เด็กเป็นวัยที่ละเอียดอ่อนและเปราะบาง เพราะพวกเขาอยู่ในช่วงที่กำลังเรียนรู้ ทำความเข้าใจ หรือซึมซับโลกที่ตนเองอาศัยอยู่ การจะเติบโตไปพร้อมกับตัวตนแบบไหน มีการรับรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รอบตัวยังไง จึงเป็นผลพวงมาจากสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูของผู้ปกครอง
การเลี้ยงลูกจึงเหมือนเป็นศาสตร์และศิลปะอย่างหนึ่งที่ซับซ้อน ละเอียดอ่อน และต้องให้ความใส่ใจมากเป็นพิเศษ เพราะหลายครั้งเราจะเห็นว่าความบอบช้ำที่ฝังลึกอยู่ในใจมาจนถึงวัยผู้ใหญ่ ส่วนหนึ่งมาจากคำพูดที่ได้รับหรือสิ่งถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นความกังวล ความสับสน ความกลัว หรือความรู้สึกไม่ปลอดภัย
ถึงอย่างนั้นก็เชื่อว่า ไม่ใช่ผู้ปกครองทุกคนที่มีเจตนาจะทำร้ายลูกเสมอไป อาจจะพูดด้วยความเป็นห่วง หรือเพียงแค่อยากอบรมและให้บทเรียนก็เท่านั้น แต่คำพูดบางคำสามารถทำร้ายลูกได้โดยไม่รู้ตัว ซึ่งกว่ารู้ว่ามันสร้างความบอบช้ำได้ยังไง ก็ยากที่เยียวยาให้หายแล้ว ผู้ปกครองจึงควรระมัดระวังหรือตระหนักเกี่ยวกับคำพูดของตนเอง เพื่อที่ลูกๆ จะได้เติบโตมาพร้อมกับความรู้สึกที่ปลอดภัยและมั่นใจที่จะใช้ชีวิตมากขึ้น
วันนี้ The MATTER ก็มีตัวอย่างคำพูดหรือประโยคที่ผู้ปกครองอาจไม่เคยรู้หรือไม่ทันได้สังเกตมมาก่อนว่ามีปัญหายังไง และถ้าไม่ใช่คำพูดเหล่านี้ จะมีคำพูดไหนบ้างที่ทดแทนกันได้ โดยที่ยังสามารถแสดงออกถึงเจตนาที่ดี และไม่สร้างความบอบช้ำให้กับลูกๆ ในอนาคต
เปรียบเทียบกับคนอื่น
“ดูอย่างลูกบ้านนู้นสิ” “หัดเอาอย่างพี่สาวบ้าง”
การเปรียบเทียบอาจดูเป็นวิธีที่ง่ายในการกระตุ้นให้เด็กมีความพยายามมากขึ้น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเก็บคำเปรียบเทียบมาเป็นแรงผลักดันเสมอไป ในทางกลับกัน พวกเขาอาจรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ความคาดหวัง หรือความรู้สึกที่ว่าตนเองไม่ดีพอสักที ทำให้ความมั่นใจที่มีค่อยๆ หดหายไปเรื่อยๆ
สิ่งที่ผู้ปกครองควรตระหนักก็คือ เด็กแต่ละคนมีพัฒนาการหรือการเติบโตที่ไม่พร้อมกัน ทั้งยังมีความถนัดหรือความสนใจที่แตกต่างกันออกไปด้วย การกดดันให้พวกเขาจะต้องเป็นเหมือนคนอื่นๆ ทำเหมือนคนอื่นๆ มีเส้นทางชีวิตเหมือนกับคนอื่นๆ จึงเหมือนเป็นการปฏิเสธตัวตนของพวกเขาเอง ทั้งยังบั่นทอนความพึงพอใจในตนเอง (self-esteem) ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญที่เด็กๆ ควรจะมีติดตัวในระหว่างการเติบโต การที่พวกเขาไม่สามารถทำบางสิ่งบางอย่างได้ในตอนนี้ ไม่ได้หมายความว่าอนาคตจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว เพียงแค่อาจจะรอจังหวะเวลาที่ใช่ คล้ายกับดอกไม้ที่ใช้เวลาในการผลิบานไม่พร้อมเพรียงกัน
