ไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับที่จะเขียนหนังสือประวัติศาสตร์ขึ้นมาสักเล่มหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อหนังสือเล่มที่ว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับศาสนาด้วยแล้ว ความท้าทายที่จะเขียนอย่างไรให้ครอบคลุม ในขณะเดียวกันก็ต้องเฉลี่ยน้ำหนักเนื้อหาให้เหมาะสม ทั้งยังต้องคำนึงถึงผู้อ่านกลุ่มที่พอจะมีพื้นความรู้อยู่แล้วบ้าง หรือผู้อ่านกลุ่มที่อาจไม่เชี่ยวชาญเรื่องศาสนามากนักให้สามารถเข้าถึงความซับซ้อนของประเด็นนี้ A Little History of Religion คือหนังสือที่ประสบความสำเร็จในการจัดการพันธะอันซับซ้อนนี้ ออกมาเป็นหนังสือประวัติศาสตร์อ่านสนุก ด้วยเนื้อหาที่ไม่ถึงกับหนักหนา แต่ก็ไม่เบาบางจนเกินไป
เป็นอีกครั้งที่สำนักพิมพ์ openworlds ยังคงเลือกหนังสือแปลได้อยู่มือ อย่างที่ผมหวังเลยครับว่า หนังสือเล่มนี้น่าจะกลายเป็น short introduction ที่จะสร้างแรงกระเพื่อมเล็กๆ ให้ศาสนาเป็นเรื่องน่าสนใจของสังคมในมิติที่หลากหลายขึ้น ส่วนหนึ่งต้องชื่นชมผู้เขียน Richard Halloway นี่ล่ะครับ ขอเล่าประวัติผู้เขียนคร่าวๆ ก่อนนะครับ คือคุณ Halloway เนี่ย ครั้งหนึ่งแกเคยเป็นบิชอปแห่งเอดินบะระและหัวหน้านักบวชแห่งคริสตจักรแองกลิกันแห่งสกอตแลนด์ครับ แต่แล้วในปี 2000 แกก็เกิดลาออกจากตำแหน่งเสียเฉยๆ หลังจากต้องต่อสู้ดิ้นรนอยู่กับศรัทธาเดิมอยู่นาน เพราะแกดันพบว่าตัวเองไม่ได้เชื่อในพระเจ้าอีกแล้วครับ ทุกวันนี้ Halloway ยึดอาชีพเป็นนักเขียน นักจัดรายการวิทยุ นักวิพากษ์วิจารณ์ศาสนาครับ
อาจเพราะครั้งหนึ่งเคยศรัทธาในพระเจ้า แต่ด้วยปัจจุบันกลับไม่เชื่อเช่นนั้น การสั่นคลอนทางความเชื่อในตัวผู้เขียนเช่นนี้จึงสะท้อนผ่านงานเขียนชิ้นนี้อย่างน่าสนใจทีเดียวครับ A Little History of Religion เป็นหนังสือที่เล่าประวัติศาสตร์ศาสนาต่างๆ ได้อย่างไม่รู้สึกถึงน้ำเสียงว่าผู้เขียนกำลังถือข้างของฝั่งใด Halloway บอกเล่าด้วยน้ำเสียงที่ซื่อบริสุทธ์เท่าที่จะเป็นได้ หากในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะตั้งคำถามต่อพิธีกรรม ความเชื่อ และศรัทธาในศาสนาต่างๆ อย่างเด็ดขาด กล้าหาญ และตรงไปตรงมา
หนังสือเล่มนี้พาเราสำรวจตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่มนุษย์เริ่ม ‘เชื่อ’ ในปรากฏการณ์ที่อธิบายไม่ได้ นับตั้งแต่อดีตกาลที่มนุษย์ยังไม่เข้าใจว่าทำไมฟ้าถึงร้อง และฝนถึงตก
ด้วยการกำเนิดของศาสนาในทางหนึ่งก็เพื่อจะหาคำอธิบายทดแทนในสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจหาคำตอบได้ เช่นเดียวกับที่มันก็เป็นกลไกหนึ่งที่มนุษย์ใช้เพื่อจัดการกับความกลัวที่พละกำลังไม่อาจคัดง้างด้วยได้ เป็นประดิษฐกรรมหนึ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อต่อรองกับพลังธรรมชาติอันทรงพลัง
