1.
“ตอนแรกผมว่าจะลักพาตัวลูกเลี้ยง บ็อบ โฮป แต่เขาสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนอเมริกา และกองทัพ การอุ้มลูกเขาไป น่าจะโดนคนด่าแน่ๆ”
วันที่ 8 ธันวาคม 1963 สถานีวิทยุทั่วทุกแห่งในอเมริกาได้รายงานข่าวสุดตื่นตะลึง เมื่อลูกชายสุดที่รักของนักร้องสุดยิ่งใหญ่ อย่าง แฟรงก์ ซินาตรา (Frank Sinatra) ซึ่งชื่อเดียวกับพ่อ แค่เติมคำว่า จูเนียร์ต่อท้าย ถูกลักพาตัวไป
ไม่เพียงสื่อจะนำเสนอข่าวแบบเกาะติดเท่านั้น ทางเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ ก็เข้ามาสืบสวนทันที เพราะคดีลักพาตัวถือเป็นอำนาจของพวกเขาอยู่แล้วในการไล่ล่าคนร้ายกลุ่มนี้ ซึ่งหาญกล้าลักพาตัวลูกของศิลปินดังไปได้ ตำรวจ เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายลงมือสืบสวน ไล่ล่า ท่ามกลางสังคมที่เอาใจช่วยหวังว่าลูกของแฟรงก์จะปลอดภัย
ไม่เพียงเท่านั้น แม้เวลาต่อมาตระกูลซินาตราจะปฏิเสธเรื่องนี้ แต่มีรายงานข่าวน่าเชื่อถือว่า กลุ่มมาเฟียในอเมริกาก็ตั้งทีมมือปืนนักฆ่ามาช่วยแฟรงก์ด้วย เพราะพวกเขามีความสนิทสนมกับนักร้องคนนี้อย่างมาก
ไม่มีใครรู้ว่าเหตุการณ์จะคลี่คลายอย่างรวดเร็ว เมื่อมีการจ่ายเงินลักค่าไถ่ จูเนียร์จะได้กลับบ้านแบบปลอดภัย และเอฟบีไอก็ลากคอผู้ก่อเหตุมาได้ ก่อนจะพบว่า หัวโจกของเรื่องนี้ เคยเรียนชั้นเดียวโรงเรียนเดียวกับน้องสาวของจูเนียร์
ตอนก่อเหตุนั้นเขาอายุแค่ 23 ปีเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป คนวางแผนการลักพาตัวบันลือโลก ได้กล่าวถึงนักร้องผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งเคยให้เขาติดรถไปโรงเรียนด้วยว่า
“จริงๆ เขาก็ใจดีกับผมนะ”
2.
แบร์รี่ คีแนน (Barry Keenan) มาจากครอบครัวที่คล้ายจะสมบูรณ์ เขาเรียนเก่ง มีแววอนาคตรุ่งโรจน์ น่าจะจบจากมหาวิทยาลัยดีๆ และมีงานทำ ร่ำรวยได้
แต่เพราะอุบัติเหตุรถชน ทำให้เขาบาดเจ็บที่หลัง พร้อมกับติดยาแก้ปวด ช่วงเวลานั้นเขาหยุดเรียนหนังสือ ติดเหล้า และเผชิญกับปัญหาครอบครัวที่แตกร้าวอย่างยิ่ง เมื่อพ่อล้มละลายในตลาดหุ้น ส่วนแม่นั้นเพิ่งจะพักรักษาตัวหลังพยายามก่อเหตุยิงตัวตาย ทำให้ชีวิตเขาพังพินาศอย่างมาก เงินก็ไม่มีเหลือ
นั่นทำให้ชายหนุ่มเริ่มฟุ้งซ่าน
หลายปีผ่านไป คีแนนเล่าว่าช่วงเวลานั้น เขาเป็นคนเดียวที่จะประสานรอยร้าวของครอบครัวตัวเองให้กลับมาสมานได้ นั่นทำให้เขาเริ่มคิดที่จะหาเงินด้วยทางลัด และตอนนั้นการลักพาตัว ก็ดูไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรมาก
คีแนนเริ่มคิดว่าจะต้องลักพาตัวใคร เขาลิสต์รายชื่อคนดังมากมาย ก่อนจะพบว่าการลักพาตัวลูกของคนมีชื่อเสียงน่าจะง่ายสุด เมื่อมาดูครอบครัวของแฟรงก์ ซินาตรา ก็พบความคล้ายคลึงนั่นก็คือเหมือนครอบครัวเขาอย่างมาก คือเหมือนจะสมบูรณ์ แต่ลึกๆ แล้วทุกคนมีความห่างเหินต่อกัน
