ปกติช่วงสิ้นปีเก่าไปจนถึงต้นปีใหม่ เราเห็นธรรมเนียมอะไรบนโซเชียลมีเดียกันบ้าง? การขอบคุณหรือขอโทษบุคคลในช่วงเวลาที่ผ่านมา จัดอันดับสิ่งที่ชอบหรือไม่ชอบ การทบทวนเรื่องราวชีวิตของตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และการตั้งปณิธานสิ่งที่อยากจะทำให้สำเร็จภายในปีหน้า
แต่สำหรับปี ค.ศ.2020 สิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดนั่นก็คือ ผู้คนออกมาทบทวนชีวิตตัวเองกันมากเป็นพิเศษ ในขณะเดียวกัน New Year’s Resolutions ก็ดูจะบางตาลง อาจจะด้วยเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นทั่วโลก จึงส่งผลให้เป้าหมายชีวิตของพวกเขานั้นเปลี่ยนไป
2020 ปีที่ชวนให้ทบทวนตัวเอง
ข้อมูลจากเครื่องมือวิเคราะห์ชื่อว่า Zocial Eye ของ Wisesight พบว่า ข้อความที่พูดถึงการทบทวนชีวิตตัวเองในปี ค.ศ.2020 ที่ผ่านมา (เฉพาะที่ตั้งค่าโพสต์เป็นสาธารณะ) มีอย่างน้อย 18,516 ข้อความ และมียอดเข้าถึง (กดไลก์ คอมเมนต์ และแชร์) รวมกันถึง 7.9 ล้านครั้ง โดยผู้หญิงจะมีการทบทวนชีวิตตัวเองมากกว่าผู้ชาย ในอัตราส่วน 60:40
อาจเพราะเป็นปีที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและการเปลี่ยนแปลง เพราะโรคระบาดใหญ่ครั้งเดียวกระทบไปถึงการใช้ชีวิตทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ สุขภาพ การเงิน หรือการงาน ช่วงสิ้นปีหลายคนจึงออกมาเล่าสิ่งที่ตัวเองได้เผชิญมา เพื่อเป็นการบันทึกเรื่องราว ความสุข ความเศร้า ความยินดี ความสูญเสีย และบทเรียนที่ตัวเองได้รับ ซึ่งจะเห็นว่าในระยะเวลาเพียงปีเดียว กลับมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นเต็มไปหมด
แต่เมื่อเทียบกับการตั้งปณิธานที่เรามักจะเห็นกันบ่อยๆ ในทุกสิ้นปี จะพบว่าปีนี้ผู้คนไม่กล้าตั้งปณิธานอะไรมากนัก
2021 ปณิธานตั้งไว้อาจไม่ยิ่งใหญ่เท่าปีก่อน
การตั้งปณิธาน หรือ New Year’s Resolution คือการที่ผู้คนตั้งเป้าหมายไว้กับตัวเอง และเพื่อเป็นคำมั่นสัญญาว่า พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเมื่อเริ่มต้นปีใหม่ แต่ในปี ค.ศ.2020 หลายคนคงรู้สึกสะบักสะบอมจากเหตุการณ์ร้ายๆ และโรคระบาด COVID-19 มา ซึ่งก็เป็นปีที่ทุกคนจะต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จึงทำให้ในปี ค.ศ.2021 นี้ ปณิธานที่พวกเขาตั้งไว้อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เนื่องจากการสะสมบทเรียนในปีที่ผ่านมา
