บทสัมภาษณ์โดย ปฏิกาล ภาคกาย
ช่วงสองสามเดือนมานี้ ผลงานของ TUNA Dunn หรือ ตุลยา ตุลย์วัฒนจิต นักวาดผู้ถนัดเล่าเรื่องด้วยภาษาอังกฤษ ปรากฏในหน้าฟีดเฟซบุ๊กเป็นระยะ
จริงอยู่ว่าโซเชียลเน็ตเวิร์กคือช่องทางที่ศิลปินสาววัยยี่สิบกลางๆ ใช้เผยแพร่การ์ตูนและงานภาพประกอบอยู่แล้ว หากช่วงเวลาดังกล่าว ผลงานที่แพร่หลายกลับไม่ได้มาจากเพจของเธอ
การ์ตูนของ TUNA Dunn ถูกนำเสนอผ่านเพจของ 9gag, boredpanda และอีกมากมาย ซึ่งถ้าขุดหาที่มาที่ไปดีๆ ก็น่าจะพูดได้ว่าต้นตอของเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดจากการที่เว็บไซต์ Creators สัมภาษณ์เธอถึงแนวคิดการเล่าเรื่องความสัมพันธ์และการเล่าเรื่องเป็นภาษาอังกฤษทั้งที่มันไม่ใช่ภาษาบ้านเกิด เพราะหลังจากที่บทความชิ้นนี้เผยแพร่ไป การ์ตูนต่างๆ ของ TUNA Dunn ก็ไปแพร่หลายอยู่ตามเว็บไซต์จำนวนนับไม่ถ้วน
บางคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องเหมาะสมแล้ว เพราะผลงานของ TUNA Dunn ส่วนใหญ่ล้วนสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ การที่มันถูกนำไปเผยแพร่จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดี TUNA Dunn ได้นักอ่านและแฟนคลับเพิ่ม ส่วนผู้อ่านต่างประเทศก็ได้รับสารที่ TUNA Dunn ต้องการสื่ออย่างแท้จริง ไม่ต้องมีการแปลภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษให้เสียความหมายใจความ
แต่นั่นเหมาะสมแล้วจริงหรือ?
TUNA Dunn ตั้งใจใช้ภาษาอังกฤษเพื่อส่งงานออกนอกหรือไม่?
ผลงานที่ถูกเพจต่างๆ เลือกไป ใช่แนวทางที่เธออยากให้คนรับรู้หรือเปล่า?
ผมกำความสงสัยเหล่านี้ แล้วเริ่มต้นพูดคุยกับเธอ—ในภาษาไทย
เราแค่รู้สึกว่าการวาดสไตล์นี้ ภาษาอังกฤษเหมาะกว่าเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าต้องเขียนภาษาอังกฤษเพื่อแพร่กระจายผลงานไปทั่วโลก
The MATTER : ตอนเริ่มทำเพจเฟซบุ๊ก คุณคิดหรือเปล่าว่าจะเขียนเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อสื่อสารกับคนนอกประเทศด้วย
TUNA Dunn : ไม่เลย เราแค่รู้สึกว่าการวาดสไตล์นี้ ภาษาอังกฤษเหมาะกว่าเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าต้องเขียนภาษาอังกฤษเพื่อแพร่กระจายผลงานไปทั่วโลก
