1.
“เหยื่อจะต้องเป็นคนรวยมาก โดยไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์หรือนักการเมือง แต่ต้องเป็นคนดัง เราจะหาคนแบบนี้ได้ที่ไหน นอกจากซูเปอร์แมน”
อัลเฟรด “เฟรดดี้” ไฮเนเกน (Alfred “Freddy” Heineken) อายุ 60 ปีในปี ค.ศ.1983 เป็นอภิมหาเศรษฐีเนเธอร์แลนด์ เจ้าของเบียร์ยี่ห้อดังระดับโลก อย่าง ‘ไฮเนเกน’ กิจวัตรประจำวันของเขาเดิมๆ ทำงานที่ออฟฟิศและกลับบ้านที่ตั้งอยู่นอกเมืองอัมสเตอร์ดัม มีคนขับรถคู่ใจอย่างแอ๊บ ดอดีเร (Ab Dodere) วัย 57 ปี ตารางเวลาทุกอย่างลงตัวปกติ ซึ่งมันถูกบันทึกไว้โดยกลุ่มชายฉกรรจ์ 5 คน พวกเขาวางแผนนี้หลายเดือน สะกดรอยตามไฮเนเกนหลายครั้งจนรู้เวลาเป็นอย่างดี
ก่อนวันที่ 9 พฤศจิกายน ปี ค.ศ.1983 ชายหนุ่ม 5 คนได้วางแผนการก่อเหตุลักพาตัวอย่างดีเยี่ยม ใช้วิธีคิดแบบทหาร แบ่งงานกันทำ และมุ่งมั่นในหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ทำพลาดเพื่อให้แผนเดินหน้าไปได้ ทุกคนตรวจสอบร่องรอยข้อผิดพลาดทุกอย่าง ถึงขนาดศึกษาวิธีการลักพาตัวคดีระดับโลกเพื่อกลบช่องโหว่ สั่งปืนพกและปืนกล ขโมยรถ 6 คัน พยายามทิ้งรถคันหนึ่งให้เจ้าหน้าที่สับสน ว่ากันว่ามันแทบจะเป็นแผนการลักพาตัวที่ (เกือบ) สมบูรณ์สุดในโลก
หลังจากสอดแนมวางแผน เลือกโกดังร้างดัดแปลงห้องขัง 2 ห้องไว้เรียบร้อย ก็เริ่มปฏิบัติการในวันที่ 9 พฤศจิกายนกัน พวกเขาขับรถแวนไปหาไฮเนเกนกับคนรถที่กำลังจะกลับบ้านในช่วงเย็น ก่อนที่ชาย 3 คนอำพรางใบหน้าถือปืนลงไปจี้ตัวไฮเนเกนกับคนขับ มีการยื้อยุดกันเล็กน้อย แต่ในที่สุดกลุ่มผู้ลักพาตัวก็ใส่กุญแจมืออภิมหาเศรษฐีกับคนรถได้สำเร็จพาตัวขึ้นรถแวน เอาหมวกกันน็อกสีดำคลุมไม่ให้รู้ทิศทางก่อนจะขับออกไปยังท่าเรืออัมสเตอร์ดัม ลากตัวเจ้าของเบียร์ยี่ห้อดังกับคนขับรถเข้าห้องขังที่สร้างมา ล่ามโซ่คนละห้อง
ทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์แบบง่ายดาย
เป็นไปตามแผนที่วางมา
ขณะนั้นตัวอัลเฟรดเองกลัวขึ้นมาจับใจว่าคนที่จับตัวเขาไปนั้น คือพวกกองทัพแดงแห่งเยอรมันตะวันตก ซึ่งขึ้นชื่อลือในเรื่องการก่อการร้ายและความโหดเหี้ยม และเขาอาจถูกฆ่าได้
อย่างไรก็ดีกลุ่มคนร้ายทั้ง 5 คนไม่มีเจตนาจะฆ่าเขาอยู่แล้ว พวกเขาตั้งมั่นจะเรียกค่าไถ่ด้วยวงเงินที่สูงสุดในประวัติศาสตร์คือ 35 ล้านกิลเดอร์ดัตช์ เทียบเป็นเงินสมัยนี้ได้เท่ากับ 30 ล้านยูเอสดอลลาร์ ตีเป็นเงินไทยกลมๆ ก็เกือบ 900 ล้านบาท
ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน การลักพาตัวนี้จะกินเวลาแค่ 48 ชั่วโมงหรือ 2 วัน ได้เงินแบ่งกัน แล้วเอาตัวเศรษฐีเบียร์กับคนขับรถไปปล่อยทิ้งไว้สักที่ พวกเขาคงหาทางกลับเองได้อย่างแน่นอน
แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามแผน การลักพาตัวไฮเนเกนกลับกินเวลายาวนานถึง 21 วันด้วยกัน
2.
