เสียงดนตรีและเนื้อเพลง นอกจากจะสร้างความบันเทิงและปลอบประโลมจิตใจ มันยังมีฟังก์ชั่นอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือใช้บอกเล่าเรื่องราว ซึ่งศิลปินหลายคนมักจะใช้กล่าวแทนความรู้สึกที่อยู่ในใจของตัวพวกเขาเอง
โดยเฉพาะ ‘UrboyTJ’ หรือ จิรายุทธ ผโลประการ แร็ปเปอร์หนุ่มผู้มีเอกลักษณ์ ทั้งในเสียงร้องและเนื้อหาที่แร็ป ซึ่งในวันนี้เขาพาตัวเองมาถึงจุดที่มีอัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มแรก ‘SELFMADE’ โดยความพิเศษของอัลบั้มนี้ก็คือ การกล่าวเล่าเรื่องราวชีวิตของเขาที่ผ่านมาทั้งหมด ลงไป 12 เพลงที่แต่งขึ้นมาใหม่ ยังไม่มีใครได้ฟังที่ไหน และร้อยเรียงเพลงเหล่านั้นลงไปในอัลบั้ม ราวกับเป็นสารคดีชีวิตเรื่องหนึ่ง
The MATTER เลยได้พูดคุยกับเขาถึงที่มาของอัลบั้ม และความเป็นตัวเองที่เขาสะท้อนลงไปในแต่ละเพลงนั้นมีรายละเอียดยังไงบ้าง
กลับมาพร้อมกับอัลบั้มเดี่ยวครั้งแรกในชีวิต อยากให้เล่าถึงความพิเศษของอัลบั้มนี้หน่อย
อัลบั้มนี้จะพูดถึงชีวิตของผมค่อนข้าง 100% มันจะถูกครอบไปด้วยเรื่องของความรัก แต่จริงๆ แล้วความหมายข้างหลังของมัน คือการเล่าเรื่องราวชีวิต เล่าเรื่องนิสัย เล่าเรื่องความเป็นตัวของตัวเอง ทั้งหมด 12 เพลงเลย
เข้าใจว่า 12 เพลงนี้แต่งขึ้นมาใหม่หมดเลย ต่างจากศิลปินคนอื่นที่จะรวมเพลงเก่าๆ มาทำเป็นอัลบั้ม
ใช่ ผมมีมายด์เซ็ตว่า ถ้าเรามีอัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มหนึ่ง ผมอยากให้มันเป็นอัลบั้มใหม่จริงๆ ไม่อยากจะรวมเพลงเก่า เพราะเพลงเก่ามันรวมเมื่อไหร่ก็ได้ เอามาทำเป็น re-packaging มาขายได้ แต่อัลบั้มเดี่ยวนี้อยากจะทำใหม่ทั้งหมด แล้วก็ร้อยเรียงเพลงตั้งแต่ 1-12 ให้มันคล้องจองกัน
เหมือนจะมีศิลปินอีกหลายท่านที่มาร่วมร้องในอัลบั้มนี้ เช่น วี วิโอเลต, โอ๊ต ปราโมทย์, กานต์ The Parkinson หรือ Maiyarap เหตผลเลือกที่ดึงตัวศิลปินเหล่านี้มาเพราะอะไร
จริงๆ แล้วตอนแรกผมวางไว้ว่า อัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มแรกจะต้องเป็นอัลบั้มที่เราร้องคนเดียว ไม่มีใครมาฟีทเจอริ่งด้วยเลย แต่พอทำไปได้สักครึ่งอัลบั้ม เรารู้สึกว่าเราต้องการสีสัน บางเพลงมันต้องการองค์ประกอบอื่นๆ มาช่วยให้เพลงมันแข็งแรงขึ้น อย่างเพลงที่ร้องกับวี ผมตั้งใจไว้ว่ามันจะเป็นเพลงเล่าเรื่องชีวิตของผมทั้งหมด แต่พอท่อนฮุค ผมรู้สึกว่าเราอยากได้คนที่มีจุดยืนค่อนข้างแข็งแรงมาร้อง แล้วผมดีไซน์ไว้ว่า ท่อนฮุคอยากจะให้เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด เพราะท่อนแร็ปเป็นภาษาไทยหมดเลย เลยตัดสินใจเลือกวีแล้วก็ติดต่อไปหา ซึ่งเขาก็โอเคกับเพลง
รู้สึกว่าแต่ละคนที่เลือกมาฟีทเจอริ่งด้วยนี่เหมาะกับมู้ดของเพลงนั้นๆ มากเลย อย่างของโอ๊ต ปราโมทย์ก็จะเป็นฟีลเหงาๆ อ้อนๆ
