เราถูกสอนให้เป็นคนดีมาตั้งแต่จำความได้ แม้ยังไม่มีประสบการณ์กับมันสักเท่าไหร่นัก
เชื่อฟังพ่อแม่ อยากเป็นเด็กดีดั่งใจ เชื่อฟังครู อาจารย์ ทำตามกฎของสถานศึกษา เติบโตมากับความรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้อง ได้รับคำชมเชย ชื่นชม จากคนรอบข้าง ระลึกไว้ใจเสมอว่าเส้นไหนคือความดี เส้นไหนคือการกระทำที่ไม่ควร
ดูเหมือนว่าการเป็นคนดีไม่ได้ทำไปเพื่อความพึงใจส่วนตัวเท่านั้น ยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่นเข้ามามีส่วนจูงใจให้เราทำดีด้วย บ้างเลือกทำดีเพราะจิตใต้สำนึก ความรู้สึดผิดชอบชั่วดี บ้างเพราะกฎหมาย บ้างอยากได้รับการยอมรับจากสังคม
เราเลยอยากชวนทุกคนมาพูดถึงความดีในแง่มุมทางปรัชญากับ อาจารย์ดลวัฒน์ บัวประดิษฐ์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร สำรวจลงไปถึงความดีที่เราทำนั้น เราเลือกทำเพื่ออะไร เพื่อความสุขของตัวเองหรือเพื่อให้ผู้อื่นพอใจ หากเราเร้นหายไปจากสายตาใครๆ เราจะยังเลือกคงความดีเราไว้เสมอหรือเปล่า
แค่คำถามว่า ‘ความดีคืออะไร?’ ก็กว้างใหญ่ไพศาลเกินกว่าจะพูดคุยหาคำตอบที่ครอบคลุมได้ และทุกคนก็ต่างมีคำตอบในใจกันอยู่แล้ว เนื้อหาอาจจะตรงจากสิ่งที่เคยเข้าใจบ้างหรือไม่ตรงบ้าง เลยอยากให้ลองทำความเข้าใจสิ่งนี้ เหมือนเป็นสิ่งใหม่ไปพร้อมกัน
หากจะพูดถึงความดีในมุมมองทางปรัชญา ต้องขอยืมมือ ‘จริยศาสตร์’ มาช่วยอธิบาย วิชาที่ว่าด้วยการกระทำของมนุษย์ ศึกษาหาหลักการ กฎเกณฑ์ในการตัดสินว่าการกระทำใดควรหรือไม่ควร เป็นไปเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคม
แม้เราอาจคุ้นเคยว่าการกะเกณฑ์ว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้ไม่ดี อะไรทำนองนี้มันคือเรื่องของศาสนา เรื่องทางธรรมอะไรทำนองนั้นหรือเปล่า ถ้าจะศึกษาเรื่องความดีเนี่ย จะต้องไปศึกษาคัมภีร์ทางศาสนาไหม
งั้นมาลองดูในทางจริยศาสตร์ที่เป็นแขนงของปรัชญา ได้แยกย่อยประเด็นเรื่องของความดีได้ในหลายระดับอย่างน่าสนใจ ซึ่งการแบ่งประเภทตรงนี้มีหลากหลายแบบตามแต่ตำรา แหล่งอ้างอิง อาจารย์ดลวัฒน์จึงได้หยิบยกความดี 4 กลุ่มหลักๆ ที่น่าสนใจมาพูดคุยกัน ดังนี้
- จริยศาสตร์พรรณนา (Descriptive Ethics)