ความคิดบางอย่างเตลิดขึ้นมา หากเขาลักพาตัวลูกชายของแฟรงก์มาได้ มันน่าจะทำให้สองพ่อลูกซินาตรากลับมาผูกพันกัน ครอบครัวจะได้กลับมาสมานฉันท์อีกครา ที่สำคัญความเป็นพ่อของแฟรงก์ ยังไงก็ต้องจ่ายค่าไถ่อยู่แล้ว และวันหน้า เวลาผ่านไป สังคมเริ่มลืมกับเรื่องนี้ คีแนนก็จะนำเงินค่าไถ่บางส่วนจ่ายคืนตระกูลซินาตราตอนหลัง
สำหรับอีกสาเหตุที่เลือกลูกของแฟรงก์ ก็เพราะคีแนนมีเพื่อนที่พ่อแม่อยู่ในวงการบันเทิง ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แม้แฟรงก์จะร้องเพลงเพราะ มีชื่อเสียง คนรักทั่วทั้งอเมริกา และเผลอๆ ก็อาจจะทั้งโลก แต่จริงๆ แล้ว นักร้องสุดยิ่งใหญ่คนนี้ เป็นคนเขี้ยวลากดินในเรื่องการทำงาน และการทำธุรกิจ ยังไม่นับกระแสข่าวว่าเกี่ยวข้องกับพวกมาเฟียในอเมริกาอีกด้วย
ดังนั้นการเลือกจูเนียร์เป็นเป้าหมาย คงจะไม่ทำให้เขาถูกสังคมอเมริกันด่าแน่นอน
“มันคงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรมาก ที่เขาจะใจเสียเรื่องลูกหายตัวไป สักพักนะ”
3.
เมื่อความคิดบรรเจิด แผนการก็เริ่มขึ้น
“เขาเป็นคนฉลาดมากๆ แต่ดันใช้เพื่อหาทางลัดในทุกเรื่อง” นี่คือคำจำกัดความที่คนรู้จักคีแนนบอกไว้ สิ่งแรกที่คีแนนทำคือเดินเข้าห้องสมุด เขาเปิดดูคู่มือเกี่ยวกับการไขคดีลักพาตัวที่เจ เอการ์ ฮูเวอร์ (J. Edgar Hoover) ผอ.เอฟบีไอเขียนไว้ เขานั่งอ่านเพื่อหารายละเอียด ที่จะก่อเหตุให้ได้สมบูรณ์แบบไม่ถูกจับได้ นั่นทำให้คีแนนรู้ดีว่า จะก่อเหตุคนเดียวนั้นไม่ได้เสียแล้ว เขาจำต้องมีผู้ร่วมลงมือด้วย
โดยสมาชิกที่เขาชวนมามี 3 คนด้วยกัน คนแรกเป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียน มีหน้าที่คือแหล่งทุนวางแผน อีกคนเป็นเพื่อนสมัยเรียน อดีตนักมวยเก่า เอาไว้ร่วมก่อเหตุตอนบุกลักพาตัว อีกคนเป็นแฟนเก่าแม่ อดีตทหารเรือ คนนี้เอาไว้ทำหน้าที่เจรจาตัวเลขค่าไถ่
แน่นอนว่าพอคีแนนไปคุยเล่าแผนการณ์ ทุกคนก็มองว่าไอ้นี่มันบ้าแน่ๆ แต่แม้จะมองว่ามันน่าหวั่นวิตกระทึกขวัญ เสียวถูกจับปานใด 3 สมาชิกก็ร่วมก่อเหตุกับคีแนนอย่างเหลือเชื่อ นั่นก็เพราะ พวกเขามองถึงเงินค่าไถ่ที่เมื่อเอามาแบ่งกันแล้ว ก็จะรวยถ้วนหน้าแน่ๆ
เมื่อได้ยอดขุนพลครบแล้ว คีแนนก็เริ่มสอดส่องติดตามตัวแฟรงก์ ซินาตรา จูเนียร์ทันที พวกเขาเช่าห้องพักโรงแรมไว้วางแผน เป้าหมายคือบุกเข้าไปจับจูเนียร์แล้วพาตัวนั่งรถไปที่พักห่างไกล จากนั้นก็จะโทรศัพท์เรียกร้องเงิน เมื่อได้เงินก็ปล่อยตัวประกันไป ทุกอย่างง่ายๆ แค่นี้
แต่มันหาได้มีอาชญากรรมไหนในโลก ที่เกิดขึ้นแบบจิ๊บๆ และจบลงอย่างเรียบง่ายไม่
4.
