(บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของอนิเมะ Attack on Titan)
“พวกเขามีสายเลือดในตำนานที่ถูกกล่าวขานกันในหมู่ราชวงศ์
ตระกูลเอเคอร์แมนคือผลผลิตแห่งวิทยาศาสตร์อันน่าสะพรึง
และเป็นไปได้ผมไม่อยากปะทะกับพวกเขาอีกเลย”
ประโยคนี้ที่ ซีค เยเกอร์ ผู้ครอบครองพลังไททันสัตว์ป่าเคยพูดไว้จากประสบการณ์ที่เคยปะทะ (จริงๆ ไม่ควรเรียกว่าปะทะ แต่เป็นการถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวซะมากกว่า) กับเครื่องจักรสังหารอย่าง ‘รีไวร์ เอเคอร์แมน’ มาแล้วก่อนหน้านี้ และผลลัพธ์คือเมื่อถูกเข้าถึงตัวได้ เขาพ่ายแพ้อย่างไม่เป็นท่า สิ่งนี้พอจะบอกได้ว่าเหตุใดตระกูลเอเคอร์แมนถึงเป็นตระกูลที่เคยถูกกำจัดทิ้งในอดีต นั่นก็เพราะตระกูลนี้เป็นสายเลือดที่ทรงพลังเกินไปจนยากจะควบคุมนั่นเอง
เนื้อหาในบทความนี้ จะเป็นการพูดถึงตระกูลเอเคอร์แมนกับสมาชิกตระกูล 3 คนที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องราวของ Attack on Titan อย่างเคนนี่ รีไวร์ และมิคาสะ โดยเริ่มจากการรู้จักที่มาที่ไปของตระกูลนี้กันก่อน
จุดกำเนิดตระกูลเอเคอร์แมน
ตระกูลเอเคอร์แมน เดิมทีเป็นลูกหลานของยูมีร์ ฟริตซ์ หรือเป็นลูกหลานชาวเอลเดียเช่นเดียวกับชาวเอลเดียคนอื่นๆ แต่สิ่งที่ทำให้เอเคอร์แมนแตกต่าง คือจุดกำเนิดที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมัยก่อนอพยพมาอยู่ในกำแพงซะอีก
นั่นก็คือพวกเขาเป็นผลผลิตแห่งการพันธุวิศวกรรมหรือการทดลองดัดแปลง DNA ทางวิทยาศาสตร์ที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างเครื่องจักรสังหารขึ้นมาทำหน้าที่ปกป้องและเป็นมือขวาของกษัตริย์เอลเดีย
หลังจากที่มีกษัตริย์ฟริซ์องค์ที่ 145 พาผู้คนมาอยู่ในกำแพงและทำการล้างความทรงจำ ก็ได้พบว่าตระกูลเอเคอร์แมนที่เข้าใจมาตลอดว่าเป็นข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ เป็นตระกูลเดียวที่ภูมิต้านทานต่อพลังการเปลี่ยนแปลง ควบคุม หรือลบความทรงจำของไททันบรรพบุรุษ
และแน่นอนในเมื่อการมีอยู่ของสมาชิกตระกูลนี้จะน่ากลัวตรงที่ควบคุมไม่ได้ตามสโลแกน “มนุษย์มักกลัวสิ่งที่ตัวเองไม่รู้หรืออยู่เหนือการควบคุม” และยังเป็นภัยต่อเจตนารมณ์ในการล้างความทรงจำเก่าและสร้างความทรงจำปลอมๆ ใหม่เหล่านั้นขึ้นมาเพื่อให้ชาวเอลเดียที่พามาใช้ชีวิตอยู่ในกำแพงไปตลอดอีกด้วย