Halloway กล่าวไว้ว่า การเขียนประวัติศาสตร์ศาสนาเป็นเรื่องยาก และมันคล้ายจะเป็นไปไม่ได้นักหากต้องดำเนินเรื่องในลักษณะลำดับเวลา (chronological order) นั่นเพราะการเกิดขึ้นของศาสนานั้นไม่ได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือเป็นระเบียบชัดเจน จึงจำเป็นต้องเล่าโดยกระโดดไปมาในหลายพื้นที่ด้วย บางศาสนาก็เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน แต่มีพื้นฐานความเชื่อที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ความโดดเด่นอีกประการของ A Little History of Religion ปรากฏขึ้นจากความทะเยอทะยานของมันเองที่ต้องการจะถ่ายทอดประวัติศาสตร์ศาสนาอย่างครอบคลุม นักเขียนบางคนที่แม้จะตั้งใจแน่วแน่ หวังถ่ายทอดประเด็นใดๆ ในสเกลใหญ่คับโลกเช่นนี้ บางครั้งพวกเขาก็มักตกหลุมพรางเพราะความชำนิชำนาญของตัวเอง นั่นคือการเผลอหยุดอยู่กับเรื่องที่ตัวเองรู้ดีที่สุดนานเกินไป ขยายรายละเอียดเสียมากมาย เพื่อที่สุดท้าย แม้เนื้อหาในส่วนนั้นจะลึกซึ้งแค่ไหน แต่มันกลับส่งผลต่อสมดุลของหนังสือและความตั้งใจแรกเริ่มที่ต้องการจะบอกเล่าภาพกว้างของประเด็นหนึ่งๆ เกิดเป็นการเทน้ำหนักอย่างผิดที่ผิดทางไปเสียอย่างนั้น
แต่ Halloway สามารถรับมือกับหลุมพรางนี้ได้อย่างน่าชื่นชมทีเดียวครับ แม้ว่าเขาจะมีพื้นความรู้ที่ลึกซึ้งในเรื่องศาสนาคริสต์ แต่เขากลับเลือกเฉลี่ยน้ำหนักให้กับทุกศาสนาได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้การอ่านหนังสือเล่มนี้เป็นไปอย่างลื่นไหล พลิกหน้าต่อหน้าอย่างกระชับฉับไว เพราะรู้สึกถึงเรื่องราวที่คืบหน้าตลอดเวลา นอกจากนี้ Halloway ไม่ได้หยุดอยู่แค่ศาสนาในอดีตไกลโพ้นเท่านั้น แต่เขายังนำเสนอภาพของศาสนาหรือกลุ่มลัทธิเกิดใหม่ อย่าง Church of Christ Scientist หรือกลุ่ม Fundamentalist ที่ปรากฏในหลายพื้นที่ศาสนาในปัจจุบัน
A Little History of Religion ยังชวนตั้งคำถามในเรื่องศาสนาและความรุนแรง อย่างที่เป็นประเด็นร้อนแรงนับตั้งแต่อดีต กระทั่งปัจจุบัน และซึ่ง Halloway เองก็ดูจะเห็นด้วยที่ศาสนามีส่วนในการจุดประกายความรุนแรงหลายๆ ครั้ง แม้บ่อยครั้งมันจะพาดเกี่ยวอยู่กับความรุนแรงในภาคอื่นๆ อย่างการเมือง เศรษฐกิจ หรือประเด็นด้านชาติพันธุ์ก็ตาม
ดูจะชื่นชมหนังสือมาเสียเยอะนะครับ แต่แน่นอนว่ามันก็มีจุดให้ติเป็นธรรมดา จุดหนึ่งที่เห็นได้ชัดเลยคือความทะเยอทะยานของมันที่แม้ทางหนึ่งจะถือว่าจัดการได้ครอบคลุมดี แต่ด้วยหน้ากระดาษอันจำกัด มันเลยช่วยไม่ได้ที่หลายๆ ส่วนของเนื้อหาจะชวนให้รู้สึกถึงความผิวเผิน และบางเบาไปสักหน่อย หรืออีกส่วนที่เห็นได้ชัดคือ การที่หนังสือต้องสละพื้นที่ส่วนใหญ่ให้กับศาสนาใหญ่ๆ ในอดีต ทำให้ความตั้งใจที่จะครอบคลุมภาพกว้างของประวัติศาสตร์ศาสนาจึงคล้ายจะถูกจับจ้องไปยังช่วงเวลาอันห่างไกล มากกว่าเวลาอันใกล้ที่เรามองเห็นได้ชัดเจน