เอาเข้าจริง เราไม่ได้ตั้งใจทำเพจด้วย ตอนแรกเราวาดเล่นในเฟซบุ๊กส่วนตัว รุ่นพี่รุ่นน้องมาเห็นก็กดไลค์ไปตามปกติ จนวันหนึ่งมีรุ่นพี่ (Chatchanok Wong) ทักมาว่าให้เปิดเพจ เราก็แบบ…โห รุ่นพี่ที่โคตรเก่งคนนี้บอกให้เราเปิด เราก็ต้องเปิดแล้วแหละ เขาถึงขั้นทักแชตมาส่วนตัวเลยนะ แปลว่าต้องเชื่อมั่น เห็นอะไรบางอย่างในเรา ก็เลยเปิด
เราเป็นคนไม่ค่อยวางแผนชีวิตเท่าไร เปิดเพจแล้วก็วาดรูปไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยคิดอะไร จนเมื่อช่วงปีที่แล้ว (2016) เริ่มรู้สึกว่าต้องวางแผนบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องการสื่อสารกับคนต่างชาตินะ เป็นเรื่องที่ว่าไม่อยากให้คนจ้างเราวาดแต่การ์ตูนมากกว่า อยากให้จ้างเราในฐานะอิลลัสเตรเตอร์หรือดีไซเนอร์บ้าง เราเลยพยายามสร้างงานประเภทอื่นๆ ค่อยๆ ลดการอัพโหลดการ์ตูน เพราะเราไม่ได้อยากวาดการ์ตูนตลอดไป ไม่อยากให้พอร์ตโฟลิโอเต็มไปแต่การ์ตูน และถ้าอยากทำอย่างอื่น เราก็ต้องมีผลงานให้เขาได้ดูด้วย
The MATTER : คุณอยากทำอะไรเป็นพิเศษ
TUNA Dunn : รู้สึกว่าต้องทำสินค้าออกมามากขึ้น คือหลังๆ เราเริ่มประสบปัญหา ร้านค้าเข้ามาให้โอกาส บอกว่าอยากเอาของไปขาย หรือคนทั่วไปอยากซื้อผลงานอะไรก็ได้ของเรา แต่เราไม่มีของขาย เราเลยคิดว่าควรจะสร้างงานเรื่อยๆ ไม่ใช่สร้างเพื่องานใดงานหนึ่งแล้วจบกัน เพราะถ้าเกิดเราสร้างงานไว้เยอะมาก เวลาที่มีใครสนใจ เราจะได้มีอะไรให้เขาเลือก
ล่าสุด เราทำแบรนด์ชื่อว่า Lig ร่วมกับ Nut Dao เพิ่งทำโปรดักต์เป็นผ้าห่มไป คือปกติ เราเห็นงานตัวเองแค่ในจอกับกระดาษ เลยอยากลองทำสิ่งที่มันสัมผัสได้จริงๆ ไม่ใช่อะไรที่เห็นได้ทั่วไปของการเป็นอิลลัสเตรเตอร์ อยากทำให้มันอยู่บน object ให้ใช้ในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น ไม่ใช่ว่าเห็นงานเราแค่ในดิจิตอล หรือซื้องานเราแค่แบบปรินต์ ซึ่งอนาคตก็คงทำอย่างอื่นเพิ่ม
เราต้องลองทำอย่างอื่นมากขึ้น เพราะถ้าเราวาดการ์ตูนลงเฟซบุ๊กไปเรื่อยๆ อีกสักห้าปี เราตายแน่นอน
The MATTER : ทำไมถึงอยากทำสินค้า
TUNA Dunn : มันต้องทำแล้วอะ ไม่งั้นอยู่ไม่ค่อยได้ จะรอให้คนมาจ้างก็เป็นเรื่องยาก ปีนี้เราทำใบเสนอราคาเยอะมาก แต่ไม่ได้งานเลย เหมือนเขาเก็บข้อมูลกันเยอะว่าคนนี้ราคาเท่าไหร่ พอเจอคนที่ถูกกว่า เขาก็ลาก่อน
ช่วงหลัง เราเลยพยายามพาตัวเองไปมิติอื่น ลองทำ gif ลองทำโมชั่น คือเราต้องลองทำอย่างอื่นมากขึ้น เพราะถ้าเราวาดการ์ตูนลงเฟซบุ๊กไปเรื่อยๆ อีกสักห้าปี เราตายแน่นอน
