ปีนี้หลายคนบอกว่าโหดที่สุดนับตั้งแต่เกิดมา หนักหนาสาหัสเอาการสำหรับทุกคน โดยเฉพาะคนทำธุรกิจ ทุกอย่างซัดถาโถมจนแทบตั้งตัวไม่ทัน บางคนอาจจะเกือบล้มทั้งยืน
แต่ในเมื่อปีหน้ากำลังจะมาถึงแล้ว…
ไม่ว่าคุณจะทำงานอะไร เป็นผู้ประกอบการสายไหนที่ได้รับผลกระทบตั้งแต่ต้นปีกับเหตุการบ้านเมือง ลามมาจนโรคระบาดที่ยังไม่จบสิ้นเสียที เราลองมานั่งนับบทเรียนที่เราเรียนรู้ในปียากลำบากนี้ เพื่อไปเริ่มใหม่กันปี 2021 ที่กำลังจะถึงสักหน่อยดีกว่า
มีบทความของเว็บไซต์ Inc. ชวนเรากลับมาทบทวนบทเรียนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปีหน้า โดยเขาชวนเราไปสำรวจว่าเราเรียนรู้อะไร และจะใช้บทเรียนนั้นยังไงในปีหน้าได้บ้าง
หัดเป็นเพื่อนกับความไม่แน่นอน
ผิดแผนไปหมด นี่มันปีแห่งการผิดแผน คุยกับใคร ใครก็บอกว่าเซ็งจัง ปีนี้ตั้งเป้าอะไรพังหมด เที่ยวก็ไม่ได้เที่ยว แผนเงินเก็บพังไม่เป็นท่า จะซื้อบ้านก็ไม่กล้า ขอเก็บเงินสดไว้หน่อยไม่รู้จะเจออะไรอีก
คนทำธุรกิจก็เช่นกัน รันธุรกิจอยู่ดีๆ กำลังขายได้ปังๆ อ้าว เจอล็อกดาวน์เสียงั้น คาเฟ่ฉันเงียบกริบ – ต่อให้คุณเก่งการตลาดโซเชียลแค่ไหน แต่ปีนี้สอนให้คุณรู้ว่า คุณไม่สามารถกำหนดผลลัพธ์ที่ต้องการได้เหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไป
ปีหน้าก็ยังไม่รู้จะมาท่าไหน ดังนั้นสำคัญที่ต้องทำ ก็คือการเรียนรู้ที่จะดีลกับความสถานการณ์ไม่แน่นอน และผลลัพธ์ที่คาดการณ์ไม่ได้ ด้วยตัวคุณเอง ด้วยจิตใจที่อ่อนแอได้ แต่ก็ต้องไปต่อให้ได้
เรื่องนี้อาจจะต้องเริ่มจากการเรียนรู้ตัวเอง ดูว่าตัวเองเป็นคนวิตกกังวลแค่ไหน และจะจัดการกับอินเนอร์ภายในตัวเองด้วยสติได้อย่างไร แต่เมื่อคุณเริ่มจัดการตัวเองได้ คุณจะเป็นคนที่พึ่งพาได้ และแน่นอนเมื่อคุณทำธุรกิจ ความมั่นใจว่ารับมือได้ทุกสถานการณ์ จะส่งพลังให้กับคนรอบข้างพร้อมกันเดินหน้ารบกับทุกสงครามแห่งความไม่แน่นอน
ถอยหลังกลับมามองภาพรวม
แน่นอนว่าการทำธุรกิจย่อมต้องการกำไร และทุกบริษัทก็เร่งเดินหน้าออกแบบกลยุทธ์เพื่อค้าขาย แต่โลกเปลี่ยนไปแล้ว และหากอยากอยู่รอด ต้องมองถึงระยะยาวออกไปอย่างน้อย 5 ปี
- ลงทุนอะไรดีที่จะต่อยอดธุรกิจเราได้ในอนาคต
- มองหาโอกาสใหม่ เช่น ธุรกิจด้านเทคโรโลยี หรือสังคมสูงวัย
- สกิลใหม่ๆ อะไรบ้างที่อยากให้พนักงานมี
- คัลเจอร์องค์กรแบบไหนที่ต้องการ
- พาร์ทเนอร์ชิปแบบไหนที่เราสามารถสร้างได้
เพราะคนคือทรัพยากรที่สำคัญที่สุดขององค์กร เตรียมคนทำงานให้พร้อม การลงทุนเรื่องพวกนี้อาจจะไม่เห็นผลทันที และอาจจะมีความเสี่ยง แต่เมื่อคุณอัพสกิลตัวเองและผู้ร่วมงานแล้ว ผลที่งอกเงยในอนาคตนั้นอาจจะว้าวกว่าที่คิด
บิล เกตส์ แห่งไมโครซอฟต์บอกไว้ว่า “ผู้คนมักจะประเมินสูงเกินไปสำหรับสิ่งที่ทำได้ภายในหนึ่งปี แต่มักประเมินสิ่งที่จะทำได้ในอีก 10 ปีข้างหน้าต่ำเกินไปเสมอ”
ช้าลงสักหน่อย แต่ไปต่อได้ชัวร์ๆ
หลายคนเชื่อว่าชีวิตการทำงานที่ยุ่งสุดๆ นั้น เป็นเครื่องหมายแห่งความสำเร็จ แต่บางทียุคแบบนี้อาจจะไม่ใช่เสมอไป
บางทีการไปอย่างช้าๆ อาจจะหมายถึงความราบรื่น และความราบรื่น อาจจะหมายถึงความเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ ที่พูดแบบนี้ก็เพราะการไปอย่างช้าๆ จะทำให้คุณมองเห็นข้อผิดพลาดได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น และทำให้ไปต่อได้อย่างไม่มีสะดุด
ยกตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการทำการตลาด อย่ารีบร้อนขาย โดยไม่ศึกษากลุ่มเป้าหมาย หรือสินค้าตัวเองให้ดีว่าจะมีข้อบกพร่องอะไรบ้าง (แต่เราไม่ได้บอกว่าให้ช้าเสมอไป ถ้ามีดีลอะไรดีๆ ที่มั่นใจ ก็คว้ามันให้อยู่หมัดอย่าให้พลาด)
ขณะเดียวกันอย่าโทษตัวเองหากผิดพลาด ความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ทุกคนนั่นแหละ และอย่าลืม ไม่ใช่ทุกวันที่จะสำเร็จ แต่ไม่ใช่ทุกปีที่จะล้มเหลว
อ้างอิงข้อมูลจาก