หากผู้ปกครองหวังดี หรือต้องการที่จะกระตุ้นความพยายามของเด็กๆ ที่จริงแล้วไม่จำเป็นจะต้องเปรียบเทียบพวกเขากับใครที่ไหนเลย แต่เปรียบเทียบกับตัวพวกเขาเองนั่นแหละดีที่สุด เช่น พูดถึงความพยายามของพวกเขาในอดีต ที่แม้จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็รับรู้ได้ว่าพยายามแล้ว พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่า กระบวนการบางอย่างสามารถพัฒนาหรือปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่านี้ได้ ค่อยๆ พยายามเรียนรู้ไป หรือจะชี้ให้เห็นถึงภาพในอนาคตว่า ถ้าปรับปรุงหรือพยายามตรงนี้ให้มากขึ้น จะเป็นผลดีกับตัวพวกเขายังไงบ้าง ซึ่งนอกจากจะไม่เป็นการบั่นทอนความมั่นใจแล้ว เด็กๆ ก็จะมีความรู้สึกที่อยากพยายามเพื่อตนเอง ไม่ใช่เพื่อคนอื่น เพราะความพยายามที่ทำเพื่อคนอื่น ไม่ใช่ความพยายามที่มีประสิทธิภาพในระยะยาวเท่าไหร่นัก
ตัดสินหรือกำหนดตัวตน
“เด็กผู้ชายต้องไม่ร้องไห้” “เด็กผู้หญิงต้องเรียบร้อย”
ด้วยความที่เด็กแต่ละคนเติบโตมาโดยที่ยังไม่รู้ตัวตนที่แน่ชัด จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะกำหนดให้พวกเขาไปเลยว่า เด็กผู้ชายจะต้องเป็นยังไง เด็กผู้หญิงจะต้องเป็นยังไง คนเราจะต้องมีสองเพศเท่านั้น หรืออาชีพนี้เหมาะกับเพศไหนที่สุด
แต่เมื่อเติบโตขึ้น พวกเขาอาจมีชุดความคิดหรือการรับรู้บางอย่างที่ขัดแย้งไปจากสิ่งที่เคยถูกปลูกฝังมา หรือแม้แต่ความชอบที่ต่างไปจากสิ่งที่เคยถูกกำหนดให้ ทำให้เกิดความสับสน ความอึดอัดใจ และไม่กล้าที่จะปลดปล่อยความเป็นตัวเองออกมาได้อย่างอิสระ
สิ่งที่ผู้ปกครองควรระมัดระวังคือคำพูดที่ตัดสินหรือกำหนดตัวตนของเด็กๆ เพราะบางอย่างที่พูดออกไปนั้น อาจเป็นค่านิยมที่แฝงอยู่ในสังคมมานาน และละเลยความหลากหลายของมนุษย์ ทางที่ดีควรเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ค้นหาความสนใจหรือตัวตนที่แท้จริง เพราะพวกเขาคือนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่สามารถหักห้ามความสงสัย จนกระทั่งได้เรียนรู้และทดลองด้วยตนเอง ซึ่งผู้ปกครองสามารถเฝ้าดูอยู่ใกล้ๆ ให้การสนับสนุน และเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่พวกเขาพร้อมจะเข้ามาขอคำปรึกษาได้ทุกเมื่อ
ให้เด็กๆ ได้มีโอกาสกำหนดตัวตนของตนเอง เพราะนั่นคือสิ่งที่จะอยู่ติดตัวพวกเขาไปตลอดชีวิต
ขู่หรือปลูกฝังด้วยความกลัว
“ถ้าไม่ตั้งใจเรียนจะให้ไปเก็บขยะ” “ถ้าดื้อจะทิ้งไว้ตรงนี้แหละ”
ผู้ปกครองหลายคนมักจะคิดว่า ‘ความกลัว’ คือสิ่งที่ทำให้เด็กเปลี่ยนแปลงตนเองเร็วที่สุด จึงนำบทลงโทษ เช่น การทอดทิ้ง การส่งไปเรียนโรงเรียนประจำ การไล่ออกจากบ้าน หรือการไม่ให้ค่าขนมมาใช้ข่มขู่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผู้เชี่ยวชาญมองว่าเป็นเพียงแค่ทางลัดในการดัดนิสัยเด็กๆ เท่านั้น และไม่ใช่บทเรียนที่จะทำให้พวกเขาเห็นคุณค่าของชีวิตได้ลึกซึ้งอย่างที่คิด