ใช่ เพลงนั้นชื่อเพลง ‘อยู่ก่อน’ (Stay) โดยตอนเขียนเดโม่ ผมเขียนขึ้นมา แล้วก็ร้องเอง แร็ปเองทั้งหมด พอมานั่งฟังไปหลายอาทิตย์ รู้สึกว่ามันขาดอะไรบางอย่าง รู้สึกว่ามู้ดทั้งหมดที่ผมร้องเอง ทำเองทั้งหมด มันดูหื่นกามเกินไป เน้นด้านเนื้อหา วิธีการเขียนอะไรงี้ เลยอยากได้ผู้ชายคนหนึ่งที่ลุคอบอุ่น เสียงร้องอบอุ่นมาร้องท่อนฮุค เลยติดต่อไปทางพี่โอ๊ต ก็ไม่มีปัญหาครับ ส่วนตัวเราสนิทกันอยู่แล้ว
อัลบั้มนี้จะมีประเด็นเรื่องโรคซึมเศร้าสอดแทรกเข้ามาด้วย อย่างเพลง ‘สักวัน’ (One Day) อยากให้เล่าถึงเพลงนี้หน่อย
จริงๆ แล้วมีเพลงสักวันกับเพลง ‘หลับตา’ (Goodnight) ครับ สำหรับเพลงสักวันมันเป็นเพลงที่ปูเข้าเพลงหลับตา จะเป็นเพลงที่พูดถึงความพยายามของเราว่า ตั้งแต่เราใช้ชีวิตมา เราไม่เคยมีความสุขเลย เราพยายามที่จะเป็นคนอื่นตลอดเวลา เราพยายามจะทำให้คนทั้งโลกมารักเรา เราพยายามจะเป็นที่ยอมรับให้ได้ เราพยายามจะทำอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ในโลกนี้ แล้วคอยบอกตัวเองว่าเราจะทำให้ได้ จะเป็นคนแบบที่คนอื่นต้องการให้ได้ แต่สุดท้ายเราก็มารู้สึก สำนึกคิดขึ้นได้เองว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันไม่มีใครที่ทำคนทั้งโลกมารักได้ มันก็เลยปูเข้าไปสู่เพลงหลับตาว่า สถานการณ์ต่อไปของการรู้ตัวว่าเป็นแบบนี้ ต่อไปมันจะมีอะไรเกิดขึ้น
เพลงหลับตา เป็นเพลงที่ดีพที่สุดในอัลบั้ม มันจะเล่าถึงเหตุการณ์ที่ผมเจอทั้งหมด เราเจออะไรมาบ้าง รู้สึกยังไง และเหงาแค่ไหน แล้วแต่ละวันเรารู้สึกว่าอยากจะนอนหลับตา ไม่อยากตื่นเลย เราไม่อยากตื่นมาเจอปัญหาอะไรต่างๆ เราไม่อยากตื่นมาเป็นคนอื่น เราไม่อยากตื่นมาพยายามทำให้คนมารัก เราเลยรู้สึกว่ามันพอแล้ว กับสิ่งที่เป็นอยู่
อยู่ในวงการบันเทิง แน่นอนว่าเราไม่สามารถเป็นตัวเองได้อย่าง 100% เคยสูญเสียตัวตนไปยังไงบ้าง แล้วมันทำร้ายตัวเรามากแค่ไหน
เมื่อก่อนผมเป็นศิลปินอยู่ในค่ายใหญ่ใช่มั้ยครับ แน่นอนว่าการทำเพลงกับค่ายใหญ่ เราจะไม่ได้เป็นตัวเอง 100% แน่นอน ยิ่งเป็นวงด้วยยิ่งยากเลย ต้องผสมกับความเป็นคนนู้นคนนี้เพื่อรวมกัน มันเลยรู้สึกว่า เราเป็นตัวเองไม่ได้ เราจะแร็ปในเรื่องที่เราอยากแร็ปได้ไม่ 100% เราจะทำเพลงในแบบที่เราชอบไม่ได้แบบ 100% อะไรแบบนั้น
ซึ่งมันก็เป็นช่วงที่ค่อนข้างอึดอัด แต่มันก็ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าคนเรามันมีหลายหน้าที่ในการใช้ชีวิต การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม มันทำให้เราเรียนรู้แล้วนำมาใช้ในชีวิตประจำวันตอนนี้ได้ ซึ่งพอเป็นศิลปินเดี่ยว เราเลยรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสดีที่เราจะได้เป็นตัวเอง โดยที่ให้คนฟังเป็นคนตัดสินใจเองว่า เขารับที่เราเป็นตัวเราได้มั้ย มันก็เลยเป็นที่มาของเพลง Selfmade ด้วย