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ตระกูลเอเคอร์แมนถูกกำจัดและกวาดล้างจนแทบหมดสิ้น ความโหดร้ายนี้จบลงที่หัวหน้าตระกูลในขณะนั้นตัดสินใจมอบตัวและยอมถูกประหารชีวิต แลกกับการที่ให้กษัตริย์หยุดสั่งคนมาตามล่าและปล่อยสมาชิกที่ยังเหลือรอดไป
แต่น่าเศร้าที่หลายรุ่นต่อมา การตามล่ายังคงเกิดขึ้น เอเคอร์แมนบางส่วนที่ยังคงรับรู้เรื่องนี้อยู่ถูกตามสังหาร ในขณะที่บางส่วนหลบหนีไปอยู่ในโลกใต้ดินโดยที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสายเลือดตัวเองด้วยซ้ำ
ความสามารถของตระกูลเอเคอร์แมนและเงื่อนไขในการตื่นขึ้นของพลังการสู้รบ
“เอเคอร์แมนเพียงหนึ่งคน มีค่าเท่ากับทหารนับพัน”
สมาชิกตระกูลเอเคอร์แมนแต่ละครมีลักษณะของการเป็น ‘one man army’ แต่ละคนจะมีสัญชาตญาณการต่อสู้และเอาชีวิตรอดในสมรภูมิรบเหนือมนุษย์ทั่วไปหลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นสายตาที่เฉียบคม การมองเห็น ความว่องไว พละกำลัง ทักษะการต่อสู้ การเรียนรู้ และการหลบหลีก นอกจากนี้ภายใต้สถานการณ์คับขันก็ยังสามารถเลือกทางที่ดูจะเข้าท่าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้อีกด้วย
ดังที่รีไวร์เคยพูดไว้ว่า “เอเคอร์แมนจะรู้เสมอว่าต้องทำอะไร”
เอเคอร์แมนยังถูกนิยามว่าเป็นตระกูลของผู้ที่สามารถใช้พลังการต่อสู้ระดับเดียวกับไททันได้แม้จะอยู่ในร่างมนุษย์ รวมถึงไม่ว่าจะทำอย่างไร พวกเขาจะไม่มีวันแปลงร่างเป็นไททันเหมือนชาวเอลเดียคนทั่วไป
ซึ่งหากจะพูดว่าคนที่มีสายเลือดเอเคอร์แมนเก่งด้านการต่อสู้และการตัดสินใจ ก็ถือว่าถูก แต่ถูกแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
เพราะนอกจากความชำนาญการในการต่อสู้ระดับสูงที่ทำให้พวกเขาเป็นยอดมนุษย์แล้ว ความเก่งกาจนั้นยังมาจากความพิเศษของตระกูลนี้ที่ไม่เหมือนใคร นั่นก็คือเมื่อใดก็ตามที่พลังตื่นขึ้น สายเลือดเอเคอร์แมนจะได้รับประสบการณ์การต่อสู้จากเอเคอร์แมนคนก่อนหน้านี้ ‘ทุกคน’ หลั่งไหลมาจาก ‘สายธาร’ ที่เชื่อมโยงกันภายในตระกูล (เหมือนกับสายธารที่เชื่อมโยงลูกหลานยูมีร์เข้าด้วยกัน)
เคยมีคำกล่าวไว้ว่า “คนฉลาดคือคนที่เผชิญหน้ากับอะไรแล้วเติบโตเรียนรู้จากมัน แต่คนฉลาดกว่าคือคนที่ไม่จำเป็นต้องเผชิญสิ่งนั้นด้วยตัวเอง พวกเขาเรียนรู้มันจากประสบการณ์และเรื่องเล่าของผู้อื่น”
