คุณลองนึกดูสิซาราห์ จะสะดวกแค่ไหนกัน ถ้าเราอุ่นอาหารได้โดยไม่ต้องตั้งกระทะ เปิดเตา ล้างเครื่องครัวให้วุ่นว่าย มันเยี่ยมมากเลยจอร์จ เจ้าเตาไมโครเวฟนี่มันสุดยอดจริงๆ
เตาไมโครเวฟที่มีแทบทุกบ้าน ทำให้เราอุ่นอาหารได้อย่างสะดวกสบาย ละลายน้ำแข็งในอาหารก็ดีเยี่ยม มันไม่ได้ใช้ความร้อนทั่วทิศทางอย่างเตาอบ แต่มันจะปล่อยคลื่นไมโครเวฟออกมา แล้วคลื่นนั้นจะทำให้โมเลกุลน้ำในอาหารสั่นและเสียดสีกันจนเกิดความร้อน
ครั้งหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นนี้เป็นสัญลักษณ์ของความสะดวกสบายแห่งอนาคต เป็นอะไรใหม่ๆ ที่ทำให้การอุ่นอาหารสะดวกขึ้นไปอีกหนึ่งก้าวใหญ่ๆ แต่ในวันนี้มันกลายเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีแทบทุกบ้าน ตัวเลขจาก Microwave Technologies Association ระบุว่า ยอดขายเตาไมโครเวฟทั่วโลก มีมากกว่า 30 ล้านเครื่องต่อปี ทำให้มันได้เข้าไปส่งเสียงหึ่งๆ ตั้งแต่สำนักงาน ร้านค้า ไปจนถึงในครัวทุกหัวระแหง
เตาไมโครเวฟนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากความกระหายในสิ่งใหม่ ไม่ได้เกิดขึ้นจากการแข่งขันกับเตาชนิดไหน แต่เป็นอีกครั้ง ที่สิ่งประดิษฐ์เกิดขึ้นบนโลกนี้ได้ด้วยความบังเอิญ

ในช่วงที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ยังครุกรุ่น เทคโนโลยีเรดาร์ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรได้เปรียบเหนือใคร แต่เรดาร์นั้นต้องใช้แมกนีตรอนซึ่งเป็นหลอดสุญญกาศกำลังสูง ทำหน้าที่สร้างคลื่นไมโครเวฟโดยการแปลงพลังงานไฟฟ้าเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (ในตอนนั้นโลกเรารู้จักคลื่นไมโครเวฟกันแล้ว) แต่แมกนีตรอนนั้นผลิตได้ยากเหลือเกิน ในแต่ละวันผลิตได้เพียง 20 เครื่องเท่านั้น หากจะยังคงความได้เปรียบในสงคราม กองทัพต้องมีแมกนีตรอนมากกว่านี้
บริษัท Raytheon ในสหรัฐอเมริกา จึงรับหน้าที่พัฒนาเรดาร์สำหรับกองทัพ และเป็นหน้าที่หนึ่งของเพอร์ซี่ สเปนเซอร์ (Percy Spencer) วิศวกรชาวอเมริกัน ที่ต้องขลุกอยู่ในห้องทดลองวันแล้ววันเล่า เพื่อทดสอบแมกนีตรอน จนในที่สุดสามารถผลิตแมกนีตรอนเพิ่มขึ้นเป็น 2,600 เครื่องต่อวัน เป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญที่ช่วยพัฒนาขีดความสามารถของเรดาร์ในช่วงสงคราม
เพอร์ซี่ยังคงทำงานในห้องทดลองเช่นเคย จนในปี 1945 อาจด้วยความหิวระหว่างวัน อยากจะกินจุ๊บจิ๊บ เพอร์ซี่เลยมีช็อกโกแลตห่อเล็กๆ ติดตัวไว้ในกระเป๋าเสื้อ แต่เขาสังเกตว่า หากอยู่ใกล้คลื่นไมโครเวฟนานๆ ทีไร ช็อกโกแลตของเขาเป็นต้องละลายเสมอ มันอาจจะเพราะอากาศร้อน หรือเพราะอุณหภูมิอุ่นๆ จากร่างกายก็ได้ ที่ทำให้ช็อกโกแลตเหลวแบบนี้ แต่เขาช่างสังเกตกว่านั้น
ความอยากรู้อยากเห็นของเขาทำให้เขาทดลองเพิ่มเติม โดยวางเมล็ดข้าวโพดคั่วไว้ใกล้กับแมกนีตรอนที่ปล่อยคลื่นไมโครเวฟออกมา เมื่อเมล็ดข้าวโพดเริ่มแตกตัว ปิ๊งป่อง เหมือนมีหลอดไฟสว่างวาบในความคิด ความสงสัยของเขาคลี่คลายลง เขาพบว่าคลื่นไมโครเวฟสามารถทะลุผ่านอาหารและให้ความร้อนได้อย่างรวดเร็ว เพื่อยืนยันความเชื่อนี้อีกครั้ง เขาทดสอบเพิ่มเติมกับไข่ไก่ ทำให้เปลือกไข่แตก และได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่าเขาได้ค้นพบวิธีอุ่นอาหารแบบใหม่เข้าแล้ว