ในทางจิตวิทยาเด็กจึงพยายามขัดขวางผู้ปกครองออกจากความคิดในแง่ของการให้บทลงโทษ เพราะเด็กจะตอบสนองหรือมีการกระทำโดยอิงจากความกลัว มากกว่าที่จะคำนึงถึงความสำคัญของการกระทำนั้นจริงๆ สุดท้าย พวกเขาก็จะตอบสนองความคาดหวังของผู้ใหญ่โดยไม่เข้าใจเหตุผลอะไรเลย
ผู้เชี่ยวชาญมองว่าในกรณีนี้ ผู้ปกครองควรรับทราบและยอมรับทั้งพฤติกรรมที่ดีและไม่ดีของเด็กเสมอ และให้รางวัลแม้พวกเขาจะไม่ประสบความสำเร็จ เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้พวกเขาพยายามมากขึ้น หรือชื่นชมพวกเขาในยามที่ทำตัวดีหรือพยายามอย่างหนัก เพื่อที่พวกเขาจะได้หยุดไตร่ตรองถึงสิ่งที่พวกเขาทำดีแล้ว และอยากที่จะทำดีขึ้นกว่านี้ไปเรื่อยๆ
ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะผู้ปกครองจะต้องทำเป็นละเลยกับพฤติกรรมหรือการกระทำที่ไม่ดีของเด็ก เพียงแต่อาจจะเปลี่ยนการลงโทษเป็นการสร้างเงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้พวกเขามีแรงจูงใจมากขึ้น เช่น เปลี่ยนจากการพูดว่า “จะไม่ให้เล่นคอมพิวเตอร์ถ้ายังทำการบ้านไม่เสร็จ” เป็น “ถ้าทำการบ้านเสร็จจะให้เล่นทันทีเลย” หรือหากพวกเขาทำอะไรผิดพลาดไป หรือมีพฤติกรรมที่ไม่ดี ไม่น่ารัก อย่างน้อยๆ ลองรับฟังความคิด ความรู้สึก หรือความต้องการของพวกเขาดูก่อน บางทีพวกเขาอาจจะมีอะไรอยากพูดหรือระบายออกมา ซึ่งจะทำให้ผู้ปกครองหาทางออกที่เหมาะสมที่สุดได้ด้วย
และอีกปัญหาหนึ่งของการให้บทลงโทษหรือปลูกฝังเด็กๆ ด้วยความกลัว พวกเขาจะเติบโตมาอย่างไม่มีความมั่นใจ เพราะไม่ว่าจะทำอะไร พวกเขาจะมีความกลัวว่า ถ้าทำผิดพลาดหรือไม่ประสบความสำเร็จ ก็จะไม่ได้รับการยอมรับหรือถูกทอดทิ้ง โดยเฉพาะจากคนที่ควรอยู่พวกเขามากที่สุดอย่างพ่อ แม่ หรือผู้ปกครอง
ตำหนิปมด้อย
“แต่งตัวอะไรไม่ดูหุ่นเลย” “กินอะไรเยอะ อ้วนเป็นหมูแล้ว”
ปัญหาการเหยียดหรือล้อเลียนรูปร่างหน้าตาเกิดขึ้นบ่อยครั้งในสังคม แต่ที่ไม่เคยสังเกตเลยก็คือ ผู้ปกครองหรือครอบครัวเด็กเองก็เป็นต้นเหตุของปัญหานี้เช่นกัน ด้วยความที่เป็นคนใกล้ชิดสนิทสนม เลยอาจจะคิดว่าสามารถหยอกล้ออะไรก็ได้ รวมถึงการตำหนิปมด้อยของพวกเขา เช่น อ้วน ดำ ขาใหญ่ ฟันเหยิน เป็นต้น
จากผลการสำรวจหนึ่งพบว่า ผู้หญิงมากกว่าครึ่งหนึ่งหรือ 63 เปอร์เซนต์ เผยว่า พวกเธอเคยถูกเหยียดรูปร่างจากแม่ของตนเอง โดยที่แม่ของพวกเธอไม่ได้ตระหนักว่าคำพูดเหล่านั้นส่งผลต่อจิตใจเด็กยังไง และในอีกการสำรวจหนึ่งก็พบว่า เด็กจำนวน 1 ใน 3 ยอมรับว่าพวกเขาเคยถูกล้อและทำให้อับอายโดยผู้ปกครองของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักหรือรูปร่างหน้าตา
