1.
วันที่ 15 กรกฏาคม ค.ศ.1976 ที่ถนนแห่งหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา รถรับส่งนักเรียนสีเหลืองขับผ่านมา เด็กๆ เพิ่งเลิกเรียน และกำลังเดินทางกลับบ้านตามปกติ
เอ็ด เรย์ (Ed Ray) คนขับรถรับส่งนักเรียน อายุ 55 ปี เขาเป็นที่รักของเด็กๆ ด้วยใจดี ไม่โมโหง่าย แถมยังใส่ใจ โดยก่อนจะสตาร์ทรถพาเด็กกลับบ้าน ตัวเอ็ดจะสำรวจว่ารัดเข็มขัดนิรภัยให้เด็กๆ เรียบร้อยแล้วหรือยังทุกครั้งเสมอ
โชเฟอร์รายนี้เป็นขวัญใจผู้ปกครองด้วย เขายึดอาชีพขับรถนักเรียนมายาวนาน มีชีวิตปกติสุขในรัฐแคลิฟอร์เนีย เขาทยอยส่งนักเรียนตามทางมาเรื่อยๆ จนเหลือเด็กบนรถเพียง 26 คน อายุระหว่าง 5-14 ปี
เด็ก 26 คนต่างตื่นเต้นกับการได้เล่นน้ำที่สระวันนี้ บางคนไม่เคยเห็นทะเลมาก่อน การเล่นน้ำในสระจึงเป็นความสนุกสุขสันต์อย่างมาก
ทันใดนั้น เอ็ดแตะเบรกหลังพบรถแวนสีขาวจอดอยู่ริมถนนสาย 21 เมื่อเขาชะลอรถลง เพื่อสำรวจว่าเกิดอะไรขึ้นกับรถคันนี้กันแน่ ชาย 3 คนก็ถือปืนออกมาจากหลังรถ ทั้งหมดใส่ถุงน่องปิดบังใบหน้า ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพแก่เอ็ด
“เปิดประตูรถหน่อยครับ”
เสียงสุภาพ แต่ปืนจ่อ ไม่มีทางเลือกให้เอ็ด เรย์มากนัก เขายอมเปิดประตู ชายอีก 2 คนวิ่งขึ้นรถ พร้อมปืนไรเฟิล ก่อนไล่เอ็ดและเด็กทั้ง 26 คนไปกองที่หลังรถ ประตูปิด รถนักเรียนถูกยึด ชายอีกคนเป็นพลขับแทนเอ็ด ส่วนอีกคนคุมเชิงอยู่ด้านหลัง และชายที่พูดกับเอ็ด ก็ขับรถแวนตามหลังไป
ในเวลาต่อมาคดีนี้จะถูกเรียกขานว่า ‘การลักพาตัวโชชิลา (Chowchilla)’ เมืองที่เด็กๆ เรียน มันกลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการลักพาตัว ในคดีประวัติศาสตร์ ที่มีการอุ้มคนไปมากที่สุด และยังส่งผลสะเทือนต่อเหยื่อถึงปัจจุบันนี้
2.
รถนักเรียนและรถแวนขับไปกิโลกว่าๆ ก็จอดลง คนร้าย 3 คนวางแผนมาดี พวกเขาพาแบ่งเด็กๆ ออกเป็น 2 กลุ่ม พาขึ้นรถแวนสีขาวคันหนึ่ง และพาเอ็ดกับเด็กที่เหลือขึ้นรถแวนสีเขียว รถนักเรียนถูกจอดทิ้งไว้ รถแวน 2 คันเคลื่อนออกไป
บนนั้นร้อนตับแตก ไม่มีอาหารน้ำ กระจกรถถูกฟิล์มดำทาบทับ ไม่มีใครเห็นอะไรด้านนอก ไม่มีใครรู้ในตอนนั้นว่า รถจะถูกขับยาวกว่า 11 ชั่วโมง จึงจะถึงที่หมาย ทุกคนต่างอยู่ในอาการสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
ในตอนนั้นเด็กๆ ทำได้เพียงร้องเพลงปลุกใจกันไปมา