หัวโจกผู้วางแผนการก่อเหตุในครั้งนี้ คอร์เนลิส ฟาน เฮาต์ (Cornelis van Hout) เจ้าของบริษัทก่อสร้าง ซึ่งแผนเขานั้นมีหลักการคือต้องลักพาตัวคนรวยที่พร้อมจ่ายค่าไถ่ไวที่สุด เงินค่าไถ่จะทำให้พวกเขาตั้งตัวได้ และแผนนี้ต้องไม่ลงเอยที่ทุกคนติดคุกกันหมด และเขาได้รังสรรค์แผนนี้ขึ้นมาอย่างยอดเยี่ยม
โดยเพื่อนร่วมก่อเหตุของคอร์เนลิสทั้งหมด คือเพื่อนวัยเด็กที่เติบโตกันมา ในย่านยากจน พวกเขาทำงานแล้วเจอปัญหาเศรษฐกิจ จนสูญเสียรายได้ ความเป็นอยู่อัตคัด เป็นคนจนๆ ในประเทศที่ต้องลุกมาก่อเหตุบันลือโลกนี้
ยุโรปในยุคนั้นเป็นสถานที่สุดอันตรายของนักการเมือง เศรษฐี คนมีชื่อเสียง กลุ่มก่อการร้าย กลุ่มโจรมักจะลักพาตัวคนเหล่านี้ไปเรียกค่าไถ่เสมอ แต่ไม่ใช่ที่เนเธอร์แลนด์ สมาชิกแก๊งก่อเหตุจึงได้ศึกษาวิธีการลงมือจากข่าวการลักพาตัวทั่วยุโรป เพื่อจะนำมาใช้ในแผ่นดินดัตช์เป็นครั้งแรก
ตัวคอร์เนลิสนั้นแต่งงานกับน้องสาวของเพื่อนสนิทชื่อ วิลเลม ฮอลลีเดอร์ (Willem Holledder) ฉายาไอ้จมูกโต พ่อของวิลเลมเคยทำงานในบริษัทเบียร์ไฮเนเกน แต่เพราะติดเหล้าเลยโดนไล่ออก ทั้งวิลเลมและคอร์เนลิสเป็นเพื่อนกันตั้งแต่วัยเด็ก พวกเขาใช้ชีวิตในย่านยากจนและเต็มไปด้วยความรุนแรง
มันหล่อหลอมให้พวกเขาได้เห็นวิธีการปล้น
ก่ออาชญากรรมตั้งแต่วัยเยาว์
และรู้จักกับบริษัทไฮเนเกนเป็นอย่างดี
ผู้ร่วมก่อเหตุอีก 3 คนนั้นประกอบด้วยฟรานส์ ไมเยอร์ (Frans Meijer) ยาน บูลาร์ด (Jan Boellaard) และมาร์ติน แอร์คัมป์ (Martin Erkamps) ซึ่งเป็นสมาชิกแก๊งที่อายุน้อยสุดคือ 21 ปี ขณะที่คนอื่นๆ จะอายุ 24-25 ปีกันทั้งนั้น
เหตุการณ์ลักพาตัวไฮเนเกนนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ไม่เฉพาะในเนเธอร์แลนด์เท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องใหญ่ระดับโลก ตำรวจระดมกำลังค้นหาแทบทุกจุดทั่วอัมส์เตอร์ดัม มีการใช้เฮลิคอปเตอร์บินวน มีการรวบรวมเบาะแสหาสถานที่กักขังไฮเนเกนอย่างเร่งด่วนมาก