สิ่งที่ตามมาจากการถูกล้อเลียน ไม่ว่าจากใครก็ตาม พวกเขาจะเติบโตมาพร้อมกับความไม่มั่นใจและรู้สึกไม่ปลอดภัยกับรูปร่างหน้าตาของตนเอง และอาจนำไปสู่ความผิดปกติด้านการกิน เป็นโรคคลั่งผอม หรือหาทางออกด้วยวิธีที่อันตราย เช่น กินยาลดน้ำหนักที่อันตราย หรือทำศัลยกรรมในคลินิกที่ไม่ได้รับการรับรองความปลอดภัย
ในทางกลับกัน ผู้ปกครองควรปลูกฝังเด็กๆ ให้รักและพึงพอใจในตนเอง สนับสนุนหรือปกป้องพวกเขาจากการถูกล้อเลียนด้านรูปร่างหน้าตา หรือถ้าให้บทเรียนกับพวกเขาเกี่ยวกับปัญหามาตรฐานความสวยงามที่มีอยู่ในสังคมได้จะเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะพวกเขาจะเติบโตมาพร้อมกับความมั่นใจในการใช้ชีวิต รวมถึงรู้จักยอมรับในสิ่งที่ตนเองและผู้อื่นเป็นมากขึ้นด้วย
ไม่ชมเพราะกลัวได้ใจ
“ก็ดีนะ แต่คราวหน้าทำให้ดีกว่านี้”
ไม่ชมหรอกเดี๋ยวเหลิง อย่าไปชมมากเดี๋ยวได้ใจ ผู้ใหญ่หรือผู้ปกครองหลายคนมองว่า การชื่นชมหรือยกย่องเด็กมากจนเกินไป จะทำให้พวกเขาคิดว่าตัวเองทำดีแล้ว และไม่คิดที่จะพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิม เมื่อเวลาเด็กทำอะไรได้ดี จึงมักจะไม่ค่อยได้ชื่นชมอะไรมาก และฝากความคาดหวังในครั้งต่อๆ ไปแทน เช่น เทอมหน้าก็ทำให้ดีกว่าเดิมแล้วกัน หรือพยายามให้มากกว่านี้ก็จะดีนะ
แต่ความจริงก็คือ คำชมจากผู้ปกครองมีพลังมากมายมหาศาล นอกจากจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่เด็กต้องการแล้ว จริงๆ คำเหล่านั้นไม่ได้ทำลายความตั้งใจในการพัฒนาตัวเองของพวกเขาแต่อย่างใด เพราะการได้รับคำชื่นชม จะทำให้พวกเขาจะเห็นคุณค่าของการกระทำที่ดีนั้นมากขึ้น และอยากที่จะทำต่อๆ ไปเพื่อได้รับคำชมอีกครั้ง
แม้จะเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองคาดหวังเอาไว้อยู่แล้ว หรือมองว่าเป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร แต่อย่าลืมว่าสำหรับเด็กๆ แล้ว พวกเขาพยายามทำออกมาอย่างตั้งใจและสุดความสามารถของตนเอง เช่นเดียวกับผู้ปกครองบางคนที่ชื่นชมเด็กแค่เฉพาะตอนพวกเขาทำสำเร็จ ซึ่งที่จริงกำลังใจระหว่างทางก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
โดยการชื่นชมเด็กๆ ก็เป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังเช่นกัน เพราะเด็กอาจเข้าใจผิดจากคำชมเหล่านั้น ผู้ปกครองจึงควรชื่นชมด้วยความจริงใจและยกผลลัพธ์ที่ดีจากกระทำของพวกเขามาเป็นคำชม เช่น เวลาเด็กแบ่งขนมให้กับเพื่อนแล้วผู้ปกครองชมว่า “โห หนูนี่นางฟ้าชัดๆ เลย” ซึ่งเด็กอาจนึกไม่ออกว่าเป็นยังไง ทั้งที่เมื่อคืนไม่ทำการบ้านด้วย ทำไมถึงได้เป็นนางฟ้า กรณีนี้ผู้ปกครองอาจเปลี่ยนคำชมนั้นเป็น “หนูใจดีมากเลยที่แบ่งขนมให้เพื่อนๆ” ตรงนี้เด็กจะเข้าใจได้ว่าการกระทำไหนที่พวกเขาทำได้ดีจนถูกชม และอยากที่จะทำสิ่งนั้นอีกเรื่อยๆ
อ้างอิงข้อมูลจาก