วันนี้วันศุกร์ เราออกมาดื่มด้วยกันเหมือนเคย
ผมมานั่งรอก่อนเสมอเหมือนทุกครั้ง เธอเพิ่งมาถึง วางกระเป๋าไว้ข้างตัว ถอนหายใจยาวให้กับการจราจรหนาแน่นช่วงหลังเลิกงาน ยกแก้วเย็นเฉียบขึ้นมาดื่ม เราผลัดกันบ่นเรื่องสัพเพเหระที่เจอมาทั้งสัปดาห์ หัวเราะให้กับเรื่องไร้สาระที่มีแค่เราสองคนรู้และเข้าใจ มือเราสัมผัสกันเล็กน้อยตอนเอื้อมหยิบเครื่องดื่มบนโต๊ะ ไม่มีใครตั้งใจ เราต่างรู้ดี เหมือนตอนที่เธอเอาหัวพิงไหล่ผมบนรถไฟฟ้า ตอนเธอบอกว่าผมจะเป็นแฟนได้ดีแค่ไหน ไม่มีใครตั้งใจทิ้งคำใบ้อะไรเอาไว้ทั้งนั้น เราต่างรู้ดี
เวลาล่วงเลยจนดึก ถึงเวลาที่เราต้องแยกย้าย เพื่อมาเจอกันใหม่และใช้ชีวิตแบบเดิมนี้ “ขอบคุณนะ เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเราเสมอเลย” เธอพูดแบบนี้อยู่บ่อยๆ และทุกครั้งที่ได้ยินแบบนั้น ผมต้องก้าวเท้าถอยหลังไปที่เส้นของคำว่าเพื่อนทุกครั้งเช่นกัน
Friend Zone พื้นที่ของเพื่อนไม่จริง
ไม่ว่าจะเริ่มต้นด้วยความเป็นเพื่อน หรือเริ่มต้นจากความสัมพันธ์แบบตั้งเป้าจีบมาแต่ไกล แต่ Friend Zone เป็นพื้นที่ที่เราถูกจำกัดไว้ เมื่อเราเผยความในใจออกไปแล้วอีกฝ่ายมองต่างกัน ตอนนั้นเราเลยเป็นได้แค่ เพื่อน พี่น้อง คนสนิท หรือเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้นแต่ไม่ได้เป็นไปมากกว่านี้ ไม่ได้ก้าวไปสู่การคบหาดูใจ สนิทมาก สนิทน้อย ก็ยังต้องอยู่หลังเส้นนี้เสมอ หากมองไปรอบตัว ว่าใครอยู่หลังเส้นนี้บ้าง ก็จะเจอแต่นักรบที่เต็มไปด้วยบาดแผล จากการพยายามข้ามกำแพงนั้นไป ส่วนเพื่อนจริงๆ ไม่มีใครมานั่งคิดว่าเราจะอยู่โซนไหนในชีวิตเธอใช่ไหมล่ะ พื้นที่แห่งความเป็นเพื่อนนี้ จึงมักเต็มไปด้วยเพื่อนไม่จริงเสียมากกว่า
ออกจะต่างจาก Friends with benefits เสียหน่อย ตรงที่ความสัมพันธ์นั้นมีเป้าหมายร่วมกัน มีการกำหนดขอบเขตให้กันและกันอย่างชัดเจน แต่พื้นที่เพื่อนไม่จริงตรงนี้ ไม่มีใครได้ไปไกลถึงขนาดนั้นด้วยซ้ำ หลายครั้งที่พฤติกรรมของเราเกินเส้นคำว่าเพื่อนไปไกล แต่ก็ไม่มีสัญญาณว่าความสัมพันธ์จะไปไกลได้ถึงคำว่าคนรักเช่นกัน เราอาจจะเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากไปนิด ใส่ใจกันมากไปหน่อย จนฝ่ายหนึ่งคิดไปไกล แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้เห็นปลายทางเดียวกัน
แอนโทเนีย แอ็บบี้ (Antonia Abbey) นักจิตวิทยาสังคม จาก Wayne State University กล่าวว่า “เมื่อเราคิดว่ามีใครสนใจเราอยู่ เราจะจับตาดูเป็นพิเศษ เช่น ตอนฝ่ายหัวเราะ โน้มตัวไปข้างหน้า เพื่อดูว่าอีกฝ่ายส่งสัญญาณอะไรมาหรือเปล่า ในขณะที่อีกฝ่าย ก็โน้มตัวหนีเช่นกัน แต่เรากลับไม่ได้สังเกต” นั่นหมายถึง เวลาเราคาดหวังที่จะเห็นอะไร เราจะเฝ้ารอแต่สิ่งนั้น และคิดว่าอะไรๆ ก็เป็นสิ่งที่เราอยากเห็นไปหมด สิ่งนี้เกิดขึ้นเช่นกันเวลาเราชอบใครสักคน เรามักจะรอสัญญาณจากอีกฝ่ายว่าชอบเราเหมือนกัน เอาแต่มองสิ่งที่มันเข้าข้างตัวเองได้ แล้วคิดว่าเขาชอบเราในที่สุด ทั้งที่อีกฝ่ายก็ทำตัวปกตินั่นแหละ แต่เราเลือกมองแค่บางอย่างเท่านั้นเอง