กระนั้นก็ดีเหล่าผู้ก่อเหตุก็เตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว เมื่อลักพาตัวได้สำเร็จ พวกเอาตัวไฮเนเกนกับคนรถเข้าห้องขังล่ามโซ่ให้อยู่ในห้องกว้าง 4 เมตรแล้วก็แยกย้ายกลับบ้านกันตามปกติ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพื่อไม่ให้ใครสงสัย จนวันรุ่งขึ้นจึงเริ่มดำเนินการตามแผน
คราวนี้พวกเขาเอานาฬิกาข้อมือของไฮเนเกน จดหมายเรียกค่าไถ่ บัตรประชาชนของแอ๊บ หย่อนใส่ซองปิดผนึก ก่อนนำไปใส่ในตู้ไปรษณีย์ของโรงพักเล็กๆ เมื่อตำรวจเจอซองดังกล่าวที่ระบุเงินค่าไถ่และคำแนะนำว่า ถ้าพร้อมจ่ายเงินค่าไถ่ก็ให้ไปซื้อโฆษณาตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ แล้วพิมพ์ประโยคว่า “ทุ่งหญ้าสีเขียวสำหรับกระต่าย” ถ้ามีประโยคนี้เมื่อไหร่ แสดงว่าทางการยอมจ่ายค่าไถ่แล้ว ซึ่งจะเข้าสู่ขั้นตอนการนัดส่งมอบเงินต่อไป
ระหว่างนั้นพวกเขาถ่ายภาพไฮเนเกนกับหนังสือพิมพ์ อัดเสียงแล้วส่งไปหาตำรวจเพื่อให้รู้ว่าพวกเขานั่นคือโจรลักค่าไถ่ตัวจริง และตัวประกันยังมีชีวิตอยู่
ทุกอย่างดูเหมือนไม่ยาก ไม่ซับซ้อน จ่ายเงินก็จบ แต่กลับไม่มีประโยคนี้ในหน้าหนังสือพิมพ์ปรากฏมาเสียที วันแล้ววันเล่าที่นั่งคอย ทุกคนว้าวุ่นกันมาก พวกเขาเกรงว่าตำรวจพยายามดึงเกมการจ่ายค่าไถ่เพื่อสืบหาตัวคนร้ายและสถานที่กักขังไฮเนเกนมากกว่า
ในช่วงเวลาที่ถูกจับกุมตัวนั้นเศรษฐีชรานิ่งสงบมาก จนคนลักพาตัวยังยอมรับว่าอภิมหาเศรษฐีรายนี้ไม่ใช่คนธรรมดา แถมยังมีชั้นเชิงมีการพูดคุยปั่นประสาทพยายามติดสินบนพวกเขาให้ปล่อยตัวด้วย
แต่สุดท้ายไฮเนเกนก็ไม่มีวันรู้จักคนที่อุ้มเขามาก เพราะทุกคนคลุมไอ้โม่ง ไม่เรียกชื่อกันให้ตัวประกันได้ยิน และเวลาพูดก็จะพูดผ่านเครื่องดัดเสียง ตัวชายชราก็ยอมรับว่าเขาไม่รู้วันรู้คืนเลย ถ้าไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์ ถ้าไม่ได้อ่านหนังสือหรือนอน หลับ ก็ไม่รู้ทำอะไร ทุกอย่างเป็นปริศนาและชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป ไฮเนเกนก็ตอบตัวเองไม่ได้
“ตอนนั้นผมจะแบ่งขนมปังส่วนหนึ่งเก็บไว้กินพรุ่งนี้เช้า
เพราะไม่รู้ว่าจะมีขนมปังมาให้กินอีกไหม”