The MATTER : การต้องขยับขยายหาทางทำอย่างอื่นไปด้วยเช่นนี้ คิดว่าเพราะบ้านเราไม่มีการรองรับ ไม่ค่อยสนับสนุนคนทำงานศิลปะด้วยมั้ย
TUNA Dunn : มันคงค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปมั้ง อาจจะช้าหน่อย แต่ที่เรารู้สึกอยู่ตอนนี้คือ อีกสักพักจะมีเด็กรุ่นใหม่โผล่ขึ้นมา แล้วทุกคนอยากเป็นอิลลัสเตรเตอร์ ซึ่งรุ่นน้องแต่ละคนเก่งหมดเลย เด็กจบใหม่ก็มีมาทุกปีๆ ถ้าเราทำนั่งทำแต่สิ่งนี้ต่อไปเรื่อยๆ สักวันก็จะไม่มีใครจ้างเรา
เราว่าคนไทยค่อนข้างยึดความเป็นเซเลบ ซึ่งการเป็นเซเลบไม่ได้เป็นได้ตลอด สักพักแบรนด์ก็จะใช้เราจนช้ำ พอช้ำเขาก็ไม่เลือกเราอีก คือถ้าคุณไม่ใช่ระดับมาสเตอร์ คุณก็ต้องหาทางออกอย่างอื่นบ้าง เราจะหวังให้ตัวเองเป็นเซเลบ หรือทำงานเพื่อให้เป็นเซเลบไม่ได้หรอก ความเป็นเซเลบมันเกิดขึ้นเอง หรือที่จริงจะทำตัวให้เป็นเซเลบก็คงได้มั้ง เราก็แค่ออกงานเยอะๆ ถ่ายรูปติดโปรดักต์ลงอินสตาแกรม (หัวเราะ)
การนำเสนอตัวเองในโซเชียลมีเดียมันเป็นวิธีการเอาตัวรอดของคนยุคนี้น่ะ ซึ่งถ้าคุณจะไม่ไปทางนั้น คุณก็ต้องหาทางอื่น อย่างเราก็ป้องกันตัวเองจากการไม่มีคนจ้างด้วยการทำขึ้นมาเองไปเลย
The MATTER : แต่ขณะที่วางแผนจะหันไปทำงานด้านอื่น การ์ตูนของคุณกลับถูกนำไปเผยแพร่ในวงกว้างกว่าเดิม คุณรู้สึกอย่างไร
TUNA Dunn : ขนลุก คือต้องบอกก่อนว่าพอถูกเอางานไปลงใน 9gag หรือ Bored Panda เราก็ได้มองงานตัวเองจากมุมอื่น มองด้วยสายตาของคนนอกมากๆ ซึ่งเราพบว่ามันชวนขนลุก (หัวเราะ) คงเพราะฝรั่งเขาชอบตั้งชื่อบทความทำนองว่า This lovely comics หรือใช้พวกคีย์เวิร์ดอย่าง Love, Beautiful relationship ด้วยมั้ง
อีกอย่าง เรากลัวคนต่างชาติจะเข้าใจว่า TUNA Dunn คือมนุษย์ที่วาดการ์ตูนลงเฟซบุ๊กเป็นงานอดิเรก เพื่อความสุขของทุกคนบนโลก เพราะบางบทความ เขาจะเขียนประมาณว่า This comics will make you smile all day อะไรประมาณนี้ ซึ่งเราก็จะแบบ…ไม่นะ ไม่จริง ไม่เอาแบบนี้ได้มั้ย (หัวเราะ)
The MATTER : ยิ่งทำให้คนจดจำ TUNA Dunn เป็นนักวาดการ์ตูนมากกว่าเดิม
TUNA Dunn : ใช่ เป็นนักวาดการ์ตูนที่วาดอะไรรักๆ แฮปปี้ๆ ด้วยนะ คือเราก็รู้สึกว่า เชี่ย นี่เรากำลังจะถูกอินโทรดิวซ์สู่ชาวต่างชาติด้วยวิธีที่เรากำลังจะเลี่ยงแล้วเหรอ
The MATTER : แบบนี้คุณโอเคหรือเปล่า
TUNA Dunn : ในใจลึกๆ ก็ไม่ค่อย แต่ถ้าคิดอีกทางหนึ่ง มันก็อาจจะเหมือนกับวง One Direction
The MATTER : หืม?