ความอลหม่านแรกเริ่มขึ้น นั่นก็คือ พวกเขาพยายามลักพาตัวจูเนียร์ ที่ไปร้องเพลงตามเมืองต่างๆ อยู่หลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ จนสุดท้ายเมื่อเป้าหมายเข้าพักโรงแรมในเมืองลอสแอนเจลลิส ซึ่งเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะดักอุ้มแล้ว เพราะหลังจากนั้น แฟรงก์คนลูกก็จะไปร้องเพลงที่อื่น และจะไปทัวร์ยุโรปด้วย ดังนั้นในวันที่ 8 ธันวาคม คือวันลงมือ ซึ่งหากไม่ใช่วันนั้น เงินทุนวางแผนจะหมดแล้ว และคีแนนจะไม่มีแม้แต่เงินเติมน้ำมัน ขับรถไปไหนได้อีก
ดังนั้นคีแนนและเพื่อนนักมวยเก่า จึงแฝงตัวเข้าโรงแรมที่แฟรงก์คนลูกพัก โดยทำทีมาส่งของ ตรงไปที่ห้อง 417 ชั้น 2 ซึ่งพวกเขาทราบว่าเป็นห้องพักของจูเนียร์ เมื่อพวกเขาบอกเอาไวน์มาส่ง เสียงในห้องก็บอกเข้ามาได้ แผนการณ์ก็เริ่มขึ้น พวกเขาพรางหน้าไว้ คีแนนควักปืนยาวออกมา ก่อนจะตกใจ เพราะมันไม่ได้มีแฟรงก์คนลูกเท่านั้น แต่ยังมีนักดนตรีทรัมเป็ตอีกคน ทั้งสองนั่งกินไก่กันอย่างชิลๆ อยู่
แต่เมื่อตั้งสติได้ การพาตัวจูเนียร์ไปก็เรียบง่าย โดยตามแผน พวกเขาจะทำเหมือนมาปล้น แล้วพาตัวแฟรงก์คนลูก โดยต้องทำเป็นไม่รู้ว่านี่คือลูกใคร พ่อดังแค่ไหน แล้วจากนั้นก็จะโทร.แจ้งข่าวการลักพาตัว
แต่ปรากฎว่า ทางแก๊งไม่ต้องลำบากแจ้งข่าวแล้ว เพราะนักดนตรีทรัมเป็ตที่นั่งกินไก่อยู่เมื่อครู่ แก้เชือกที่มัดไว้สำเร็จ ก่อนจะโทร.แจ้งตำรวจ ไม่นาน แฟรงก์คนพ่อก็ทราบเรื่อง เอฟบีไอก็ทราบ มาเฟียก็รู้ จากนั้นสื่อก็รู้ ทั้งประเทศก็รู้ ทุกคนรู้หมดว่าแฟรงก์ ซินาตรา จูเนียร์ถูกลักพาตัวไป
5.