ด้านคนขับรถ เขาพยายามออกกำลังกายขณะโซ่ล่ามมือ เพื่อไม่ให้ว้าวุ่น เพื่อไม่ให้เครียด จึงต้องหาอะไรทำตลอดเวลา ต่อมาเศรษฐีชราจะรู้ว่าแอ๊บก็โดนจับมาด้วย พวกเขามักจะคุยถามไถ่กันทุกวัน โดยใช้เวลาเพียง 2-3 นาทีเท่านั้น
หลังเกิดเหตุลักพาตัว ตำรวจออกสืบสวนหาข้อมูลทันที จนสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยในคดีลักพาตัวนี้มากถึง 24 คน หลายคนเชื่อมโยงทางสายเลือดและเป็นญาติกัน เมื่อนำข้อมูลมาปะติดปะต่อ ระหว่างนั้นก็มีแหล่งข่าวนิรนามแจ้งตำรวจให้ไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุรอบโกดังร้าง ว่ากันว่าแหล่งข่าวรายนี้ถึงขั้นให้ชื่อผู้ร่วมก่อเหตุถึง 3 รายมาด้วย
แม้ตำรวจจะสงสัยโกดังแห่งนี้มากและคาดว่าน่าจะเป็นจุดกักขังตัวไฮเนเกนจริง แต่การบุกค้นโกดังตอนนี้เป็นเรื่องเสี่ยงจะเกิดอันตรายกับตัวประกันได้ เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีอาวุธเตรียมการป้องกันแค่ไหน
ในที่สุดทางการและครอบครัวเจ้าของเบียร์ก็ตกลงจ่ายค่าไถ่จำนวนมหาศาลแก่กลุ่มโจร
“ทุ่งหญ้าสีเขียวสำหรับกระต่าย” ปรากฏขึ้นในหน้าหนังสือพิมพ์ในที่สุด เป็นอันสิ้นสุดการรอคอยของเหล่าโจรเรียกค่าไถ่
3.
เมื่อพร้อมจะจ่ายเงินค่าไถ่ การนัดหมายก็เกิดขึ้น กลุ่มผู้ลักพาตัวตกลงว่าเงินนั้นจะต้องประกอบด้วยสกุลเงินจากดัตช์ เยอรมันตะวันตก อเมริกาและฝรั่งเศส ถูกยัดใส่กระเป๋าจำนวน 5 ใบ โดยให้ตำรวจนอกเครื่องแบบขับรถตามที่คนร้ายแนะนำ มีการเปลี่ยนเส้นทาง เปลี่ยนรถฟังคำแนะนำผ่านวิทยุสื่อสาร ขับไปไกลเกือบ 200 กิโลเมตร ก่อนคนร้ายจะบอกให้โยนวิทยุสื่อสารทิ้งออกนอกรถ แล้วมุ่งหน้าไปยังสะพานแห่งหนึ่ง โยนกระเป๋าใส่เงินลงรางน้ำสู่ถนนเบื้องล่างแล้วให้ขับรถออกไปทันที
ที่นั่นกลุ่มโจรลักค่าไถ่ได้ขับรถกระบะมารอรับแล้ว เมื่อหยิบกระเป๋าเงินขึ้นรถ พวกเขาเอามันไปใส่ถังน้ำมันฝังดินไว้ก่อน ไม่ผลีผลามใช้เงินมหาศาลนี้ ก่อนที่จะเปลี่ยนรถ แล้วปั่นจักรยานกลับในตอนเช้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แผนทุกอย่างดูเหมือนจะลุล่วงประสบความสำเร็จ แต่ในเวลาต่อมา พวกเขากลับพบว่าตำรวจรู้ตัวตนพวกเขาหมดแล้ว มีการสะกดรอย สกัดจับ นั่นทำให้แทนที่จะได้ฉลองใช้เงิน กลับต้องวางแผนหนี โดยปล่อยตัวประกันไว้ที่โกดังร้างไปก่อน