หากอิงจากคำพูดนี้ สามารถพูดได้ว่าตระกูลเอเคอร์แมนมีความโดดเด่นทั้งด้านความคิดและร่างกาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกออกแบบมาให้สมบูรณ์แบบเลยทีเดียว เรียนรู้เร็ว ชำนาญ เก่งกาจ การตัดสินใจที่ถูกต้อง และหนึ่งคนมีค่าเท่ากับคนหลายคน ซึ่งเมื่อลองคิดเล่นๆ ว่า ตระกูลนี้มีอยู่จริงในโลกของเรา ไม่แปลกใจเลยถ้าจะเป็นที่ต้องการของหลายๆ บริษัทในยุคนี้
จากที่พูดไปทั้งหมดอาจดูสุดยอด แต่ถึงกระนั้น ตระกูลเอเคอร์แมนยังมีเงื่อนไขบางอย่างที่ดูจะเป็นข้อจำกัดของพวกเขาอยู่เหมือนกัน
นั่นก็คือสมาชิกแต่ละคนต้องการ ‘โฮสต์ (Host)’ หรือเจ้านายสักคนที่พวกเขาจะฝากฝัง ทำตามคำสั่ง และมอบความจงรักภักดีทำหน้าที่ปกป้องไปตลอดชีวิต และเมื่อใดที่พวกเขาเจอโฮสต์แล้ว จะเกิดสิ่งที่คล้ายกับการ ‘ผูกจิต’ และนั่นจะเป็นการเปิดใช้งานให้พลังที่หลับไหลอยู่ตื่นขึ้นมาในที่สุด
จากทั้งหมดที่ได้พูดถึงไปจะเห็นได้ว่า ตระกูลเอเคอร์แมนดูจะเหมาะกับหน่วยสำรวจที่สุด หน่วยที่มีสัญลักษณ์เป็นปีกนก หน่วยที่ออกค้นหาความจริง และเป็นหน่วยที่ทำให้คนตระกูลนี้ทั้งรีไวร์และมิคาสะได้เค้นประสิทธิภาพของตัวเองออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้สูงสุด
สมาชิกตระกูลที่มีบทบาทสำคัญในเนื้อเรื่องของ Attack on Titan
มิคาสะ เอเคอร์แมน
เรื่องราวของ มิคาสะ เอเคอร์แมน ใช้อธิบายเรื่องโฮสต์และการตื่นขึ้นของพลังได้เป็นอย่างดี มิคาสะเป็นเด็กหญิงธรรมดาๆ จนกระทั่งอายุ 9 ขวบได้พบกับเหตุการณ์ที่จะเปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล นั่นก็คือเมื่อโจร 3 คนบุกเข้ามาเพื่อลักพาตัวเธอกับแม่ นำไปสู่การเสียชีวิตของพ่อแม่เธอ
หลังจากนั้น มิคาสะได้พบกับเอเรน เยเกอร์ พระเอกของเรา และตอนนั้นเองที่เขาสั่งให้เธอสู้พลังแห่งเอเคอร์แมนก็ได้ตื่นขึ้น ฉากนี้หากดูอนิเมะจะเห็นได้ชัดมากว่าไม่ใช่ฉากฮึดสู้ธรรมดา แต่มีกระแสไฟฟ้าสปาร์คอยู่รอบตัวเธอด้วย
และอย่างที่เห็นมาตลอดเรื่อง มิคาสะ เป็นตัวละครที่จงรักภักดีต่อเอเรนอย่างยิ่ง เธอคอยปกป้องเอเรน อยู่ข้างๆ และเข้าข้างเขาเสมอ
ในตอนล่าสุดของอนิเมะ (ตอนที่ 73) ที่เอเรนพูดถึงสาเหตุที่เธอเป็นแบบนี้ มันทำให้ทั้งเธอและคนดูสับสนพอประมาณเลยทีเดียว ว่าสาเหตุที่เธอ ‘อะไรๆ ก็เอเรน’ นั้น แท้จริงมาจากความรู้สึกของเธอหรือเพราะเอเรนเป็นโฮสต์ของเธอกันแน่?
