่ถึงไม่ได้ไป ก็เจอกับการลงทะเบียนอะไรไม่รู้ เราต้องไปเขียนว่า เราบินจากไหน ไปไหน คนออกันเต็มไปหมด ให้ใช้ปากกาจับด้ามเดียวกัน แล้วยังต้องไปโหลดแอพฯ อะไรมาอีกก็ไม่รู้ ตรวจวัดไข้ก็รอนาน มาตรการป้องกันโรคไม่มีเลย
แต่ตอนกลับมาแรกๆ ก็รู้สึกอุ่นใจนิดนึงแหละ เพราะเหมือนไทยจะคุมได้ แล้วสถานการณ์ในสหรัฐฯ ก็ค่อนข้างหนัก แต่ไปๆ มาๆ ก็คิดว่า ไม่น่ากลับมาเลย ญาติๆ เราก็แซวว่า ถ้าไม่กลับมานะ อยู่สหรัฐฯ ได้ถอดหน้ากาก ฉีดวัคซีนดีๆ ไปแล้ว แถมสถานการณ์ตอนนี้แย่กว่าเดิมมาก แมสก์เอย เจลแอลกอฮอล์เอย เราไม่เคยได้ฟรีเลย ไม่เคยแม้แต่จะได้ตรวจ COVID-19 ฟรีเลยด้วยซ้ำ
เพราะการจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้เราเสียเวลาชีวิตไปมา คืออย่างน้อยต้นปีก็ควรได้กลับไปสหรัฐฯ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ จนตอนนี้ ก็มีเงื่อนไขที่ทำให้กลับไม่ได้แล้ว คือถ้าจัดการได้ดี ได้เร็ว แจกจ่ายวัคซีนดีๆ ให้เร็วกว่านี้ อย่างน้อยก็คงป้องกันการเสียชีวิต หรือกันการติดเชื้อได้ ทำให้คงได้กลับไปเร็วขึ้น แต่พอมาถึงช่วงนี้ ก็ไม่ทันแล้ว
อ้อม อายุ 20 ปี
จริงๆ เราไม่มีความฝันมานานแล้ว เพราะเราไม่รู้ว่าสิ่งที่เราฝันจะเป็นจริงได้ไหม ในสภาพสังคมแบบนี้ ตั้งแต่ก่อนที่ COVID-19 จะมาอีก เพราะบางครั้งความฝันมันต้องแลกมาด้วยเวลาและเงิน ซึ่งตอนนี้เราหยิบจับมันได้ยาก พอมี COVID-19 ความฝันที่เราไม่กล้าจะฝันอยู่แล้ว ก็ยิ่งไปกันใหญ่ เลยไม่กล้าฝัน เพราะกลัวตอกย้ำความเจ็บปวด
แต่ว่าตอนนี้เราเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ อย่างน้อยก็อยากได้เรียนเต็มที่ พอเป็นแบบนี้ เราก็โดนปิดกั้นให้อยู่แต่กับหน้าจอ ไม่ได้เจออะไรใหม่ๆ ไม่ได้เจอกับคนจริงๆ ไม่ได้หยิบจับอุปกรณ์ที่เราควรจะได้โอกาสนั้นเลย
รัฐบาลจัดการกับ COVID-19 ได้แย่มาก เขาทำอะไรโดยที่นึกถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองว่า ถ้าตัดสินใจอย่างนี้จะได้รับผลยังไง โดยที่ไม่ได้สนใจคำด่าหรือคำวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนเลย จัดการแค่ตัวเอง ทั้งๆ ที่ผู้นำจะต้องจัดการทุกอย่าง ระบบของประเทศอยู่ในกำมือเขา แต่เขากลับทำอะไรก็ได้ให้แค่พวกตัวเองสบาย ไม่สนใจคนอื่น
ถามว่า อะไรคือสิ่งที่เราเสียไปเพราะความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล ก็คงต้องตอบว่า โอกาสดีๆ ในการศึกษา เพราะว่าเราต้องเรียนกับคอมพิวเตอร์ อย่างเราเองยังพอมีอุปกรณ์ที่เข้าถึงได้ แต่หลานเราอุปกรณ์ไม่พร้อม กลายเป็นว่า เราต้องคอยออกไปดูระหว่างเรียนว่า หลานเรียนได้ไหม เขาต้องเรียนในโทรศัพท์ บางครั้งมันก็ไม่สะดวกเรา ตรงนี้เราเลยต้องยอมเสียไป ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องที่เราควรเสียเลยด้วยซ้ำ
ตอนปีที่แล้วไม่คิดว่าจะได้เรียนออนไลน์นานขนาดนี้ พอ COVID-19 มันเริ่มซา เขาก็ให้สลับไปเรียนที่มหาวิทยาลัยบ้าง เพราะเราเรียนคณะนิเทศฯ มันต้องเข้าไปใช้อุปกรณ์บ้าง แต่ตอนนี้กลับไม่ได้เข้าไปเรียนเลย
ถ้ารัฐบาลจัดการ COVID-19 ได้ดีกว่านี้ คิดว่า ความฝันของใครหลายๆ คนก็คงกลับมาพร้อมกับโอกาส เพราะคนคงกล้าตั้งความหวังกันมากขึ้น แต่เพราะรัฐบาลจัดการ COVID-19 ได้ล่าช้า ทำให้ตอนนี้ แค่ความหวังกับอะไรซักอย่างนึง เรายังไม่กล้าหวังเลย ไม่ต้องไปคิดถึงความฝันแล้วว่าเราจะทำมันได้ไหม
บางครั้งเราก็รู้สึกนะว่าเพราะเป็นคนไทยเหรอ ทำให้ความหวังหรือโอกาสบางอย่างเราต้องหายไป เพราะถ้าจะให้พูดถึงปัญหาว่ามันมาจากอะไร เราก็ต้องมองไปที่รัฐบาลอยู่แล้ว ในเมื่อเขาเป็นคนจัดการทุกอย่าง นี่กลายเป็นว่าเขาลิดรอนทุกอย่างในชีวิตเราไป นอกจากเรื่องสิทธิและเสรีภาพแล้ว เขายังลิดรอนความหวังและความฝันของประชาชนไปด้วย