ให้ง่ายกว่านั้น เวลาเราชอบใคร เรามีแนวโน้มเข้าข้างตัวเองว่าเขาก็ชอบเราเหมือนกัน
เส้นที่ก้าวข้ามไปไม่ได้ แต่เราก็ไม่ยอมเดินจากไป
งานวิจัยในหัวข้อ Conceptualizing the Friendzone Phenomenon จาก University of Alabama พบว่า จากผู้เข้าร่วมทดลอง 787 คน อายุ 18-32 ปี 55.7% เคยเป็นทั้งฝ่ายกระทำการเฟรนด์โซนและถูกเฟรนด์โซนเสียเอง 33% เป็นฝ่ายเฟรนด์โซนคนอื่น และอีก 11.4% เคยถูกเฟรนด์โซนอย่างเดียว เมื่อมีการก้าวข้ามเส้นคำว่าเพื่อนไปแล้ว 24.8% เป็นอันต้องจบความสัมพันธ์ลง 24.1% ยังคงความเป็นเพื่อนไว้ได้เหมือนเดิม แต่อย่างน้อยก็ยังมี 1.1% ที่พัฒนาไปเป็นความสัมพันธ์แบบโรแมนติก
ความเป็นไปได้ของเรื่องนี้แม้จะมีอยู่บ้าง แต่ก็ริบหรี่เหลือเกิน เหมือนถูกถามว่ามีความหวังกับเรื่องนี้แค่ไหน ก็ต้องตอบว่ามีเพียง 1.1% เท่านั้น แต่ทำไมความเป็นไปได้อันน้อยนิดนี้ ทำให้เราไม่ยอมจากไปไหน ยังคงเฝ้าวนเวียนอยู่ตรงเส้นนั้น และหวังว่าเราจะก้าวข้ามไปได้สักที ซาแมนธา โจเอล (Samantha Joel) ผู้ช่วยศาตราจารย์ จาก University of Western Ontario กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “ผู้คนมักจะรู้สึกเสียดายความสัมพันธ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้น มากกว่าความสัมพันธ์ที่จบไม่สวย หรือการถูกปฏิเสธ” แถมสิ่งนี้ยังบอกอีกว่าเผ่าพันธุ์ของเราชอบเสี่ยงขนาดไหน
แม้จะถูกปฏิเสธไม่ให้เกินเส้นคำว่าเพื่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องหมดหวังกับเรื่องนี้ ความสัมพันธ์หลังก้าวเส้นคำว่าเพื่อนไปสู่คนรัก ยังคงเป็นเส้นชัยอันหวานชื่นที่ผลักดันให้เราวิ่งหน้าตั้งอย่างไม่ลดละ ยิ่งไกลออกไป ยิ่งอยากไปสัมผัสจุดนั้น ภาพที่เราได้จับมือกันอย่างตั้งใจ เฝ้ารอวันพบเจอด้วยความคิดถึงอย่างไม่ต้องปิดบัง พูดได้อย่างเต็มปากว่าเราคือคนรัก สิ่งเหล่านั้นทำให้เราไม่อาจก้าวไปไหนได้
เราอาจจะยอมแพ้ เมื่อได้เริ่มความสัมพันธ์แบบคนรักแล้วมันไปต่อไม่ได้ ได้เข้าใจแล้วว่าในบทบาทอื่น มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดจริงๆ แต่พอมันยังไม่ได้เริ่ม เราก็ยังจะวิ่งไปข้างหน้าอย่างมีความหวังอยู่เสมอ
ใครที่กำลังตกอยู่ในวังวนของเพื่อนไม่จริง ถ้ายังมีความหวัง เราไม่มีคำแนะนำใดนอกจากเป็นกำลังใจให้ แต่สำหรับใครที่อยากออกมาจากตรงนั้น อาจจะเริ่มจากยอมรับว่าความเป็นไปได้ของเรามันน้อยกว่าที่หวังไว้ โฟกัสไปที่ความสุขในช่วงเวลาที่ยังได้อยู่เป็นเพื่อน(ไม่จริง)กับใครคนนั้น ไม่ต้องหวังถึงการพัฒนาความสัมพันธ์อีกต่อไป แล้วถ้าอยากก้าวออกมาเป็นเพื่อนตัวจริงหรืออยากจะหลีกหนีไป ก็อยู่ที่การตัดสินใจของเราในภายหลัง ให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป หากรักที่เรามีให้ไม่ได้เกิดขึ้นในเวลาอันสั้น เราเองก็ไม่อาจตัดทุกอย่างได้ในชั่วอึดใจเช่นกัน
เลิกงานแล้ว ขอตัวไปดื่มกับเพื่อน(ไม่จริง)ก่อนนะ
อ้างอิงจาก