เคนนี่ เอเคอร์แมน
‘เคนนี่จอมเชือด’ ลุงแท้ๆ ของรีไวร์ ฉายานี้ได้มาจากการฆ่าปาดคอเหยื่อทุกรายของเขา เคนนี่เป็นเอเคอร์แมนที่ยังหลงเหลืออยู่พร้อมกับความทรงจำและการเจ็บแค้นที่ตระกูลของเขาถูกตามกวาดล้าง เขาจึงได้ออกตามล่าและสังหารหน่วยสารวัตรทหารเป็นร้อยนายด้วยการปาดคอ
เคนนี่ทำอย่างนั้นเรื่อยมา จนกระทั่งเขาได้เผชิญหน้ากับ อูริ รีสต์ ผู้ถือครองพลังแห่งไททันบรรพบุรุษขณะนั้น เคนนี่หมายจะฆ่าอูริ ในขณะที่อูริแสดงความอ่อนโยนและรู้สึกผิดต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับตระกูลของเขาให้เขาได้เห็นด้วยการโค้งคำนับ
นั่นเป็นจุดสิ้นสุดของการหยุดตามล่าเอเคอร์แมน และยังทำให้เคนนี่ตัดสินใจถวายความจงรักภักดีให้กับอูริทั้งในฐานะองครักษ์และเพื่อนที่ซื่อสัตย์อีกด้วย ทำให้ภายหลังเคนนี่ได้ทำสิ่งที่ย้อนแย้งกับสิ่งที่ตัวเองทำแต่แรก ด้วยการเป็นผู้นำหน่วยสารวัตรทหารซะเอง
นั่นก็เพื่อเก็บรักษาความลับและละครตบตาครั้งใหญ่นี้ให้ยังคงอยู่ตามเจตนารมณ์ของกษัตริย์ฟริทซ์และเพื่อนของเขาอย่างอูริ ซึ่งนั่นบ่งบอกว่า อูริคือโฮสต์ของเคนนี่นับตั้งแต่การเจอกันครั้งนั้นเป็นต้นมา
รีไวร์ เอเคอร์แมน
หัวหน้าหน่วยสำรวจ ตัวละครขวัญใจชาว Attack on Titan ที่ถูกขนานนามว่าเป็น ‘ทหารที่แข็งแกร่งที่สุดของมนุษยชาติ’ คงไม่จำเป็นต้องอธิบายถึงลักษณะนิสัยและความแข็งแกร่งของตัวละครนี้ แต่จะขอพูดถึงประวัติที่มาของรีไวร์แทน
รีไวร์ เอเคอร์แมน เป็นลูกของโสเภณีที่ขายบริการอยู่ที่นครใต้ดิน สิ่งที่แสดงถึงความเป็นรีไวร์ได้ดีคือสิ่งที่เขาพูดเมื่อลุงของเขาอย่างเคนนี่มาเจอแล้วถามว่าเขาชื่ออะไร รีไวร์พูดว่า “แค่รีไวร์” คำพูดสั้นๆ นี้สื่อได้ดีว่า แม้เขาจะไม่รู้ว่าใครคือพ่อและนามสกุลของเขาสำคัญยังไง (ซึ่งอาจจะรู้หรือไม่ก็ได้) มันสำคัญที่เขาเป็นรีไวร์ ที่ต่อจากนั้นเผชิญโลกด้วยตัวคนเดียว และแข็งแกร่งจนสามารถอยู่ตัวคนเดียวได้
เคนนี่ทิ้งรีไวร์ตั้งแต่เขายังเด็ก ทำให้รีไวร์เรียนรู้สิ่งเดียวมาตลอดและมันเป็นสิ่งที่เขาทำเสมอ นั่นก็คือ ‘การต่อสู้เพื่อมีชีวิตรอด’
การเป็นหัวหน้าหน่วยสำรวจทำให้รีไวร์ได้ทำในสิ่งที่เขาถนัด และมันยิ่งหล่อหลอมให้เขาแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก ระหว่างทางรีไวร์เจอมิตรสหายมากมาย และในขณะเดียวกันก็สูญเสียเพื่อนพ้องเกินกว่าที่จะนับได้เช่นกัน นั่นทำให้รีไวร์ดูเป็นคนไร้ความรู้สึก และดูไม่เอาใครเพราะเขาไม่ต้องการที่จะ ‘ผูกพัน’ และ ‘สูญเสีย’ อีกแต่ลึกๆ แล้วเขาไม่ใช่คนความรู้สึกด้านชา
เขาเป็นเพียงแค่ชายกร้านโลกและรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำเท่านั้น มากกว่าที่จะใช้อารมณ์ส่วนตัวเข้ามาเจือปน