บริษัท Raytheon ต้นสังกัดก็ตาลุกวาว การค้นพบนี้ยิ่งใหญ่มั้ยยังไม่รู้ แต่ที่รู้ต้องรีบยื่นจดสิทธิบัตร ‘กระบวนการปรุงอาหารด้วยไมโครเวฟ’ ไว้ก่อนในปีเดียวกันนั้น แต่เส้นทางการค้นพบแสนบังเอิญในช่วงสงคราม จนกลายเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้งานได้จริงนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
อุปสรรคทางเทคนิคที่สำคัญอย่างหนึ่งคือการพัฒนารูปแบบการป้องกันรังสีรอบประตูเตาอบ จอห์น เอฟ. เกอร์ลิง (John F. Gerling) อดีตประธานสถาบันพลังงานไมโครเวฟนานาชาติกล่าว “การออกแบบในยุคแรกมีราคาค่อนข้างสูงถ้าเทียบกับประสิทธิภาพ ปัจจุบัน การป้องกันรังสีได้รับการออกแบบให้มีราคาถูกและมีประสิทธิภาพสูง เช่น การปล่อยรังสีต่ำมาก และมีความแข็งแรงทนทานเพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค”
เพอร์ซี่และบริษัท ไม่ได้ปล่อยให้การค้นพบครั้งนั้นสูญเปล่า ในปี 1947 บริษัท Raytheon ได้เปิดตัวเตาอบไมโครเวฟเครื่องแรก ซึ่งตั้งชื่ออย่างเหมาะสมว่า Radarange เจ้าเครื่องรุ่นแรกนั้นมีความสูงเกือบ 1.8 เมตร และหนักราว 340 กิโลกรัม ต้องใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ และมีราคาประมาณ 5,000 ดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 158,780 บาท
แม้จะมีขนาดและราคาสูงลิบพอกัน แต่ Radarange กลับเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ต้องการอุ่นอาหารอย่างรวดเร็ว เช่น ฐานทัพ โรงพยาบาล โรงแรม แต่ต้องใช้เวลาหลายทศวรรษกว่าเตาไมโครเวฟจะเข้ามาอยู่ในห้องครัวของครัวเรือนทั่วไป ในทุกๆ 5-10 ปี หลายบริษัทมีความพยายามจะผลิตเตาไมโครเวฟขนาดกระทัดรัดในราคาที่เอื้อมถึงสำหรับครัวเรือน ยี่ห้อแล้วยี่ห้อเล่า เริ่มเปิดตัวเตาไมโครเวฟของตัวเอง จนในปี 1975 เตาไมโครเวฟมียอดขายแซงหน้าเตาแก๊สแบบดั้งเดิม และเริ่มแพร่หลายตั้งแต่นั้นมา

ยอดขายที่พุ่งขึ้นช่วยตอกย้ำสถานะของเตาไมโครเวฟในฐานะสัญลักษณ์ของความทันสมัยและความสะดวกสบาย แต่น่าเสียดายที่เพอร์ซี่อยู่ไม่ทันเห็นช่วงเวลาเหล่านี้
แม้สิ่งประดิษฐ์เปลี่ยนโลกของเพอร์ซี่จะได้มาด้วยความบังเอิญ แต่ตลอดชีวิตเขากลับไม่ได้พึ่งพามันแม้แต่น้อย จากเด็กกำพร้าที่ต้องหยุดเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา เขาเรียนรู้ด้านวิศวกรรมไฟฟ้าด้วยตนเองจากการอ่านหนังสือขณะทำงานในโรงงานกระดาษ จนได้มีชื่อในหอเกียรติยศนักประดิษฐ์แห่งชาติ ในฐานะผู้ประดิษฐ์เตาไมโครเวฟ
เป็นอีกครั้ง ที่สิ่งประดิษฐ์ผลิบานจากความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า
อ้างอิงจาก