การเก็บข้อมูลในเชิงประจักษ์ จากการสำรวจกลุ่มคนหรือศาสนา ว่ามีคอนเซ็ปต์หรือว่าความคิดเกี่ยวกับความดีอย่างไร แล้วก็บรรยายสรุปออกมา คล้ายๆ กับพรรณนาออกมา เช่น ศาสนา กฎหมาย กฎเกณฑ์ ข้อห้าม จารีต - จริยศาสตร์บรรทัดฐาน (Normative Ethics)
ตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวหลักการที่จำกัดความคิดเกี่ยวกับการกระทำทางจริยศาสตร์ หาคำตอบว่าการกระทำที่ดีคืออะไร การกระทำหนึ่งมันเป็นการทำที่ดีเพราะอะไร มีหลักการอย่างไรมีวิธีการคิดเกี่ยวกับมันอย่างไร - จริยศาสตร์ประยุกต์ (Applied Ethics)
การเอาหลักการทางจริยศาสตร์ไปประยุกต์ใช้กับกรณีต่างๆ - อภิจริยศาส (Metaethics)
พูดถึงหลักการทางจริยศาสตร์ที่คนใช้กันในชีวิตประจำวัน พูดถึงตัวหลักการโครงสร้างที่มันกำกับวิธีการคิดเกี่ยวกับตัวคำถาม เช่น ความดีหมายความว่าอย่างไร ความดีมีจริงไหม
ครั้งนี้เราจะพูดคุยถึงจริยศาสตร์บรรทัดฐาน (Normative Ethics) เป็นหลัก ด้วยตัวเนื้อหาที่จะพาเรากลับไปตั้งคำถามถึงบรรทัดฐานต่างๆ ว่าหากพูดถึงความดีแล้ว จะมีเส้นแบ่งใดเกิดขึ้นบ้าง จนได้เป็นแนวทางบางอย่างที่เราสามารถที่จะเอามาใช้ในการจำกัดการกระทำของเราได้ และในจริยศาสตร์บรรทัดฐานนี้ ได้แบ่งย่อยลงไปเป็น 3 กลุ่มหลักๆ ดังนี้
- Deontology จริยศาสตร์ที่เชิงหน้าที่
- Consequentialism จริยศาสตร์เชิงผลลัพธ์
- Virtue Ethics จริยศาสตร์เชิงคุณธรรม
ทั้ง 3 กลุ่มที่กล่าวถึงนี้ จะให้น้ำหนักความสำคัญต่างกัน แต่ละกลุ่มจึงมีนักคิด นักปรัชญา ที่โดดเด่นในแนวคิดนั้น จุดนี้แหละที่จะเริ่มแจกแจงแล้วว่า ใครมองความดีแบบไหนบ้าง อาจารย์ดลวัฒน์เล่าถึง 3 แนวคิดนี้ในเบื้องต้น เป็นการปูพื้นฐานก่อนเริ่มเนื้อหา
“ตัวจริยศาสตร์ทั้ง 3 เวลาที่เราพูดกันจะรู้จักมันผ่านตัวแทนที่โด่งดังในแต่ละกลุ่ม อย่าง Deontological Ethics เราก็จะนึกถึงแนวคิดของ Immanuel Kant ตัว Consequentialism เราก็จะนึกถึงแนวคิด Utilitarianism ของ John Stuart Mill และ Virtue Ethics เราก็จะนึกถึงตัวอย่างแนวคิดของ Aristotle เพราะว่าตัวแนวคิดของทั้ง 3 คนมีความโดดเด่น มีความสำคัญ ในแง่ที่มันกลายมาเป็นแม่แบบของวิธีการคิดเกี่ยวกับจริยศาสตร์ในรูปแบบนั้นๆ แต่ทั้ง 3 กลุ่มมันก็มีแนวคิดอื่น ๆ นอกจากนักปรัชญาเหล่านี้เหมือนกัน”
งั้นเรามาเริ่มกันเลยว่าแต่ละแบบ มีมุมมองต่อความดีอย่างไรบ้าง?