แฟรงก์คนลูกถูกนำตัวขึ้นรถ ถูกบังคับให้กินยานอนหลับ ก่อนจับขังไว้กระโปรงหลัง ระหว่างทางตำรวจออกตรวจ แต่รถผู้ก่อเหตุก็ผ่านมาได้อย่างราบรื่น จนไปถึงที่ซ่อนตัว และเมื่อพวกเขาพยายามติดต่อบอกทั้งโลกว่า พวกข้าคือคนลักพาตัว ปรากฎว่า ทั้งโลกก็รู้อยู่ก่อนแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น แค่ยังไม่รู้ว่าพวกเอ็งเป็นใครเท่านั้น
เมื่อเปิดวิทยุฟัง ก็พบข่าวนี้ไปทั่วอเมริกา โดยมีการให้เบอร์ครอบครัวซินาตราเพื่อแจ้งเบาะแส คีแนนลองโทร.ไป 2-3 สถานี ปรากฎว่าไม่มีใครเชื่อ แถมที่เชื่อก็ไม่สามารถพาแฟรงก์ ซินาตรามาคุยได้ เพราะอยู่ต่างเมือง ต้องใช้เวลาสักพัก จึงโทร.ไปสถานีวิทยุซึ่งนักร้องผู้ยิ่งใหญ่มาคุยได้ แต่ก็ต้องโทร.ไปถึง 3 ครั้งด้วยกัน กว่าจะคุยกันได้รู้เรื่อง
“ผม แฟรงก์ ซินาตรา นี่คุยกับใครอยู่”
คราวนี้เอง อดีตทหารเรือ แฟนเก่าแม่คีแนน จะเป็นคนเจราจา “แกต้องการอะไร เงินใช่ไหม” แฟรงก์คนพ่อถามย้ำ
“ใช่”
“เท่าไหร่ ฉันให้แกได้ล้านหนึ่งเลย ถ้ายอมปล่อยลูกฉัน”
“เอ่อ..พวกเราไม่ได้ต้องการเยอะขนาดนั้นหรอก เดี๋ยวผมจะบอกคุณพรุ่งนี้ว่าต้องการเท่าไหร่”
“ผมคุยกับลูกได้ไหม”
แล้วสายก็ถูกตัดไป
เย็นวันนั้นทุกคนในแก๊งตกลงว่า จะเรียกเงินแค่ 2.5 แสนเท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าเยอะมากแล้วในตอนนั้น โดยนัดแนะจุดรับส่งเงิน ซึ่งเอฟบีไอก็เตรียมแผนรออยู่แล้ว
คีแนนกับเพื่อนนักมวยไปรับเงิน โดยคีแนนรอในรถ เมื่อได้เงินตามจุดที่วางทิ้งไว้ ก็โกยแน่บ เมื่อมาถึงที่พัก พวกเขาก็ช็อกตาแตก ชนิดอึ้งถึงผงะ เพราะแฟรงก์คนลูกไม่อยู่แล้ว กลายเป็นว่าทหารเรือเก่าเรากลับสติแตก พาจูเนียร์ไปส่งตามที่ร้องขอทันที โดยไม่รอให้ได้เงินกลับมาก่อน
2 วันหลังหายตัวไป แฟรงก์ จูเนียร์ก็เป็นอิสรภาพอีกครั้ง
และเป็นดังที่คีแนนทำนายไว้
ครอบครัวซินาตรากลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาสมานฉันท์กันอีกครั้ง
รักกันดังอดีต ชื่นมื่นเสียจริง
ส่วนสมาชิกก่อเหตุ แม้จะมั่วๆ สั่วๆ อลหม่านกันอย่างมาก แต่ก็แบ่งเงินและใช้กันเต็มคราบ ทำเหมือนที่เห็นในหนัง สูบบุหรี่ โปรยเงิน ใช้ชีวิตกันอย่างสุดเหวี่ยง
แต่ไม่นานเกินรอ เงินค่าไถ่เหล่านี้ ซึ่งถูกทำเครื่องหมายไว้หมด ไม่ว่าสมาชิกในแก๊งจะใช้เงินแบบสนุกสนาน ใช้เงินทำอะไร ทางการก็รู้หมด โดยระหว่างนั้นคีแนนเอาเงินที่ได้มาไปซื้อเฟอร์นิเจอร์ให้แฟนเก่า ซึ่งพอแฟรงก์ ซินาตราคนพ่อรู้เรื่อง ก็บอกทางเอฟบีไอว่า “ไม่ต้องเอามาคืนนะ ให้เธอเก็บไว้เถอะ”
4 อาทิตย์แห่งการเป็นอิสระ สุดท้ายผู้ต้องหาถูกรวบตัวได้ทั้งหมด แม้ทุกคนจะมองว่ามันเป็นความผิดที่ไม่รุนแรงมาก แต่เพราะมันเป็นคดีลักพาตัว ซึ่งถือเป็นเรื่องระดับประเทศ กฎหมายระบุโทษหนักมาก นั่นทำให้แผนง่ายๆ ของคีแนน ทำให้ทุกคนต้องติดคุกถึง 75 ปีเป็นอย่างน้อย ชนิดที่ว่าตายคาคุกได้เลย