TUNA Dunn : เมื่อวันก่อน เราเพิ่งได้ฟังเพลง Sign of the Times ของ แฮร์รี่ สไตลส์ (หนึ่งในสมาชิกวง One Direction) คือเขาเพิ่งทำเพลงเดี่ยว แล้วมันดีมาก ดีจนเราเจ็บใจ เพราะเราเกลียด One Direction มาก แต่เพลงนี้ดีจริงๆ
TUNA Dunn : เราเลยมาคิดว่าหรือตอนแรกจะต้องทนเป็น One Direction ก่อน ต้องยอมให้คนต่างชาติรู้จักเราในฐานะนักวาดป๊อปๆ ใสๆ ไปก่อน แล้วพอคนรู้จักเราก็ค่อยออกมาทำอะไรตามใจตัวเอง วาดในแบบที่อยากวาด ออกมาเป็นแบบแฮร์รี สไตลส์ (หัวเราะ)
The MATTER : แล้วฟีดแบ็กจากคนต่างชาติบ้างเป็นยังไงบ้าง
TUNA Dunn : ส่วนใหญ่จะบอกว่ามัน honest หรือไม่ก็ very relatable คือเรื่องที่เราพูดคงเป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้ทั่วโลกอยู่แล้ว แต่เหมือนฝรั่งจะชอบอะไรที่แฮปปี้ๆ โรแมนติกๆ มากกว่าอกหัก
The MATTER : เขามาติดตามกันเยอะมั้ย
TUNA Dunn : ตอนถูกสัมภาษณ์ลง Creators ก็มีมาประมาณหนึ่ง แต่พอถูกเอาไปลง 9gag กับ Bored Panda อยู่ดีๆ คนก็มากดไลค์เพจเต็มไปหมด ตอนแรกเพจเราจะค่อยๆ กระดึ้บ ยอดไลก์สักสามสี่หมื่น ตอนนี้หกหมื่นเฉยเลย เราว่าที่มากันเยอะช่วงนี้ คงเพราะมันถูกกระจายไปเว็บไหนบ้างแล้วก็ไม่รู้ มีคนเอาไปโพสต์เต็มไปหมด
The MATTER : คาดหวังอะไรหลังจากนี้บ้างมั้ย เช่น ได้ทำงานกับคนต่างชาติ
TUNA Dunn : ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะสิ่งที่เราตั้งใจจะทำปีนี้ก็ไม่ได้โฟกัสว่าต้องเป็นที่เมืองไทยหรือต่างประเทศ แต่ก็ตื่นเต้นที่เห็นงานของตัวเองไปถึงฝรั่ง ช่วงหลังๆ เราเช็กสถิติในเฟซบุ๊กก็เห็นว่ายอดไลก์กว่าครึ่งเป็นชาวต่างชาติทั้งนั้น
The MATTER : ขอย้อนกลับไปในช่วงเริ่มแรก คุณวาดการ์ตูนเป็นภาษาอังกฤษตั้งแต่เมื่อไหร่
TUNA Dunn : น่าจะช่วงเข้ามหาวิทยาลัย ประมาณปีหนึ่งปีสอง ตอนเด็กกว่านั้น เราก็วาดสไตล์การ์ตูนญี่ปุ่น ตัวละครพูดภาษาไทยปกติ จนตอนที่ต้องติวเข้ามหาวิทยาลัย เราต้องทิ้งเรื่องการ์ตูนไปเยอะ เพราะการเรียนด้านกราฟิกดีไซน์ การ์ตูนไม่ใช่อะไรที่จะนำมาใช้ได้ แล้วเราก็เบื่อมันพอดี การวาดแบบการ์ตูนญี่ปุ่นเลยค่อยๆ หายไป
The MATTER : ช่วงที่อ่านการ์ตูนญี่ปุ่น คุณติดตามงานใครเป็นพิเศษ
TUNA Dunn : ชอบ Honey & Clover มาก เคยวาดตามด้วย แต่ที่จริง เราอ่านการ์ตูนตามพี่ชายเป็นหลัก เราเลยได้อ่านพวก คินดะอิจิกับคดีฆาตกรรมปริศนา, Rave ผจญภัยเหนือโลก หรือพวกการ์ตูนทะลึ่งๆ อย่าง Love Hina บ้านพักอลเวง ซึ่งเรื่องหลังนี้เราเคยพยายามลอกอยู่ช่วงหนึ่ง เพราะเราเอาคอนเซปต์ไปอแดปต์กับเพื่อนที่โรงเรียน สร้างเรื่องราวว่ามีหอพัก แล้วเพื่อนทุกคนก็อยู่ในหอ ใครอยากเป็นแฟนกับใคร เดี๋ยวเราวาดให้ ทุกคนก็จะมีแฟนเป็น F4 เวอร์ชั่นที่เราวาด แต่เวอร์ชั่นเราจะไม่โป๊แบบต้นฉบับนะ (หัวเราะ) เราเรียนโรงเรียนหญิงล้วน เพื่อนๆ ในเรื่องก็จะมีแฟนเป็นดาราผู้ชาย ไม่เหมือนกับต้นฉบับที่ทั้งเรื่องมีพระเอกคนเดียว แล้วผู้หญิงทุกคนมารุมรัก