Deontology เราเป็นคนดีเพราะเป็นหน้าที่
ไม่ต้องรอให้ใครมาบอกหรือมาชี้ เราเป็นคนดีเพราะมีหน้าที่นี้ติดตัว ในกลุ่มนี้ นักปรัชญาที่โดดเด่นเป็นชื่อที่เราอาจคุ้นหูกันดีอย่าง อิมมานูเอล คานท์ (Immanuel Kant) คานท์มองว่าที่คนเราเลือกทำดีหรือต้องเป็นคนดีนั้น เป็นไปเพราะหน้าที่ในฐานะมนุษย์ ซึ่งมนุษย์เป็นสิ่งที่มีเหตุผล เราเลยต้องทำหน้าที่ต่อเหตุผลของเราเอง และการทำตามเหตุผลของตนเองราวกับเป็นหน้าที่นี้เองคือสิ่งที่ทำให้การกระทำนั้นเป็นความดี
แต่ทีนี้ ตัว Deontological เองอาจจะไม่ใช่จำเป็นจะต้องออกมาในรูปแบบหน้าที่ในฐานะมนุษย์ตามข้อเสนอของคานท์เพียงอย่างเดียว มันออกจะขยายไปกว้างกว่านั้นเสียหน่อย อย่าง หลักศีลธรรม ทางศาสนา บัญญัติสิบประการของคริสตศาสนา หรือจะเป็นบนพื้นฐานของหลักกฎหมายหรือว่าหลักการของสังคมบางอย่างอย่าง ที่กำหนดไว้ว่าเป็นหน้าที่ใดๆ อย่างหน้าที่ของศาสนิก หน้าที่พลเมือง ก็นับว่าอยู่ในจริยศาสตร์ที่เชิงหน้าที่เช่นกัน
Consequentialism เราเป็นคนดีเพราะนึกถึงผลที่ตามมา
จะทำดีทั้งที ผลจากความดีต้องเป็นประโยชน์แบบถ้วนหน้า กลุ่มนี้เน้นไปที่ผลลัพธ์ของการกระทำ หากเลือกทำอะไรก็ต้องมั่นใจว่าผลลัพธ์ของมันจะออกมาดี กระทำที่ดีที่สุดคือการกระทำที่ก่อให้เกิดผลดีมากที่สุดหรือก่อให้เกิดผลเสียน้อยที่สุด
สำหรับนักปรัชญาที่มีแนวคิดสอดคล้องกับจริยศาสตร์เชิงผลลัพธ์ คงหนีไม่พ้น จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) กับแนวคิด Utilitarianism เน้นไปยังประโยชน์ส่วนรวม ยิ่งทำดีแล้วคนได้ประโยชน์มาก แบบนี้แหละยิ่งบวกแต้มต่อของความดี
Virtue Ethics เราเป็นคนดีเพราะควรฝึกตนให้ดีเข้าไว้
เราจะทำดีได้ก็ต้องมาจากสารตั้งต้นที่ดี ก็คือตัวเราที่เป็นคนดีก่อน เราเลยต้องขัดเกลา สร้างลักษณะนิสัยที่ดีให้กับตัวเอง คุณธรรมในการตัดสินใจทาง โดยแนวคิดนี้ได้รับอิทธิพลจากอริสโตเติ้ล (Aristotle) ที่มองว่าคนเราควรใช้ชีวิตโดยมีจริยธรรม เพราะมันสามารถชี้ทางให้ชีวิตเราแยกแยะนิสัยดีที่และไม่ดีออกจากกันได้
หากยังไม่เห็นภาพว่าแต่ละแบบต่างกันอย่างไร ให้น้ำหนักที่ดีอะไร งั้นเราลองมาดูสถานการณ์สมมติกันดีกว่า หากมีเด็กตกน้ำอยู่ตรงหน้า ลงไปช่วยน่ะช่วยแน่ แต่เราจะเลือกลงไปช่วยเพราะอะไร?
ฝั่ง Deontology จริยศาสตร์ที่เชิงหน้าที่ อาจเลือกช่วยเพราะกฎหมายกำหนดไว้ ว่าเจอคนอยู่ในอันตรายถึงแก่ชีวิต เรามีหน้าที่เข้าไปช่วย หากเราไม่ยื่นมือช่วยเหลือเราเองก็จะมีความผิดตามกฎหมาย
ฝั่ง Consequentialism จริยศาสตร์เชิงผลลัพธ์ อาจจะประเมินก่อนว่า หากเราลงไปช่วยแล้วเราจะช่วยได้แน่ๆ ใช่ไหม เราว่ายน้ำแข็งขนาดนั้นหรือเปล่า มีวิธีอื่นที่ปลอดภัยกับทุกฝ่ายกว่านี้ไหม แต่เมื่อเลือกยื่นมือเข้าไปช่วยแล้ว ก็อยากช่วยเพราะเด็กรอด คือผลลัพธ์ที่ทุกคนอยากเห็น
ฝั่ง Virtue Ethics จริยศาสตร์เชิงคุณธรรม คิดง่ายๆ เราช่วยเหลือกันเพราะเราเป็นคนมีคุณธรรม เราเป็นคนมีน้ำใจ หวังดี กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ทำความเข้าใจจนมาถึงตรงนี้แล้ว ดูเหมือนว่าการเลือกทำดีสักอย่าง มันมองออกไปยังสิ่งอื่นที่อยู่ภายนอกไปเสียหมด ทั้งทำไปเพราะหน้าที่ ทำไปเพราะอยากเห็นผลลัพธ์ในวงกว้าง ทำไปเพราะอยากใช้ชีวิตเป็นคนดีในสังคม จุดนี้เลยชวนให้เราย้อนกลับไปถามตัวเอง เราทำความดีเพื่อตัวเองหรือเพื่อผู้อื่นกันแน่?