นั่นกลายเป็นครั้งสุดท้าย
ที่ทั้ง 5 คนได้อยู่พร้อมหน้ากันในโลกใบนี้
เมื่อเจ้าหน้าที่จ่ายเงินค่าไถ่ไปแล้ว ก็นั่งรอการติดต่อกลับมาของกลุ่มคนร้าย แต่เมื่อทุกอย่างเงียบไป และผู้ต้องสงสัย 5 คนก็หายตัวไปแล้ว ทางการจึงเสี่ยงตัดสินใจบุกเข้าค้นโกดังร้างทันที ทีแรกพวกเขาค้นไม่พบอะไร จนกระทั่งเจ้าหน้าที่รายหนึ่งพบผนังที่ถูกดัดแปลงเป็นประตู จึงทำการเปิดออก
ในที่สุด 21 วันผ่านไป ไฮเนเกนและแอ๊บก็ได้สัมผัสกับอิสรภาพ ทั้งสองมีอาการอ่อนล้าเพลียและเป็นหวัด แต่โดยรวมก็ดูปกติ ทางเศรษฐีเบียร์ยี่ห้อดังพูดกับเจ้าหน้าที่ว่า
“ทำไมไม่มาให้มันไวกว่านี้ล่ะ”
4.
สมาชิกร่วมก่อเหตุทั้ง 5 คนแบ่งเงินกันอย่างลงตัว มันเป็นเงินมหาศาล โดยเงินบางส่วนยังถูกฝังไว้ในดินและไม่มีใครพบเงินที่เหลือนั้นอีกเลยจนถึงทุกวันนี้
พวกเขาอาจวางแผนการลักพาตัวที่ประสบความสำเร็จ แต่แผนการหลบหนีนั้น พวกเขากลับล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
บูลาร์ดและแอร์คัมป์ โดนตำรวจจับกุมก่อนใครเพื่อน ส่วนไมเยอร์ตัดสินใจเข้ามอบตัว โดยอ้างว่าเผาเงินที่ได้จากการเรียกค่าไถ่ไปหมดแล้วที่ชายหาดแห่งหนึ่ง ทางหัวโจกคอร์เนลิสกับวิลเลมหนีไปฝรั่งเศสสำเร็จ แต่ก็ใช้เวลาไม่นาน ก็โดนจับกุมตัวถูกส่งตัวกลับมายังบ้านเกิดเพื่อชดใช้ความผิด
หลังถูกตัดสินจำคุกดูเหมือนชีวิตหลังจากนี้ของทั้ง 5 คนจะเข้าสู่โลกอาชญากรรมโดยสมบูรณ์แบบทันที
เริ่มจากบูลาร์ด เขาโดนจำคุก 12 ปีจากความผิดครั้งนี้ เมื่อออกจากคุกก็ไปก่อเหตุยิงเจ้าหน้าที่ศุลกากรตาย ต้องโทษจำคุกต่ออีก ไมเยอร์หนีออกจากสถานบำบัดทางจิตหลังเข้าไปรักษาอาการป่วย เขาบินหนีไปปารากวัย ผ่านไปหลายปีก็ถูกค้นพบโดยนักข่าวอาชญากรรมเนเธอร์แลนด์ที่มาเขียนหนังสือคดีลักพาตัวนี้ สุดท้ายทางการปารากวัยจับตัวเขาส่งกลับประเทศ ติดคุกออกมาก็ก่อเหตุปล้นรถขนเงินในปี ค.ศ.2018 จนโดนตำรวจยิงเจ็บต้องติดคุกต่ออีก 3 ปี กำหนดพ้นโทษปีนี้