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับรีไวร์คือคำถามที่หลายๆคนน่าจะสงสัยไม่น้อยว่า “ใครคือโฮสต์ของเขา?” คำถามนี้ถูกตอบโดย อ.ฮาจิเมะ อิซายามะ (Hajime Isayama) โฮสต์ของรีไวร์นั่นก็คือ ‘เออร์วิน สมิธ’ นั่นเองครับ
รีไวร์เคยเป็นคนหัวขบถมาก่อนเพราะมีความเป็นตัวเองสูง เจออะไรด้วยตัวคนเดียวมาตลอด ตัดสินใจคนเดียวมาตลอด จนกระทั่งมาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบทสรุปของ Attack on Titan: No Regrets ที่เป็น side story ของรีไวร์ นั่นทำให้เขายอมรับในตัวของเออร์วินจากก้นบึ้งของหัวใจ เชื่อมั่น เชื่อใจ และตัดสินใจจะติดตามชายคนนี้นับแต่นั้นเป็นต้นมา และต่อให้เออร์วินไม่อยู่แล้ว เจตนารมณ์ที่จะปกป้องมนุษยชาติที่เออร์วินฝากฝังรีไวร์ไว้ก็ยังคงอยู่
นั่นทำให้เขาดูเหมือนจะยึด ‘ความตั้งใจในการปกป้องมนุษยชาติ’ นี้เป็นโฮสต์คนใหม่
สิ่งสุดท้ายที่น่าพูดถึงเกี่ยวกับรีไวร์คือลักษณะนิสัยของเขาเกี่ยวกับลำดับขั้น ที่สะท้อนถึงการเป็นเอเคอร์แมนได้ดีพอๆ กับเรื่องของมิคาสะ ที่ตัวเขาต้องการเป็น ‘อาวุธ’ มากกว่า ‘ผู้ใช้อาวุธ’ รีไวร์ไม่เคยต้องการเป็นผู้บังคับบัญชา หรือไม่เคยคิดว่าตัวเองเหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำ ที่จะตัดสินใจอะไรใหญ่ๆ สำคัญๆ ได้ขนาดนั้น และในขณะเดียวกัน เขาเองที่เป็นคนอยู่ตำแหน่งสูง ก็มักจะถามหรือทิ้งการตัดสินใจไว้ให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นกัน
แล้วเจตจำนงเสรีของตระกูลนี้มีจริงหรือไม่ หรือพวกเขาเกิดมาแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น?
ความสามารถอันเก่งฉกาจของเอเคอร์แมนกับเงื่อนไขและการต้องมีโฮสต์ฟังดูเหมือนคนตระกูลนี้เป็น Imposter Syndrome หรือโรคคิดว่าตัวเองไม่เก่งพอสมควร จึงน่าพูดถึงมากๆ ว่า จริงๆ แล้วเอเคอร์แมนแค่เกิดมาเป็นข้ารับใช้ แค่นั้นเองหรอ?
“ทุกคนต่างก็เป็นทาสของอะไรบางอย่างทั้งนั้น
แล้วนายล่ะ เป็นทาสของใคร/อะไร?”
ประโยคสำคัญที่เคนนี่พูดไว้กับรีไวร์ทำให้เกิดการตั้งคำถามแทนตัวละคร (รวมถึงตั้งคำถามกับตัวเราเองด้วย)
และซีรีส์ Westworld ของช่อง HBO ที่เล่าถึงหุ่นยนต์แอนดรอยด์ที่มีตัวตน ลักษณะเฉพาะ และมีชีวิตจิตใจไม่ต่างจากมนุษย์ ดูจะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนและใกล้เคียงที่สุดเมื่อต้องอธิบายถึงเรื่องนี้
การที่หุ่นยนต์แต่ละตัวมีความรู้สึกนึกคิดขึ้นมาได้ แต่ละตัวจะถูกมอบรูปลักษณ์ เนื้อหนังมังสา และสตอรี่ลูป เพื่อให้ทำหน้าที่ซ้ำๆ และกลับมายังที่เดิมอีกครั้ง รวมถึง ‘cornerstone’ หรือ ‘หลักยึด’ เป็นอะไรบางอย่างที่ทำให้หุ่นเตือนตัวเองอยู่ในใจเสมอว่า ตนเกิดมาเพื่ออะไรและมีหน้าที่อะไร ซึ่งแต่ละตัวก็จะมีสิ่งนี้เพียงแต่จะแตกต่างกันออกไป และกับเอเคอร์แมนก็เช่นกัน พวกเขามี cornerstone ที่เหมือนกันคือ ‘การปกป้องและทำตามคำสั่ง’