“ตัวแนวคิดทางจริยศาสตร์เหล่านี้ ในท้ายที่สุดแล้ว การกระทำสิ่งที่ดีหรือว่าถูกต้องในทางจริยศาสตร์ มันไม่ได้ส่งผลต่อแค่ตัวเองอย่างเดียว แต่มันจะส่งผลทั้งตัวเองและสังคมไปทั้งพร้อมกัน”
คำตอบของอาจารย์ดลวัฒน์ ชี้ให้เราเห็นชัดขึ้นว่า ไม่ว่าแต่ละกลุ่มจะเน้นน้ำหนักไปที่จุดไหน สุดท้ายแล้ว มันออกมาในแง่ที่ต้องการให้เรา ผู้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม เป็นจุดเล็กๆ ที่ดี และดีต่อๆ กันไปในทุกจุด จนกลายเป็นภาพใหญ่ในสังคม เพราะคนหนึ่งไม่อาจหลุดออกจากความเป็นวงสังคมได้เสียทีเดียว แนวคิดเกี่ยวกับความดีจึงยังยึดโยงคนเข้ากับสังคม เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
ทำไมถึงคิดว่าเรากำลังทำดีเพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม?
ลองมาดูข้อเสนอของคานท์ มองว่าเราทำความดีเพราะมันคือหน้าที่ของมนุษย์ที่เป็นสิ่งที่มีเหตุผล ฟังแล้วดูจะทำดีไปเพราะความมีเหตุผลของตัวเองเป็นหลักใช่ไหม แต่คานท์ก็มองต่อยอดไปอีกว่าความมีเหตุผลที่ว่านี้ มันไม่ใช่ธรรมชาติของแค่มนุษย์คนใดคนหนึ่ง แต่มันเป็นธรรมชาติร่วมกันหรือศักยภาพร่วมกันของมนุษย์ทั้งหมด
ขยับมาที่ Utilitarianism ของมิลล์ ค่อนข้างชัดเจนที่สุดว่าทำไมเราถึงทำดีเพื่อสังคม แม้จะเน้นที่ผลลัพธ์ของการกระทำก็จริง แต่เราไม่ได้พิจารณามันจากผลที่มันเกิดขึ้นกับตัวเราเองเพียงคนเดียว แต่ก็พิจารณาตัวเองในฐานะที่เป็นสมาชิกหนึ่งของสังคม อะไรที่เกิดขึ้นในสังคม มันก็ส่งผลกระทบหรือว่าแรงกระเพื่อมมาที่ชีวิตเราอยู่ดี
ปิดท้ายที่ Virtue Ethics พูดถึงการบ่มเพาะ ขัดเกลา คุณลักษณะความมีคุณธรรมของตัวเราเองเป็นหลัก แต่ตัวคุณธรรมส่วนมากมันก็เชื่อมโยงในฐานะส่วนหนึ่งของสังคมอยู่ดี อย่างที่อริสโตเติลมองว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมด้วย เป็นสัตว์ที่มีเหตุผลด้วย ความหมายของอริสโตเติล คือเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่นหรือสมาชิกเผ่าพันธุ์เดียวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เวลาพูดถึงการขัดเกลาคุณลักษณะความเป็นมนุษย์ มันก็รวมไปถึงคุณลักษณะคุณธรรมบางอย่างที่ทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกับคนในสังคมได้