The MATTER : จากการ์ตูนญี่ปุ่นกลายมาเป็นสไตล์แบบทุกวันนี้ได้อย่างไร
TUNA Dunn : เรารู้สึกว่ามันเกิดจากการตัดทอนมากกว่า เหมือนวาดแบบนี้ก็เล่าเรื่องได้แล้ว เร็วกว่าด้วย ไม่ต้องมานั่งฝนผม วาดขนตาเยอะแยะ
The MATTER : ทำไมถึงต้องเป็นภาษาอังกฤษ
TUNA Dunn : พอวาดแบบนี้ เราก็คิดถึงภาษาอังกฤษทันทีเลย เหตุผลหลักๆ คงเพราะมุกที่เราเล่น ความตลกที่เราใช้มันเกิดมาจากการที่เราดูหนังฝรั่ง อ่านหนังสือ หรือฟังเพลงภาษาอังกฤษ เวลาเราวาดการ์ตูนเลยคิดคำพูดเป็นภาษาอังกฤษโดยอัตโนมัติ ซึ่งบางมุก ถ้าเอาไปแปลเป็นภาษาไทยก็จะแปลกๆ หรือเสียความหมายไปเลยก็มี เราเลยรู้สึกว่าพวกความตลกที่มีอยู่หน่อยๆ ในแต่ละอัน เป็นตลกแบบฝรั่ง เราเลยต้องใช้ภาษาอังกฤษ
The MATTER : ปกติใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันมั้ย
TUNA Dunn : ไม่ค่อย แต่บางทีเวลาเขียนโน้ตหรือบันทึกประจำวันก็จะใช้ภาษาอังกฤษ
The MATTER : เคยลองเขียนเป็นภาษาไทยมั้ย
TUNA Dunn : ถ้าทำเอง ไม่เคย มีแต่ที่ต้องทำมากกว่า อย่างเช่นตอนทำงานกับลูกค้าหรือตอนเขียนหนังสือสองเล่มแรกกับสำนักพิมพ์แซลมอน (I Like Like You กับ Missed) ซึ่งเราก็พอเข้าใจว่าทำไมถึงต้องทำเป็นภาษาไทย ถ้าอยู่ดีๆ โผล่มาเป็นภาษาอังกฤษ คนอ่านก็คงเหวอ
The MATTER : พอเป็นภาษาไทยแล้ว สารที่คุณจะสื่อยังอยู่ครบถ้วนมั้ย
TUNA Dunn : 80-90% คือไม่ครบถ้วน แต่ก็เข้าใจได้อยู่ดี
The MATTER : คิดว่าการ์ตูนของคุณมีความเป็นไทยหรือเปล่า
TUNA Dunn : เราไม่ค่อยคิดว่าการ์ตูนตัวเองสัญชาติอะไร แต่พอคนถามว่ามีความเป็นไทยตรงไหนมั้ย เราชอบหาไม่ค่อยเจอ คนต่างประเทศก็ชอบถามนะว่ากรุงเทพฯ ส่งผลกับงานเรายังไง เราก็ไม่รู้จะตอบยังไง หรือเอาจริงๆ คนไทยเห็นเราเขียนการ์ตูนภาษาอังกฤษ เขาก็หาว่ากระแดะแล้ว (หัวเราะ) แต่เราไม่คิดว่าต้องปรับเปลี่ยนอะไรนะ เพราะเราวาดสไตล์แบบนี้ ถ้าอยู่ดีๆ ให้ตัวละครชื่อพลอยหรือสมพงษ์ก็คงไม่ใช่
The MATTER : ที่จริง การใช้ภาษาอังกฤษน่าจะเป็นอุปสรรคในการสื่อสารกับคนไทย แต่กลับกัน งานของคุณได้รับความนิยมระดับหนึ่ง เคยคิดมั้ยว่าทำไมคนถึงชอบงานของคุณ