สิ่งนี้อยู่ใน DNA พวกเขา เหมือนๆ กับที่หุ่นยนต์ในซีรีส์ Westworld มีโค้ดระบุว่า ‘สุดท้ายยังไงต้องเชื่อฟังคำสั่งมนุษย์วันยังค่ำนะ’
แต่หุ่นยนต์ในซีรีส์เรื่องนี้ ในท้ายที่สุดก็แสดงให้เห็นว่าเจตจำนงเสรีนั้นมีอยู่จริง พวกตัดสินใจเองได้ เดินทางไปสู่การมีจิตใต้สำนึกเป็นของตัวเองได้ และเอเคอร์แมนก็เช่นกัน
ในเคสของมิคาสะอาจเป็นการเปิดใช้ความสามารถ แต่กับเคนนี่และรีไวร์ที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนตลอดเวลา ดูเหมือนแรงปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อหรือความไม่อยากตาย บีบให้พวกเขาต้องขุดเอาสัญชาติญาณนี้ออกมาด้วยตัวเอง
หรือกล่าวคือ พวกเขามีทักษะการต่อสู้และพลังเอเคอร์แมนตั้งแต่ก่อนมีโฮสต์อย่างอูริและเออร์วินซะอีก นั่นหมายความว่าสิ่งที่เอเรนพูดกับมิคาสะอาจไม่เป็นความจริง 100% และแท้จริงแล้ว เอเคอร์แมนมีอิสระทางความคิดมาโดยตลอด
เราจะเห็นได้ว่าเคนนี่เองก็เป็นผู้นำหน่วยสารวัตรทหารและมอบคำสั่งได้ ในขณะที่รีไวร์เองก็เคยฆ่าไททันด้วยตัวคนเดียว และทำอะไรๆ จากการตัดสินใจด้วยตัวเองเช่นกัน
พิจารณาจากหลักฐานทั้งหมด พอจะบ่งบอกได้แล้วว่าเอเคอร์แมนมีความคิดความอ่านเป็นของตัวเอง และไม่เคยเป็นทาสมาตั้งแต่แรก
พวกเขาอาจถูกดัดแปลงให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่จงรักภักดีและมีตัวตนอยู่ เพื่อปกป้องใครบางคนเท่านั้น แต่พวกเขาเลือกได้ว่า ใครเป็นคนคนนั้นที่พวกเขาจะให้การยอมรับ ยิ่งไปกว่านั้น คนสายเลือดตระกูลนี้คือผู้ที่มีอิสระที่แท้จริงกว่าชาวเอลเดียทั่วไปซะด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นการมีภูมิต้านทานจากพลังไททันบรรพบุรุษหรือการที่ไม่มีวันเป็นไททันได้ตาม มันบ่งบอกว่าเอเคอร์แมนไม่ใช่สายเลือดที่จะถูกใครควบคุมได้เลย และการปราศจากโซ่ตรวจ นั่นก็คืออิสรภาพ
ฉะนั้น ‘อาการปวดหัว’ ของมิคาสะ ที่เอเรนเพิ่งจะบอกว่าเกิดจากการที่ ‘ตัวตนที่แท้จริง’ ภายในกำลังต่อต้าน ดูจะเป็นเพียงคำโกหกของเอเรนเพื่อตัดขาดจากมิคาสะและเขาจะได้ทำอะไรๆ ทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวอย่างสะดวกใจซะมากกว่า เพราะผ้าพันคอและการที่เอเรนปกป้องเธอในช่วงคับขันที่ทำให้ทั้งคู่ได้เจอได้รู้จักกันครั้งแรก นั่นทำให้เกิดสายสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเอเรนอย่างลึกซึ้งราวกับ first love first impression โดยที่เธอไม่เคยรู้ตัว
และมันทำให้เอเรนเป็นมากกว่าคนที่เธอรัก แต่เป็นคนที่เธอรู้สึกผูกพันธ์ เชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งมาตั้งแต่เริ่มต้น ส่วนอาการปวดหัว น่าจะเกิดจากสาเหตุอื่นเสียมากกว่า สาเหตุที่คิดว่าเราจะได้รับคำตอบก่อน Attack on Titan จะจบลงอย่างสมบูรณ์ในช่วงเวลาอันใกล้นี้