เมื่อสอบถามคนทั่วไปถึงปณิธานที่พวกเขาตั้งไว้ในปีนี้ พบว่า บางคนยังคงยึดมั่นในปณิธานที่เคยตั้งไว้แต่แรก เช่น ตั้งใจจะทำธุรกิจที่เคยวาดฝันไว้ หรือตั้งใจจะย้ายงานให้ได้ แต่ก็ยังมีความระมัดระวัง คอยดูลาดเลาตลอดเวลา เนื่องจากสถานการณ์ที่ไม่แน่ไม่นอนในขณะนี้ บางคนก็ยังทำปณิธานที่ตั้งไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วยังไม่สำเร็จ เช่น อยากจะไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่สามารถออกนอกประเทศ จึงทำได้เพียงแค่รอไปก่อน
บางคนตั้งเป้าหมายกับเรื่องใกล้ตัวก็พอ เช่น เศร้าแค่ไหนก็จะไม่สูบบุหรี่ ตกแต่งห้องนอนของตัวเองให้น่าอยู่มากขึ้น รักงานที่ทำอยู่ให้มากขึ้น หรือพยายามมีความสุขกับปัจจุบันให้มากที่สุด และก็มีคนบางส่วนที่ไม่ได้ตั้งปณิธานใดๆ เลย อาจเพราะความไม่แน่ไม่นอนของปีนี้ที่โรคระบาด COVID-19 ระลอกสองมีแนวโน้มว่าจะทำให้ปณิธานของพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จ ก็นั่นสินะ แค่ตั้งปณิธานไว้ว่าปีนี้จะต้องผอม แต่ขึ้นปีใหม่มาได้แค่วันสองวัน สถานออกกำลังกายก็ถูกสั่งปิดเพราะมาตราการควบคุมโรคแล้วนี่นา หรืออยากจะโปรดักทีฟ เรียนรู้อะไรต่างๆ จากการทำงานมากขึ้น แต่สุดท้ายก็มาจบที่การ work from home กันอีกแล้ว
“ไม่ตั้งอะไรทั้งนั้น
แค่ไม่ตายก็พอแล้ว
หรือนี่ก็ถือเป็นการตั้งปณิธานอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ”
“ไม่ได้ตั้งเลย เพราะชีวิตไม่แน่ไม่นอน เอาแค่ว่าจะได้กลับบ้านช่วงตรุษจีนมั้ยยังไม่รู้เลย”
“รู้สึกว่าชีวิตช่วงนี้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เลยไม่รู้ว่าจะตั้งปณิธานยังไงดี”
“หลักๆ ที่ไม่อยากตั้งปณิธานก็เพราะ COVID-19 ปีนี้เรารู้สึกเครียดเรื่องงาน เรื่องเงิน ไม่รู้ว่าจะโดนไล่ออกจากงานเมื่อไหร่ มันเลยกลายเป็นแค่เอาชีวิตให้รอดก็พอแล้ว เป้าหมายอื่นๆ เลยหายไปหมด บวกกับปีที่ผ่านมา เราเคยตั้งเป้าหมายไปแล้วแต่ทำไม่สำเร็จ เลยคิดว่าไม่ตั้งดีกว่า จะได้ไม่รู้สึกแย่ ไม่รู้สึกกดดันตัวเอง ปีนี้เลยคิดว่าแค่มีชีวิตไปวันๆ ได้กินของอร่อยๆ ได้เล่นเกมที่ชอบ ดูสตรีมเมอร์ที่เรารัก แค่นี้ก็พอแล้ว การตั้งเป้าหมายก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป”
แต่การไม่มีปณิธานใดๆ เลยก็ไม่ได้แปลว่าชีวิตเราจะอยู่ไปวันๆ อย่างไร้จุดหมายหรอก โดยเฉพาะในปีที่คาดเดาได้ยากว่าปณิธานนั้นจะสำเร็จหรือไม่ และจริงๆ แล้วการจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนใหม่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจากปณิธานระยะยาวเสมอไป เพราะเราสามารถเปลี่ยนมันให้เป็นเป้าหมายเล็กๆ หรือปณิธานระยะสั้นได้ เพื่อให้เราทำสิ่งนั้นสำเร็จมากยิ่งขึ้น