TUNA Dunn : คนไทยชอบอะไรรักๆ เราสังเกตมาสักพักแล้วว่าเวลาโพสต์อะไรที่ไม่ใช่ความรัก ฟีดแบ็กมักจะต่ำกว่า ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแอบชอบ ไม่สมหวัง คนจะชอบมาก ซึ่งช่วงแรก เราก็วาดเรื่องเกี่ยวกับการแอบรักเยอะ คนเลยน่าจะอินกัน เพราะต่อให้ไม่มีแฟน ทุกคนก็น่าจะเคยแอบรักกันบ้าง ในขณะที่อกหัก ถ้าไม่มีแฟนก็อาจไม่มีประสบการณ์ร่วม แล้วบางที ตัวละครในงานเราก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ประโยคมันน้อย ไม่ต้องตีความอะไรเท่าไหร่
The MATTER : เกี่ยวมั้ยว่าพอพูดเรื่องรักแล้ว ใช้ภาษาไทยอาจชวนเลี่ยนกว่า
TUNA Dunn : แอบเกี่ยว เพราะเราเรียบเรียงคำไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ ประโยคภาษาอังกฤษมันง่าย ไม่ต้องคิดคำให้ซับซ้อน เช่น การใช้คำว่า I กับ You ถ้าเป็นภาษาไทย เราต้องมาเลือกว่าจะใช้ฉัน ผม กู เรา เค้า เดี๊ยน กระผม หนู ซึ่งแต่ละคำมันให้ความหมายต่างกันหมดเลย แต่ภาษาอังกฤษมันไม่ใช่ I Love You ก็คือ I Love You เราไม่ต้องมาเลือกว่าจะพูดฉันรักเธอ ผมรักคุณ กูรักมึงแบบภาษาไทย ซึ่งแต่ละประโยค อารมณ์มันก็แตกต่างกันอีก
The MATTER : แต่ความหมายก็คล้ายกันหรือเปล่า
TUNA Dunn : ใช่ แต่ฟีลลิ่งไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ต่อให้พยายามจะเถียงว่าภาษาไทยก็เหมือนกับภาษาอังกฤษ แต่เรารู้สึกว่าภาษาอังกฤษมันโรแมนติกกว่า ไม่ชวนเลี่ยนแบบภาษาไทย เวลาเราเขียนเองก็จะไม่รู้สึกจั๊กจี้ เหมือนมันไกลตัว ไม่ใช่ตัวเราขนาดนั้น
The MATTER : เห็นคุณพูดถึงอิลลัสเตรเตอร์บ่อย คิดว่าตอนนี้ตัวเองเป็นอิลลัสเตรเตอร์ หรือนักวาดการ์ตูนมากกว่า
TUNA Dunn : จริงๆ แล้วอยากเป็นอิลลัสเตรเตอร์มากกว่า อยากได้งานสายดีไซน์มากกว่านี้หน่อย เพราะคนเข้าใจว่าเราทำได้แต่วาดการ์ตูน ซึ่งเราไม่ได้อยากวาดการ์ตูนขนาดนั้น ถ้าเราไม่ทำอย่างอื่น เราก็จะติดอยู่ในอะไรบางอย่างที่หลุดยากมาก
The MATTER : เป็นเพราะการ์ตูนของคุณมีลายเซ็นที่ค่อนข้างชัดด้วยหรือเปล่า
TUNA Dunn : คงใช่ แล้วพอมันถูกนำไปวางร่วมกับแบรนด์ คนก็ยิ่งติดภาพการ์ตูนเข้าไปใหญ่ และเขาก็จะรู้สึกว่าถ้าเราไม่วาดแบบนี้จะขายไม่ได้ คนก็อาจไม่เข้าใจว่าเราทำอะไรอยู่
The MATTER : วางแผนออกจากวังวนนี้ยังไง
TUNA Dunn : คงค่อยๆ ทำไป อย่างตอนนี้ก็เริ่มคิดว่าจะหยุดวาดอะไรรักๆ แล้ว
The MATTER : ทำไม
TUNA Dunn : เลี่ยนมั้ง แล้วอยู่ๆ มันก็เป็นเรื่องใกล้ตัว สมัยก่อนเราวาดเรื่องเหล่านี้จากมุมมองของคนที่อยู่ไกลๆ ซึ่งพอเกิดขึ้นกับตัวเองจะวาดแล้วก็ขนลุก
The MATTER : ไม่ใช่ว่าอินยิ่งขึ้น