ขณะที่เอ็ดก็คอยปลอบทุกคน
รถแวนขับไปถึงช่วงอรุณรุ่งวันที่ 16 กรกฎาคม ห่างจากจุดที่จี้รถไปราวๆ 160 กิโลเมตร ก่อนจะพาตัวเด็กทั้ง 26 คนพร้อมเอ็ดออกจากรถ พวกเขาจดชื่อเด็กๆ และขอเสื้อผ้าบางส่วนไว้เป็นหลักฐานยืนยันตัวเด็กแต่ละคน ก่อนจะพาทั้งหมดเดินลงบันไดเข้าไปในรถบรรทุกที่ถูกทิ้งไว้ ฝังดิน เอ็ดได้รับไฟฉายจากคนร้าย ก่อนจะเดินลงไปในสภาพเกือบเปลือย เพราะถูกสั่งให้ถอดเสื้อกางเกงและรองเท้าออก โดยคนร้ายได้เปิดหลังคาแล้วพาเด็กลงตามไป ก่อนจะปิดผนึกขังไว้ด้วยก้อนแบตเตอรี่และเอาเหล็กทับไว้
เด็กทุกคนถูกยัดไปในนั้น ความมืดห่มคลุม เสียงกรีดร้องดังก้อง แม้จะมีอาหารไว้ให้กิน มีน้ำ มีช่องระบายอากาศ มีรูไว้ขับถ่าย อย่างไรก็ดีอาหารทั้งหมดกับคน 27 ราย เพียงพอแค่มื้อเดียวเท่านั้น แถมยังเต็มไปด้วยความมืด เด็กหลายคนเริ่มอาเจียน ตื่นกลัว และสิ้นหวัง
พวกเขาจะติดอยู่ในนั้นกว่า 5 ชั่วโมง แม้พยายามหลับ ก็ปิดตาไม่ลง เหนื่อยล้า เหงื่อออก เอ็ดน้ำตาไหลออกมา บางทีตัวเองคงจะต้องตายในสถานที่เลวร้ายแบบนี้อย่างแน่นอน แม้จะปลอบเด็กๆ ว่ายังมีทางรอด มีความหวัง แต่เขาก็ค่อยๆ สูญเสียมันไปทีละเล็กละน้อย
ในช่วงเวลานั้น ไมค์ มาร์แชลด์ (Mike Marshall) เด็กหนุ่มอายุ 14 ปี ตัดสินใจขั้นเด็ดขาด เขาชวนเด็กชายวัย 10 ขวบ ไปหาเอ็ด แล้วบอกว่า เขาจะไม่ยอมตายแบบนี้เด็ดขาด หากไม่ได้ลองหาทางหนี พ่อของไมค์เป็นคาวบอยขี่ม้าพาดโผน ทุกคนเห็นตรงกันว่า จะต้องสู้เพื่อเอาชีวิตรอด
ทีแรกเอ็ดกลัวว่าเหล่าคนร้ายจะยังถือปืนคุมอยู่ด้านบน แต่เอาวะ! ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจช่วย แม้จะมีเรี่ยวแรงเหลือน้อยแล้วก็ตาม ไมค์ยกตัวเองไปถึงหลังคาได้อย่างคล่องแคล่ว เพราะยังเด็ก ตัวเล็ก ก่อนพยายามกระทุ้งหลังคาอย่างต่อเนื่อง ทำโดยไม่ลดละยอมแพ้ ไฟฉายของเอ็ดส่องให้เป็นความหวัง การผลักหลังคาได้รับการลุ้นจากเด็กๆ ทุกคน เสียงกระแทกกระทั้นดังอย่างไม่หยุดหย่อน ในที่สุดเหล็กและแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่ปิดผนึกไว้ ก็ค่อยๆ เคลื่อนออก
เด็กๆ ทั้งหมดรวบรวมเรี่ยวแรงอันเหลือน้อย พยายามผลัดกันไปช่วยกระทุ้งหลังคารถแวน กระทุ้งซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ต่อเนื่อง ลุยต่อไปเรื่อยๆ ไม่นานและไม่นาน
พวกเขาก็เห็นมัน
…แสงสว่าง…
3.