ปณิธานระยะสั้นอาจทดแทนกันได้
ผลการศึกษาหนึ่ง เผยว่า มีผู้คนเพียงแค่ 25% เท่านั้นที่ยังคงทำในสิ่งที่ปณิธานไว้ตอนปีใหม่ หลังจากเริ่มต้นปีไปแล้ว 30 วัน แต่ในท้ายที่สุดก็เหลือเพียงแค่ 8% เท่านั้นที่ทำปณิธานสำเร็จ
นักจิตบำบัด ราเชล ไวน์สไตน์ (Rachel Weinstein) กล่าวว่า การตั้งเป้าหมายส่งผลต่อแนวโน้มในการประสบความสำเร็จ ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้คนล้มเหลว นั่นก็เพราะพวกเขาตั้งเป้าหมายไว้ยากเกินความเป็นจริง หรือบางคนต้องการจะเปลี่ยนตัวเองไปเป็นอีกคนโดยสิ้นเชิงภายในปีหน้าเลย ซึ่งมันเป็นเป้าหมายที่ดูยิ่งใหญ่และทำให้ท้อแท้ระหว่างทาง เพราะคิดว่ามันยากเกินกว่าจะทำสำเร็จ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในทุกๆ ก้าวเล็กๆ ที่เราเดินนั่นแหละ
หรือลองเปรียบเทียบดูก็ได้ว่า การตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ เช่น ปีนี้จะลดน้ำหนักให้ได้ถึง 10 กิโลกรัม หรือปีนี้จะไม่สูบบุหรี่เลย ทั้งที่ปีที่แล้วสูบบุหรี่จัดเหลือเกิน กับการชาเลนจ์ตัวเองเล็กๆ ว่า เดือนนี้จะลดน้ำหวานและขนมให้เหลืออย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง หรือลดบุหรี่จากวันละมวนเหลืออาทิตย์ละมวน แล้วค่อยๆ เป็นเดือนละมวน น้อยลงไปเรื่อยๆ แบบไหนดูจะเป็นวิธีที่กดดันตัวเองน้อยกว่ากัน?
การตั้งปณิธานแบบกว้างๆ อาจทำให้เราไม่เห็นเส้นทางที่เราต้องเดิน ซึ่งการตั้งเป้าหมายเล็กๆ ที่เฉพาะเจาะจงและตั้งอยู่บนความเป็นจริง นอกจากจะทำให้เราเข้าใกล้เป้าหมายและความสำเร็จมากยิ่งขึ้น โดยไม่รู้สึกตึงเครียดมากนัก ยังถือว่าเป็นการป้องกันความผิดหวังที่จะเกิดขึ้นตามมา หากเราทำสิ่งในที่ยิ่งใหญ่ไม่สำเร็จอีกด้วย
ฉะนั้น จึงอยากชวนทุกคนมาตั้งเป้าหมายเล็กๆ ในแต่ละวันหรือแต่ละเดือนกันดู อย่างเช่น วันนี้ได้กอดหมาแมวที่เลี้ยงไว้แล้วหรือยัง วันนี้ได้คำศัพท์ภาษาใหม่ๆ เพิ่มขึ้นแล้วหรือยัง วันนี้ทากันแดดก่อนออกจากบ้านแล้วหรือยัง เดือนนี้พยายามใส่เสื้อผ้าในตู้ให้ครบแล้วหรือยัง แบบนี้ก็ได้นะ เพราะเป้าหมายระยะสั้นเหล่านี้ หากทำติดต่อกันไปเรื่อยๆ ก็สามารถก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ตามมาในช่วงสิ้นปีได้เหมือนกัน
คงไม่เป็นไรหากปณิธานที่เราตั้งไว้จะไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับปีก่อนๆ เนื่องจากในปีนี้เราจะทำในสิ่งที่เราพอทำได้ ภายใต้เงื่อนไขด้านพื้นที่ งบประมาณ และระยะเวลาที่ถูกกำหนด โดยไม่กดดันตัวเองจนเกินไป
อ้างอิงข้อมูลจาก