TUNA Dunn : ไม่ คือมันใกล้ตัวไปหน่อย เวลาคนถามว่ามาจากประสบการณ์จริงหรือเปล่า เราก็ไม่รู้จะตอบคนอื่นยังไง แต่ก่อนเราตอบอย่างมั่นใจได้เลยว่าฉันโสด นี่มันไม่ใช่เรื่องจริง ส่วนเดี๋ยวนี้ นอกจากเพื่อนอ่านแล้วชอบมาแซว เราเองก็รู้สึกขนลุก (หัวเราะ)
The MATTER : แปลว่าความสัมพันธ์ในชีวิตจริงมีส่วน
TUNA Dunn : มี
The MATTER : แต่ก่อนหน้านี้ก็เขียนเกี่ยวกับเรื่องแอบรัก ไม่รู้สึกว่าใกล้ตัวเหรอ
TUNA Dunn : ช่วงมหา’ลัย เราไม่ได้ชอบใครเลย ห่างจากโมเมนต์ช่วงนั้นไปนาน แต่เรามี material อยู่ เราเข้าใจมันประมาณหนึ่ง เราเลยเขียนถึงมันได้
The MATTER : ถ้าไม่เขียนเรื่องรัก คุณจะเขียนอะไร
TUNA Dunn : อยากทำอะไรที่กึ่งไซไฟ เพราะเราน่าจะจินตนาการได้เยอะ ทั้งสภาพแวดล้อม กลไกการใช้ชีวิตในอนาคต ซึ่งเราน่าจะคิดเอง มั่วเองได้ ไซไฟมันดูมีความแฟนตาซี แล้วเราไม่ใช่คนถนัดแอคชั่น ลึกลับ ดราม่า การเมืองขนาดนั้น
อีกอย่างคือเราอยากวาดฉากแล้ว เพราะถ้าสังเกต หนังสือเล่มก่อนๆ ของเราจะไม่ค่อยมีฉากเท่าไหร่ จะมาแค่เวลาจำเป็นหรือในหน้าที่ต้องเห็นฉาก เราจะไปเน้นคน เน้นบทสนทนามากกว่า แต่หลังๆ อยากลองทำหนังสือที่มันกึ่งอาร์ตบุ๊กหน่อยๆ ไม่ต้องคุยกันตลอดเวลา อยากให้บางหน้ามันเป็นศิลปะบนหน้ากระดาษบ้าง อยากคราฟต์หน่อย คือเราเห็นพวกหนังสือของฝรั่ง มันจะมีบางหน้าที่เราเห็นแล้วอยากเปิดหน้านั้นค้างไว้นานๆ อยากทำได้บ้าง ไม่อยากให้อ่านแล้วจบกันเร็วๆ
The MATTER : คิดว่าความเป็นอยู่ของนักวาดการ์ตูนกับอิลลัสเตรเตอร์ในต่างแดนโอเคกว่าบ้านเรามั้ย
TUNA Dunn : เราเคยไปพูดที่งานงานหนึ่ง ครั้งนั้นมีนักวาดการ์ตูนชาวสเปนมาด้วย เขาบอกว่านอกจากวาดการ์ตูนแล้ว เพื่อจะมีชีวิตรอด เขาต้องทำงานอื่นควบคู่ไปด้วย หลายคนก็ต้องมีงานประจำ หรือทำอิลลัสเตรเตอร์ควบคู่กันไป
ที่นักวาดการ์ตูนเป็นแบบนี้ เราว่าคงเพราะการเขียนหนังสือมันใช้เวลานาน พอพิมพ์เสร็จก็ต้องไปลุ้นอีกว่าหนังสือจะขายได้มั้ย คนจะเข้าใจหรือเปล่า ในขณะที่อิลลัสเตรเตอร์ จบงานได้เร็วกว่า แถมถ้าเกิดฮอตมากๆ ได้ทำภาพให้กับคอลัมน์ใดเป็นประจำก็อาจได้ค่าตอบและสามารถใช้ชีวิตเป็นเรื่องเป็นราวได้ดีกว่า
เราเองมองด้วยสายตาของคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเท่าไหร่ แต่ขนาดคนสเปนยังต้องทำงานกับแบรนด์ วาดอย่างเดียวก็อยู่ไม่ได้ แปลว่านักวาดก็ไม่ใช่อาชีพที่สบาย เงินดี ชีวิตชิลขนาดนั้น ยกเว้นถ้าสร้างคาแรคเตอร์ได้แบบสนูปปี้หรืออะไรทำนองนั้นก็คงสบายหน่อย
The MATTER : ทำไมคุณไม่สร้างคาแรคเตอร์บ้าง
TUNA Dunn : ไม่ชอบ แค่นึกภาพก็ไม่ไหวแล้ว คือถ้ามันดังก็คงดี เราคงเกษียณ เอาเงินไปใช้ชีวิตบนเกาะ แต่ถ้าต้องวาดอะไรอย่างเดียวไปทั้งชีวิต เราคงเป็นบ้าประมาณหนึ่ง เสียสติแน่นอน