แคลิฟอร์เนียในยุคนั้น ไม่ใช่ดินแดนแห่งความสวยงาม มันมีเหตุฆาตกรรมสะเทือนขวัญเกิดขึ้นมาก อเมริกายุคนั้นเพิ่งจบสิ้นสงครามเวียดนาม ทุกอย่างอยู่ในการสั่นคลอน พลันที่รถโรงเรียนของเอ็ดไม่มาส่งลูกหลานตามปกติ ผู้ปกครองก็เริ่มกังวล มีการแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที เมื่อถึงช่วงค่ำ ไม่มีรถนักเรียนและตัวเอ็ด เด็กไม่ได้กลับบ้าน ตำรวจก็รู้แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติชนิดที่ร้ายแรงมากๆ เกิดขึ้น
เด็กหายตัวไป 26 คน ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยใด มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ทันที ถึงขนาดที่ว่า ประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ (Jimmy Carter) ได้สั่งการให้สำนักงานสอบสวนกลาง หรือ เอฟบีไอลงพื้นที่ มีการใช้เฮลิคอปเตอร์บินวนเส้นทางที่รถนักเรียนวิ่ง กินเวลาไม่นานเจ้าหน้าที่ก็พบรถนักเรียนที่จอดทิ้งไว้ในจุดเกิดเหตุ โดยถูกพรางไว้ด้วยพงหญ้า
เจ้าหน้าที่ระดมทำการสืบสวนทันที ในเวลานั้นพวกเขาสงสัยว่า ฆาตกรต่อเนื่องอย่าง นักฆ่าจักรราศีที่เคยขู่จะวางระเบิดรถโรงเรียน เป็นคนก่อเหตุหรือไม่ แต่ไม่ว่าใครทำอะไร นี่คือสิ่งที่เลวร้ายมากๆ
การค้นหาดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่บุกสอบปากคำคนต้องสงสัยโดยไม่ลดละ แต่ไม่มีหลักฐานอะไรเพิ่ม พวกเด็กๆ หายไปไหน ท่ามกลางความหวาดกลัวของผู้ปกครอง ทุกอย่างทำงานแข่งกับเวลา สื่อมวลชนลงพื้นที่ไปอย่างมโหฬาร กลายเป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศ
สิ่งเหล่านี้ มันเป็นเรื่องเกินความคาดหมายของผู้ก่อเหตุ พวกเขาทั้ง 3 คนดูข่าวโดยไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นเรื่องระดับชาติ
ความที่มันเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้สื่อมวลชนลงพื้นที่เป็นจำนวนมาก บางส่วนก็คอยกระหน่ำโทรศัพท์หาเจ้าหน้าที่จากเมืองชิโลลาอย่างต่อเนื่อง เพื่อถามข่าวคืบหน้า การกระหน่ำโทร.แบบนี้ ทำให้คนร้ายทั้ง 3 คนโทร.หาเจ้าหน้าที่ไม่ติดเลย เพราะมีโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียวเท่านั้น
ต่อมามันจึงกลายเป็นคดีลักพาตัวเรียกค่าไถ่สุดประหลาด ที่ผู้ก่อเหตุไม่สามารถแจ้งจำนวนเงิน หรือแสดงตัวว่าเป็นคนก่อเหตุแก่เจ้าหน้าที่แม้แต่ประโยคเดียว
กว่าที่เอฟบีไอจะนำโทรศัพท์มาติดตั้งเพิ่ม 50-60 เครื่อง ดูเหมือนทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว สำหรับเหล่าผู้ก่อเหตุ
4.
ช่วง 2 ทุ่มของวันที่ 16 กรกฎาคม คนงานเหมืองหินเพิ่งเลิกงาน พวกเขาเห็นเอ็ด เรย์ที่นุ่งกางเกงในเดินออกมาหาในสภาพสะบักสะบอม ตามมาด้วยเด็กๆ จำนวนมากที่สภาพโทรมไม่แพ้กัน
“พวกเรามาจากเมืองโชชิลา”
เหล่าคนงานอ้าปากค้าง พวกเขารับรู้ข่าวที่เกิดขึ้น ก่อนจะรีบแจ้งข้อมูลไปหาเจ้าหน้าที่ทันที ในวินาทีนั้น คนงานได้ยื่นเป็ปซี่และเสื้อคลุมให้กับเอ็ด
“กินหน่อยเพื่อน”
เมื่อเด็กๆ และเอ็ดเห็นแสงสว่าง โผล่มา ตัวไมค์ได้พยายามเปิดช่องแสงให้มากกว่าเดิม ก่อนจะสอดตัวปีนขึ้นไปข้างบนหลังคารถได้สำเร็จ เขาฝ่าดินและได้เห็นโลกภายนอกเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ชั่วโมง ก่อนจะใช้มือและอุปกรณ์ที่หาได้ขุดดินเพิ่ม ทุกอย่างดำเนินไปอย่างยากลำบาก แต่ก็เพียงพอจะทำให้รูกว้างมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนเพียงพอจะพาตัวทุกคนรวมทั้งเอ็ดออกมาจากคุกเล็กๆ นี้ได้สำเร็จ
เมื่อเจ้าหน้าที่รับแจ้งก็รีบส่งกำลังไปดูทันที พร้อมนำรถไปรอรับตัว ท่ามกลางผู้ปกครองที่ดีใจสุดแสน
ประมาณเที่ยงคืนที่เมืองโชชิลา เด็กๆ ก็ได้พบหน้าครอบครัว เอ็ดได้สวมกอดภรรยา ไม่มีใครบาดเจ็บทางกายมากนัก สื่อมวลชนเก็บภาพอย่างคึกคัก ทุกคนปลอดภัย ได้กลับบ้าน หลังเจอกับความเลวร้ายมากว่า 36 ชั่วโมง
ผู้ก่อเหตุทั้งสามชมข่าว เด็กได้พบหน้าผู้ปกครอง ถึงตอนนี้พวกเขาจึงรู้ว่าแผนการณ์ล้มเหลว และต้องหนีโดยเร็วที่สุด มันกลายเป็นเกมส์พลิกกลับของเจ้าหน้าที่บ้างแล้ว
5.
