“ขนมอันนี้ไม่ใช่แบบนี้นิ”
“อาหารชนิดนี้เขาไม่ได้ทำแบบนี้นะ”
“คำนี้ไม่ได้หมายความอย่างนี้เสียหน่อย”
หลายครั้งเมื่อเจอวัฒนธรรมที่แตกต่างจากความคุ้นชิน เราก็มักมองและตั้งคำถามต่อวัฒนธรรมเหล่านั้น ว่าอันไหนที่ถูก อันไหนคือของแท้ คือต้นตำหรับ หรือกระทั่งแบบไหนคือดีที่สุด คำตอบของคำถามเหล่านี้ อาจไม่ใช่แค่การจิ้มและเลือกว่าอันไหนคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุดเพียงหนึ่งเดียว ในเมื่อวัฒนธรรมบางอย่างก็อาจมีความหลากหลายมากกว่าที่เราคิด
หากลองหยิบสุ่มพื้นใดพื้นที่หนึ่งขึ้นมา เราอาจพบว่าภายในนั้นเต็มไปด้วยวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเชื่อ ภูมิปัญญา ฯลฯ อันหลากหลายและแตกต่างอยู่รวมกันในที่เดียว ซึ่งมันได้กลายเป็นความหลากหลายวัฒนธรรม และช่วยก่อร่างกลุ่มสังคมแห่งนั้นขึ้นมา
ด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรมในสังคมที่ควรค่าแก่การเคารพ ครั้งนี้ The MATTER จึงอยากพาทุกคนไปทำความเข้าใจกับเรื่องของ ‘พหุวัฒนธรรม’ พร้อมด้วยเหตุผล ว่าทำไมเราถึงควรเคารพต่อทุกวัฒนธรรมร่วมในสังคม
พหุวัฒนธรรมความหลากหลายที่อยู่ในสังคม
เราอาจเคยคิดกันว่า ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งจะต้องมีเพียงวัฒนธรรมเพียงอย่างเดียว ครอบและคลุมผู้คนให้ยึดถือร่วมกัน หากแต่ความเป็นจริงการจะเกิดสังคมขึ้นมาได้ อาจไม่จำเป็นต้องมีแค่วัฒนธรรมเดียวเสมอไป
คำว่า ‘พหุวัฒนธรรม (multicultural)’ จึงเกิดขึ้นมา เพื่อสอดประสานรับไปกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ในสังคม โดยงานศึกษาเกี่ยวกับพหุวัฒนธรรมนิยมใน Jurnal Ilmiah Peuradeun อธิบายถึงนิยามของคำๆ นี้เอาไว้ว่า เป็นแนวคิดที่อธิบายถึงการดำรงอยู่ การยอมรับ และบางกรณีคือการส่งเสริมให้มีหลากหลายทางวัฒนธรรมอยู่ร่วมกันภายในสังคมหรือพื้นที่เดียวกัน

งานศึกษาข้างต้นยังชี้ให้เห็นถึงที่มาที่ไปและต้นกำเนิดของแนวคิดนี้เอาไว้เพิ่มเติมด้วยว่า พหุวัฒนธรรมเป็นแนวคิดเกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่อสังคมเปิดรับวัฒนธรรมของผู้อพยพหรือผู้มาเยือนหน้าใหม่ หรือหากพูดในเชิงอุดมคติ มันก็คือการที่คนในพื้นที่เดิมและคนที่มาใหม่เปิดใจยอมรับและเรียนรู้วัฒนธรรมของกันและกัน
ลองนึกภาพว่า วัฒนธรรมเป็นวงกลม 1 วง ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบใหญ่ที่เรียกว่าสังคม และในกรอบสังคมนี้ยังมีวงกลมวัฒนธรรมเล็กๆ อีกมากมาย โดยพวกมันมีสีสัน พื้นผิว และขนาดที่แตกต่างกัน หากแต่พวกมันอยู่ร่วมกัน ทับซ้อนกัน ภายใต้กรอบสังคมเดียวกัน เหล่านี้ก็คือความหลากหลายทางวัฒนธรรม ถ้าเราเข้าใจและเคารพถึงการมีอยู่ของกันและกันมันก็จะกลายเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมได้
และหากจะยกตัวอย่างให้ทุกคนเห็นภาพชัดเจนมากที่สุดว่า พหุวัฒนธรรมหน้าตาประมาณไหน ก็อยากให้ทุกคนลองนึกถึงในสังคมเราจริงๆ อาหารสักชนิดที่เราคุ้นหูคุ้นปากกันเป็นอย่างดี อย่างเช่น ส้มตำ มันก็มีทั้งส้มตำที่มีแค่เส้นมะละกอและเครื่องส้มตำ ทว่าบางทีก็อาจมีการเพิ่มกระถิน กระเทียม หรือวัตถุท้องถิ่นอื่นๆ เพิ่มลงไปในส้มตำ ซึ่งมันก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่แตกต่างหรือแปลกออกไปจากการรับรู้เดิมของเราจะไม่ใช่ส้มตำ ไม่ว่าจะแบบไหนก็ยังคงเป็นส้มตำ เพียงแต่ต่างที่มา ต่างต้นตำหรับ มาอยู่ร่วมกันผ่านการเข้ามาของคนในแต่ละพื้นที่
ฉะนั้นแล้ว พหุวัฒนธรรมอาจไม่ได้มีแค่เรื่องของความหลากหลายทางวัฒนธรรมเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวโยงกับการเคารพในความแตกต่าง ตลอดจนการอยู่ร่วมกันวัฒนธรรมอื่นๆ ในสังคมอย่างสันติด้วย
ทำไมเราถึงควรเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรม?