มีการพูดถึงการฝืนเข้มแข็งต่อหน้าผู้คนด้วย คิดว่าข้อเสียของการฝืนเข้มแข็งคืออะไร แล้วในทางกลับกัน อ่อนแอออกมาบ้างก็ได้มีข้อดียังไงบ้าง
ถ้าคนที่ฟังเพลงผมหรือติดตามผม จะมองว่าผมเป็นคนแข็งแรง ด้วยลุคหรือวิธีการเขียนเพลงที่เวลาเขียนเพลงเศร้า แต่ก็ทำให้มันไม่เศร้า มันกลายเป็นว่าคนติดภาพว่า เราเป็นคนแข็งแรง แต่จริงๆ แล้วเราอยากจะบอกว่า คนเราก็ไม่ได้แข็งแรงเสมอไป มันก็ต้องมีจุดที่อ่อนแอบ้าง อยากร้องไห้บ้าง มันเป็นการเผยอีกมุมหนึ่งที่คนไม่เคยเห็น ถ้าได้มาฟังแล้วก็จะรู้ว่า บางวันเราก็ฝืนเข้มแข็งไปเท่านั้นเองแหละ จริงๆ เราก็ขี้แพ้คนหนึ่งนั่นเอง
แล้วในเพลงหลับตาจบด้วยประโยคที่ว่า ‘แค่อยากที่จะร้องไห้กับใครสักคน’ ซึ่งมันย้อนกลับไปสู่เพลง ‘กอดได้ไหม’ (One Last Time) ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่เราทำให้กับตัวเองได้ เพื่อเป็นการชาร์จพลังให้กับตัวเอง นั่นก็คือ การได้กอดกับคนที่เรารักสักครั้งหนึ่ง ซึ่งเพลงทุกเพลงในอัลบั้มมันก็จะร้อยเรียงกัน เพราะทุกอย่างมันต่อเนื่องกัน
แสดงว่าการมีใครสักคนอยู่ข้างๆ แล้วรับฟังนั่นคือเซฟโซนที่สุดของทีเจ
ใช่ครับ จริงๆ แล้วแค่รับฟังแล้วไม่ต้องพูดอะไรก็ได้นะ บางทีไม่ต้องฟังด้วย แค่อยู่ด้วยกันเราก็รู้สึกว่าเซฟแล้ว มันจะมีคนอยู่ไม่กี่คนในชีวิตที่ผมรู้สึกแบบนั้นด้วย
แล้วกับตัวเองล่ะ ถ้าต้องอยู่เงียบๆ คนเดียวมันคือการชาร์จพลังมั้ย
สำหรับผม การอยู่คนเดียวยิ่งทำให้แย่ลงนะ มันทำให้เราคิดมากขึ้น คิดไปต่างๆ นานาไม่หยุด ผมเลยไม่ชอบอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่ชอบที่จะไปอยู่กับผู้คนเยอะแยะด้วย รู้สึกว่าการเยียวยาของผมคืออยู่กับคนที่เราสะดวกใจด้วยที่สุด ใกล้ตัวที่สุด แค่นั้น
การกลับมาทำอัลบั้มเดี่ยวที่มีตั้ง 12 เพลงควบคู่ไปกับโรคซึมเศร้านั้นยากมั้ย หรือรับมือกับมันได้ดีขึ้นแล้ว
จริงๆ รับมือได้ดีกว่าเมื่อก่อนเยอะขึ้นนะครับ เมื่อก่อนผมจะเป็นหนักมากถึงขั้นเป็นไบโพลาร์ บางวันแฮปปี้ บางวันดาวน์โดยไม่มีเหตุผล ตื่นมาแล้วไม่อยากทำอะไรเลย พอโตขึ้นมา ผ่านประสบการณ์มาอีกสักปีสองปี มันทำให้เรารู้สึกจัดการกับมันได้ดีในระดับหนึ่ง ทั้งจากการรักษาของแพทย์ด้วย ก็เลยดีขึ้น
แล้วการได้มาทำอัลบั้มก็เหมือนได้บำบัดไปในตัวด้วย เพราะเรารู้สึกว่าดนตรีมันเป็นเซฟโซนของเรา เวลาเราอยู่ในสตูดิโอ ทำเพลงกับเพื่อนๆ ในห้องอัด รู้สึกว่ามันแฮปปี้ และสมองก็ได้โฟกัสอยู่ตรงนั้นตรงเดียว ไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่น
รู้สึกว่าเพลงแร็ปสามารถระบายความรู้สึกออกมาได้ดีมาก ทั้งภาษาที่ใช้มันมีความเรียล ไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาที่สวยมาก คล้องจองกันมาก