น้องเล็กอย่างแอร์คัมป์ ถูกจำคุก 9 ปีจากคดีลักพาตัว เมื่อพ้นโทษ ก็มาโดนจับฐานขนยาที่สเปนอีก เมื่อรับโทษเสร็จ เขาก็หนีหายไปจากสาธารณชน จนไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ปานามา กลายเป็นข่าวหน้า 1 ลงสื่อท้องถิ่น
คอร์เนลิสกับวิลเลมออกจากคุก แล้วก็ยังไม่เลิกนิสัยอาชญากร เงินจากการลักพาตัวทำให้พวกเขาสร้างองค์กรอาชญากรรมได้อย่างลงตัวยิ่งใหญ่ ทำธุรกิจมืดเกี่ยวกับการขนยาและธุรกิจค้าประเวณี ในปี ค.ศ.2003 คอร์เนลิส หัวโจกผู้วางแผนการลักพาตัวก็ถูกยิงเสียชีวิต งานศพของเขายิ่งใหญ่มากสมฐานะเจ้าพ่ออาชญากรแห่งเนเธอร์แลนด์ โลงศพเขาถูกลากด้วยม้าห่มคลุมด้วยผ้าสีขาว 8 ตัว ตามด้วยขบวนรถลิมูซีนสีขาวอีก 15 คัน
หลายปีต่อมาวิลเลม ไอ้จมูกโตถูกจับกุมหลังมีส่วนจ้างวานฆ่าคู่แข่งในโลกอาชญากรรมไป 5 ราย หนึ่งในนั้นคือการถูกกล่าวหาว่าได้จ้างคนไปยิงคอร์เนลิส เพื่อนสนิท แม้วิลเลมจะปฏิเสธทุกข้อหา แต่สุดท้ายศาลก็ตัดสินจำคุกเขาตลอดชีวิต
ด้านอัลเฟรด ไฮเนเกน หลังได้รับการปล่อยตัวออกมา เขาสร้างธุรกิจเบียร์อย่างยิ่งใหญ่ต่อไป โดยครั้งหนึ่งเขาเคยพูดกับสื่อถึงความหลังตอนโดนลักพาตัวว่า “ไอ้พวกนั้นมันทรมานผม ด้วยการให้ดื่มเบียร์คาร์ลสเบิร์ก”
แม้จะเรียกเสียงหัวเราะ แต่ประสบการณ์ถูกลักพาตัวนี้ส่งผลต่อตัวเขามาก อัลเฟรดได้ป้องกันตัวเองไม่ให้เกิดเรื่องนี้ซ้ำอีก ทั้งการก่อตั้งบริษัทรักษาความปลอดภัยส่วนตัวขึ้นมาเพื่อดูแลและสืบหาเบาะแสโจรลักค่าไถ่เขาในช่วงนั้นที่ยังหลบหนีกันอยู่ บ้านพักถูกดัดแปลงเป็นป้อมประการ ใช้รถกันกระสุน สุดท้ายตัวไฮเนเกนเสียชีวิตในปี ค.ศ.2002 ได้เห็นผู้ก่อเหตุโดนจับกุมตัวทั้งหมด โดยก่อนตายนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ได้พูดตลกๆ กับนักข่าวถึงชีวิตตัวเองที่สะท้อนความยอกย้อนและวิบากกรรมของการเป็นคนรวยว่า
“สิ่งที่ดีสุดของการมีเงินคือ คุณจะบินไปแคริบเบียนตอนไหนก็ได้ที่ต้องการ แต่ตัวผมนั้น แค่จะไปโรงหนังใกล้ ๆ ยังทำไม่ได้เลย”
ข้อมูลอ้างอิง