แน่นอนว่า เมื่อผู้คนจากคนละท้องถิ่นมาอยู่รวมกัน ก็ย่อมเกิดความหลากหลายทางวัฒนธรรมขึ้นในสังคม อย่างไรก็ดี ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ยอมรับถึงความแตกต่างเหล่านั้น และเลือกจะดูถูกเหยียดหยามวัฒนธรรมของผู้อื่น นำไปสู่ความขัดแย้งที่ไม่รู้จบสิ้น

และหลายต่อหลายครั้งที่การไม่เคารพต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรมของเพื่อนร่วมสังคมเป็นต้นเหตุของการทะเลาะเบาะแวงกันเองในสังคม ตัวอย่างเช่น เรื่องของสำเนียงและภาษา ซึ่งในแต่ละพื้นที่ย่อมมีวิธีการพูดเฉพาะถิ่นแตกต่างกันไป หลายครั้งเมื่อผู้คนเหล่านั้นโยกย้ายมาอยู่ในสังคมใหม่ ก็มักโดนหล่อหลอมให้พูดภาษากลางเดียวกัน ผ่านการกลางตั้งมาตรฐานกลางของภาษาขึ้นมา เมื่อมีใครสักคนพูดผิดหรือออกเสียงคำตามสำเนียงท้องถิ่นของตนเอง ก็จะโดนเหยียดหรือโดนล้อ ซึ่งแท้จริงแล้ว ต่างคนก็ต่างที่มาที่ไป เราก็อาจไม่จำเป็นต้องพูดภาษาหรือสำเนียงเดียวกันทั้งหมด เพราะแค่สื่อสารกันเข้าใจก็อาจเพียงพอแล้ว
ดังนั้นแล้ว หัวใจสำคัญของการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม อาจไม่ใช่เพียงแค่การยอมรับความแตกต่างของผู้คนและวัฒนธรรม หากแต่เป็นการเรียนรู้ที่จะเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรมเหล่านั้นอย่างเอาใจเขามาใส่ใจเรา (empathy)
แทนที่จะมองว่าความแตกต่างเป็นความแปลกแยก แต่หากทุกคนในสังคมรู้จักที่จะเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรมของผู้อื่น ความเป็นสังคมแบบพหุวัฒนธรรมก็จะเกิดขึ้นมา พร้อมกับสร้างสังคมที่น่าอยู่และสงบสุขให้แก่ทุกคน
มาถึงตรงนี้หลายคนก็อาจสงสัย แล้วถ้าเราไม่เคารพต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรมจะเป็นอย่างไร?
อันนี้ก็อยากลองให้ทุกคนนึกในมุมกลับกัน หากเรามีความเชื่อและศรัทธาต่อสิ่งหนึ่งมากๆ แล้วต้องเข้าไปอยู่ในสังคมที่คนหมู่มากไม่เชื่อในสิ่งนั้นเฉกเช่นเดียวกับเรา แถมยังเหยียดหยามความเชื่อนั้นด้วย แน่นอนว่าตัวเราเองก็คงรู้สึกไม่พอใจ ที่โดนใครสักคนมาดูถูกความเชื่อของเรา ทั้งที่เขาอาจไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าความเชื่อนั้นของเราสำคัญต่อตัวเรามากขนาดไหน จนท้ายสุดเรื่องก็คงลงเอยด้วยการทะเลาะเบาะแวง สร้างความขัดแย้งโจมตีกันไปมาและหาทางออกไม่ได้
การเคารพถึงความหลากหลายของกันและกัน จึงถือเป็นก้าวแรกและก้าวที่สำคัญสำหรับการอยู่ร่วมกันกับคนอื่นในสังคมอย่างแท้จริง นอกจากจะสะท้อนให้เห็นถึงการเปิดกว้างต่อความแตกต่างทางวัฒนธรรมแล้ว ยังช่วยให้ผู้คนได้มองเห็นคุณค่าและความสำคัญของทุกวัฒนธรรมของทุกๆ คนในสังคมได้ด้วย
ทุกคนมีมุมมองและความคิดไม่เหมือนกัน บางสิ่งบางอย่างอาจมองกันคนละมุม ถึงอย่างนั้นก็ต้องไม่ลืมที่จะมองว่าความแตกต่างของผู้คนนี้แหละ คือสิ่งที่ทำให้สังคมมีความหลากหลาย หากเรารู้จักที่จะเคารพซึ่งกันและกันมากขึ้น สังคมก็จะน่าอยู่มากขึ้นตามไปด้วย
อ้างอิงจาก