ดูเหมือนว่า สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าเราจะเลือกทำความดี เลือกเป็นคนดีเพราะอะไร เลือกจากแนวคิดไหน ก็ล้วนทำไปเพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคมทั้งนั้น คำถามที่เรากำลังสงสัยในข้างต้นนั้น จึงอาจตอบได้ว่า เรากำลังทำความดี เป็นคนดี ทั้งเพื่อตัวเองและเพื่อสังคมไปพร้อมๆ กัน ในฐานะที่เราเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนั่นเอง เพียงแต่เราจะเลือกเหตุผลโน้มเอียงไปตามแนวคิดไหน มันต่างกันเพียงจุดที่แต่ละแนวคิดให้น้ำหนักเท่านั้นเอง
“ไม่มีจริยศาสตร์ไหนในกระแสหลัก ที่แยกตัวความดีของคนส่วนหนึ่งออกจากจากสังคม”
อาจารย์ดลวัฒน์พูดปิดจบคำถามคาใจไว้แบบนั้น ดูเหมือนคำถามก็ได้รับคำตอบที่ครบถ้วนแล้ว แต่อาจารย์หยิบยกอีกหนึ่งแนวคิดเกี่ยวกับความดีที่น่าสนใจ และอยู่นอกเหนือจากสิ่งที่เราพูดคุยกันพอสมควร
นั่นคือแนวคิดของ เอ็มมานูเอล เลวีนาส (Emmanuel Levinas) ที่ให้ความสนใจไปที่แรงกระตุ้นให้เราทำความดี สิ่งที่ขับเคลื่อนหรือว่ากระตุ้นปลุกเร้าให้เราสินใจว่าเราจะกระทำสิ่งใดในทางจริยศาสตร์ เขาเรียกสิ่งนี้ว่า ‘ประสบการณ์ทางจริยศาสตร์’
โดยมองสิ่งที่เข้ามากระตุ้นว่ามันจะทำงานแบบสองขั้นตอน ขั้นแรกเกิดจากการที่เรามีประสบการณ์แบบ Intersubjectivity พูดง่ายๆ คือ ประสบการณ์ของการพบเจอกับสิ่งอื่นที่ไม่ใช่เรา เหมือนกับว่าเราตัดสินใจทำอะไรสักอย่างเพราะเรากำลังมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งอื่นอยู่
อาจารย์ยกตัวอย่างถึงเวลาเรานั่งเมล์ หากทั้งรถมีเพียงเราคนเดียว เราอาจอยู่ในท่าทางสบายๆ ไม่ระวังอะไรมาก แต่เมื่อมีคนขึ้นมาบนรถคันเดียวกัน เราอาจนั่งให้เรียบร้อยขึ้น เพราะเราสามารถกลับมาตั้งคำถามต่อการกระทำของตนเองได้
เหมือนกับเราถูกเรียกให้ตอบสนองต่อสิ่งอื่นตรงหน้าเสมอ เรารู้สึกถึงความรับผิดชอบของเราหนักกว่าคนอื่น เรารู้สึกว่าเหมือนกับเหตุการณ์นี้มันพุ่งเป้าเฉพาะเจาะจงมาที่เรา จังหวะของประสบการณ์แบบนี้นี่แหละที่เราจะตระหนักถึงความเป็นหนึ่งของตัวของเราที่สุด เพราะว่าไม่มีใครตอบสนองสิ่งนี้แทนเราได้
อีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจ อาจารย์ยกตัวอย่างถึงมีเด็กล้มตรงหน้าเรา เราอาจจะรู้สึกว่า ทำไมกันนะ คนตั้งมากมาย ทำไมต้องเป็นเราที่ถูกเลือกให้เด็กมาล้มต่อหน้าด้วย และใครจะเลือกตัดสินใจแทนเราได้ล่ะ มีเพียงตัวเราเท่านั้นที่ตัดสินใจได้ว่าจะเลือกช่วยแบบไหนดี?
ถือเป็นอีกหนึ่งแนวคิดที่น่าสนใจนอกเหนือจาก goo ที่พูดถึงในตอนต้น ยิ่งชี้ชัดว่ามนุษย์เราแสวงหาคำตอบแม้แต่กับสิ่งที่ดีในตัวอยู่แล้วอย่างการทำความดี ความเป็นคนดี อาจหมายถึงว่ามนุษย์เราไม่เคยหมดคำถามต่อตัวเราเองเลยแม้แต่น้อย
แล้วทุกคนล่ะ คิดว่าเราเลือกทำความดี เลือกเป็นคนดีเพราะอะไรกันนะ