นักสืบเริ่มต้นการไล่จับคนร้ายอย่างง่ายๆ เหมืองหินที่เด็กๆ และเอ็ดถูกนำไปขังนั้นเป็นของใคร พวกเขาได้ชื่อเจ้าของ ต่อมาเอ็ดจะจำทะเบียนรถแวนสีขาวที่จอดริมถนนได้ ตำรวจจึงรวบรวมหลักฐานต่อเนื่อง ในเวลาต่อมา พวกเขาพบว่าคนร้าย 3 คนไม่ได้วางแผนมาอย่างรอบคอบเลย
พวกเขาสะเพร่าและสุดชุ่ยมากๆ
ไม่ถึง 2 อาทิตย์หลังเกิดเหตุลักพาตัว เจ้าหน้าที่ก็จับผู้ต้องหา 3 รายได้สำเร็จ ทั้งหมดเป็นลูกคนรวย มีฐานะ แต่กลับก่อเหตุสุดเลวร้ายนี้
การสืบสวนดำเนินไปสู่การจับกุม เฟรเดอริก นิวฮอลล์ วู้ดส์ (Frederick Newhall Woods) ลูกชายเจ้าของเหมืองหินนั่นเอง โดยเขาร่วมกับเพื่อนอีก 2 คน คือ พี่น้อง เจมส์และริชาร์ด เชินฟิลด์ (James and Richard Schoenfeld) ลูกเจ้าของธุรกิจรถเช่า โดยหลักฐานที่ชัดแจ้งสุดคือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของเหมืองหินเห็นทั้งสามคนขุดหลุมเพื่อเอารถบรรทุกยัดใส่ในดิน 1 เดือนก่อนเกิดเหตุลักพาตัว
แถมเมื่อตำรวจไปสอบสวนพ่อของวู้ดส์ ที่บ้านพักของคนร้าย เจ้าหน้าที่พบหลักฐานเป็นแผนการลักพาตัว จดหมายเรียกค่าไถ่ โดยร่างแรกนั้น ต้องการเรียกเงิน 2.5 ล้านยูเอสดอลลาร์ แต่ต่อมาพวกเขาจะต้องการขยับตัวเลขเป็น 5 ล้าน อิงตัวเลขมาจากงบประมาณที่โรนัลด์ เรแกน (Ronald Reagan) ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียลงทุนด้านการศึกษาให้ แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ ของคนร้าย เพราะพวกเขาไม่สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ได้ เพียงเพราะโทร.ไม่ติด
ต้องขอบคุณสื่อมวลชนมา ณ ที่นี่ด้วย
โดยหลักฐานอีกชิ้นก็คือ รายชื่อเด็กๆ ที่คนร้ายจดไว้ ทุกอย่างถูกพบในที่พักของวู้ดส์หมดเลย พวกเขาไม่แม้แต่จะทำลายหลักฐานด้วยซ้ำไป
ทั้งสามคนรวย แต่โง่ พวกเขาขี้เกียจและหมดเงินไปกับการลงทุนโครงการพัฒนาที่ดิน และวู้ดได้ไอเดียจากภาพยนตร์เรื่อง จ่าแฮร์รี่ปืนโหด ภาคแรก ที่คนร้ายหมายจะก่อเหตุกับรถรับส่งนักเรียน จึงวางแผนทุกอย่าง แต่สุดท้ายก็พังพินาศ
ทั้งสามคน จับเด็กยัดลงไปในรถบรรทุก ก่อนจะแยกย้าย ไม่มีใครคิดจะเฝ้า เพราะคิดว่าเด็กๆ คงออกมาไม่ได้ พวกเขาประเมินเหยื่อต่ำไปมาก เมื่อรู้ว่าแผนเละ จึงแยกย้ายกันหนี แต่ก็ไม่รอด ชื่อและหน้าของพวกเขาปรากฏหราทั่วอเมริกา พี่น้องเชินฟิลด์โดนรวบตัวก่อน