อย่างไรก็ดีคีแนนไม่ใช่คนโง่ นอกจากจะวางแผนลักพาตัวแล้ว เขายังสู้คดีได้อย่างลือลั่นด้วย โดยเจ้าตัวอ้างว่าการวางแผนนั้น เกิดขึ้นเพราะสภาพจิตใจเขาไม่ค่อยดี โดยยกความลำบากของครอบครัวที่เผชิญ อาการติดยา ติดเหล้า แถมเขาไม่ได้ทำร้ายอะไรแฟรงก์คนลูกเลย ที่สำคัญผู้ก่อเหตุทั้งหมด ยังสามัคคีอ้างว่าเรื่องทั้งหมด ถูกแต่งขึ้น และจูเนียร์ร่วมในขบวนการด้วย เพราะผู้ต้องหาทั้งหมดอ้างคำพูดเหยื่อที่บอกพวกเขา ตอนโดนลักพาตัวมาว่า “ผมอยากให้พวกคุณรอดจากการถูกจับนะ”
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าแฟรงก์ จูเนียร์อาจร่วมสมคบคิดด้วย แน่นอนว่าแม้มันจะไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง ชนิดว่าใครเชื่อก็เพี้ยนแล้ว แต่สุดท้ายผู้ต้องหาไม่ได้ขอให้สังคมเชื่อ แต่พวกเขาขอแค่ลูกขุนและศาลอุทธรณ์เชื่อก็พอแล้ว มันจึงนำไปสู่การลดโทษเหลือคนละ 25 ปี โดยได้รับสิทธิ์ลดหย่อนผ่อนโทษ ซึ่งทั้งหมดก็ได้สิทธิ์นี้
และแล้วในปี 1968 ไม่ถึง 5 ปีหลังลักพาตัว พวกเขาทั้งหมดก็ออกมาใช้ชีวิตเยี่ยงเสรีชนอีกครั้ง
6.
หลังรอดจากเหตุการณ์ จูเนียร์ยังคงร้องเพลงในเส้นทางอาชีพต่อไป โดยตลอดชีวิตเขาไม่เคยให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้กับใครเลย ตรงข้ามกับคีแนน ที่พูดเป็นต่อยหอย โดยที่เขาปากสว่างแบบนี้นั่นก็เพราะ หลังออกจากคุก เจ้าตัวหันมาลุยธุรกิจอสังหารริมทรัพย์และรวย รวย รวยอย่างมหาศาลเลย
หลายปีผ่านไป หลังจากช่วงอายุ 20 ต้นๆ เขาติดยาแก้ปวด ชีวิตครอบครัวย่ำแย่ ทุกอย่างเส็งเคร็ง เกือบตายเพราะเหล้า เป็นโจรลักพาตัว ติดคุก ในวัยผู้ใหญ่ คีแนนกลายเป็นอภิมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินกว่า 3 พันล้าน เรียกได้ว่าเยอะกว่าเงินที่เขาเคยเรียกค่าไถ่อีก โดยเจ้าตัวได้มีชีวิตที่ดี กินอยู่สบาย บางทีอาจจะรวยกว่าแฟรงก์คนลูกด้วยซ้ำไป
และเพราะรวยแล้ว เขาเลยปากสว่าง ชอบพูดวีรกรรมในอดีต โดยเจ้าตัวเคยพยายามจะลงทุนสร้างหนังเรื่องตัวเองที่ไปลักพาตัว ทำให้แฟรงก์ จูเนียร์ต้องฟ้องศาลสั่งห้ามหารายได้จากการก่ออาชญากรรม ซึ่งคีแนนก็สู้ว่าคนเรามีเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ดีที่ศาลตัดสินเป็นคุณแก่แฟรงก์ ซินาตราคนลูก
จากโจรกับเหยื่อ พวกเขาแปรสภาพเป็นคนรวย มีบ้านอยู่ไม่ห่างไกลกันในลอส แอนเจลลิส แต่ชาย 2 คนนี้คงไม่อยากพบหน้า และคงจะไม่คุยกันอีกในอนาคต หลังคุยกันครั้งสุดท้ายก็ค่ำคืนวันก่อเหตุนั่นเอง แน่นอนว่าคีแนนยังคงพูดถึงเรื่องนี้อย่างภาคภูมิใจ ราวกับเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตเลยทีเดียว
“เอาตามตรงนะ ผมก็รู้ว่ามันเป็นอาชญากรรม แต่ก็พยายามอย่างมากแหละ ที่จะให้ความชอบธรรมกับตัวเอง ว่าทำไมถึงต้องลงมือก่อเหตุนี้”
ข้อมูลอ้างอิง