ผมพยายามจะใช้คำที่สวยงามให้น้อยที่สุด เพราะผมรู้สึกว่ายิ่งสวยงามน้อยที่สุด ยิ่งจริงใจมากที่สุด วิธีการเขียนเพลงของผมก็คือเขียนด้วยความจริงใจและตรงไปตรงมา ไม่ต้องไปฝืนเขียนให้เป็นใคร ให้เรารู้สึกจริงๆ ค่อยเขียนออกมา
ขอย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ตอนแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า สิ่งที่ UrboyTJ ในวันนั้นต้องเผชิญมันยากแค่ไหน
ผมเป็นคนที่ค่อนข้างอ่อนไหวต่อสิ่งรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดียหรือคนรอบตัว ผมเป็นคนขี้น้อยใจด้วย บางทีผมเจออะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็น้อยใจไม่เป็นเรื่อง แล้วก็ผลกระทบโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น คอมเมนต์ ผมเป็นคนที่ค่อนข้างจัดการกับมันค่อนข้างยาก แล้วเราเป็นศิลปินที่ต้องพึ่งพาโซเชียลมีเดีย ก็เลยกลายเป็นจุดย้อนแย้งที่เราไม่สามารถหนีออกจากมันได้ ทำให้เราต้องตีกับมันตลอดเวลา แล้วก็ต้องจัดการกับมันตลอดเวลา
ภายในระยะเวลา 4 ปี มันค่อนข้างทำให้ผมหนักใจพอสมควรตั้งแต่ช่วงแรกๆ จนถึงตอนนี้มันดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ถือว่าดี 100% คือเรารู้ทันทุกอย่างเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันเกิดแบบนี้เพราะอะไร เราก็พยายามเอาตัวเองออกมาจากโซเชียลมีเดียให้ได้มากที่สุด เล่นมันให้น้อยลง เล่นมันให้รู้ตัวที่สุดว่าเล่นเพื่ออะไร ทำอะไร นอกนั้นจะพยายามไม่ไปยุ่ง เพราะผมพยายามจะยุ่งเรื่องที่ไม่ใช่ของผมให้น้อยที่สุด
ในวันที่จมกับโซเชียลมีเดีย หรือช่วงเวลาที่ยังจัดการเรื่องต่างๆ ในชีวิตได้ไม่ดีเท่านี้ อยากกลับไปบอกตัวเองในวันนั้นว่าอะไรบ้าง
ผมว่าจริงๆ แล้วคนที่เป็นโรคซึมเศร้า การพูดให้กำลังใจมันไม่ได้มีผล 100% เพราะผมเคยเจอมากับตัว เช่น จะไปแคร์คอมเมนต์ไม่ดีทำไม ในเมื่ออีกหลายๆ คอมเมนต์ชมเรา คนอีกหลายร้อยคนชมเรา เราจะไปแคร์คนไม่กี่คนที่ด่าเราทำไม ซึ่งเราก็รู้ตัว แล้วคนที่พูดก็รู้ตัว แต่ด้วยสภาวะจิตใจและสมองของเราจัดการกับมันไม่ได้ เพราะฉะนั้นการบอกแบบนั้นอาจจะไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่
ดังนั้น ถ้าจะช่วยก็แค่อยู่ข้างๆ แล้วรับฟังปัญหาที่เราระบายเฉยๆ ว่าวันนี้เรารู้สึกแย่จังเลย เราไม่ชอบวันนี้ เราเบื่อ แค่อยู่ข้างๆ แล้วรับฟัง มีอะไรที่ช่วยเหลือได้ก็ช่วย แต่ไม่ต้องให้คำแนะนำ เพราะถึงแนะนำอะไรดีๆ ไป คนที่เป็นโรคซึมเศร้าเขาก็ไม่ทำหรอก เพราะสารเคมีในสมองตอนนั้นของเขาเอง
สำหรับแฟนๆ ที่อยากติดตามเรื่องราวชีวิตของ UrboyTJ ในทั้ง 12 เพลง ก็สามารถเข้าไปฟังได้ในสตรีมมิ่งทุกช่องทาง หรือรับชม Offiial Visualizer ผ่านทางยูทูบส่วน MV ก็มีแว่วๆ ว่าอาจจะได้ชมกันสิ้นเดือนพฤศจิกายนหรือต้นธันวาคมนี้ด้วยนะ