ส่วนวู้ดส์หนีไปแคนาดา ก่อนจะส่งจดหมายมาหาเพื่อน เพื่อถามไถ่เรื่องราว โดยลงชื่อที่อยู่บ้านต่างแดนไว้ เพื่อนรักของวู้ดส์มอบจดหมายให้แก่ตำรวจ ในที่สุด วู้ดส์ก็ไม่รอด ทั้งหมดถูกลูกขุนตัดสินจำคุกตลอดชีวิต กับพฤติกรรมที่อุกอาจเป็นอย่างมาก แม้จะไม่มีใครเจ็บล้มตาย แต่การลักพาตัวเด็ก 26 คน ไม่ใช่การกระทำที่จะยอมรับได้ในสังคมแน่นอน
เอ็ด เรย์ซึ่งไปฟังคำตัดสิน ได้พูดออกมาว่า “ผมฉลองได้แล้วคืนนี้”
คนขับรถใจดีรายนี้ เสียชีวิตลงในปี ค.ศ.2012 เขาได้รับการยกย่องจากสังคม และเด็กๆ ในวันนั้น ถึงความกล้าหาญ ที่ทำให้รู้ว่าสถานการณ์มืดมนนี้ ยังมีความหวังอยู่
ขณะยังมีชีวิตอยู่ เอ็ด ไม่พูดถึงเหตุการณ์นี้มากนัก เขาได้เล่ามันกับเจ้าหน้าที่ เล่าผ่านสื่อในวันนั้นไปหมดแล้ว สำหรับเขายืนยันว่าตัวเองไม่ใช่ฮีโร่อะไรเลย แม้จะมีคนยืนยันและเด็กๆ ในวันนั้นบอกว่าเขาเป็นก็ตาม
“ถ้าเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง ผมก็คงทำเหมือนเดิม
ยกเว้นตอนชะลอรถ เพื่อดูรถแวนคันนั้นแหละครับ”
แม้คดีจะจบลงที่คนร้ายถูกจับได้ ไม่มีใครบาดเจ็บล้มตาย แต่เวลาต่อมา เด็กๆ ที่อยู่ในรถคันนั้น กลับประสบภาวะอาการผิดปกติทางจิตใจหลังจากประสบสถานการณ์รุนแรง (PTSD) เด็กบางคนเติบโตมาโดยเจอกับปัญหาเหล่านี้ หลายคนต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล ต้องพบจิตแพทย์ ต้องทานยา มันเป็นปมที่รุนแรงอย่างมากในชีวิตพวกเขา
แม้กระทั่งตัวไมค์ที่เป็นคนพาเด็กหนี ก็ยังเจอปัญหานี้ ถึงวันนี้เขาเป็นคนดูแลหมา เผื่อในอีกมุมพวกมันก็จะได้ช่วยบำบัดฝันร้ายเขา เด็กบางคนมีอาการฝันร้าย นอนไม่หลับ ละเมอ เห็นว่าแดรกคูล่าจะมาดูดเลือดในความมืด มันเป็นบาดแผลติดตัวพวกเขาไปจนเป็นผู้ใหญ่
ในเวลาต่อมา ทางเหยื่อๆ ในวันนั้นได้ยื่นฟ้องค่าเสียหายทางแพ่งต่อผู้ก่อเหตุ ศาลตัดสินให้มีการจ่ายเงินชดใช้ ซึ่งเหล่าเด็กๆ ที่ต่อมาเติบโตเป็นผู้ใหญ่บอกว่า ค่าชดเชยนั้น มันเพียงพอแค่ไปหาหมอ แต่ไม่เพียงพอจะไปทำอะไรได้เลย และไม่คุ้มกับสิ่งที่พวกเขาต้องเจอในวันที่งดงาม ได้เล่นน้ำในสระอย่างสนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง
36 ชั่วโมงที่ถูกลักพาตัว มันส่งผลต่อพวกเขาจนถึงปัจจุบันนี้ เป็นบาดแผลในใจที่ยังคงตราตรึงอย่างเจ็บปวดยิ่งนัก เหยื่อรายหนึ่งเผยกับสื่อว่า “ถึงทุกวันนี้ ฉันกลัวความมืดมาก ยังไม่กล้าปิดไฟนอน ไม่กล้าแม้กระทั่งจะขึ้นรถบัสอีกต่อไป”
ข้อมูลอ้างอิง
The Crime Book สำนักพิมพ์ DK หน้า 192-195