(บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของการ์ตูนเรื่อง Attack on Titan)
“และวันนั้น มนุษย์ก็ได้รู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของชีวิตที่ถูกปกครองโดยพวกมัน
และความอับอาย ที่ต้องถูกขังอยู่ในกรงนก”
Attack on Titan ถูกอารัมภบทสู่สายตาชาวโลกด้วยประโยคดังกล่าว ประโยคสุดทรงพลังที่ทำให้ผู้อ่านและผู้ชม รู้สึกถึงความหวาดกลัวของมนุษย์ที่มีต่อสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘ไททัน’ และเข้าใจความรู้สึกของการใช้ชีวิตที่ต้องถอยร่นจนถูกจำกัดอาณาเขตอยู่แค่ภายในเขตกำแพง 3 ชั้น ได้แก่ ‘วอลล์มาเรีย’ ชั้นนอกสุด ‘วอลล์โรส’ ชั้นกลาง และ ‘วอลล์ชีน่า’ ชั้นในสุด ที่ในทีแรกเข้าใจกันว่ามันคือฐานที่มั่นสุดท้ายของมนุษยชาติ ได้อย่างเต็มเปี่ยม
คอนเซ็ปต์ที่ให้มนุษย์ใส่อุปกรณ์เคลื่อนที่สามมิติกับใช้ใบมีดคัตเตอร์ต่อสู้และฟันต้นคอไททัน เป็นอะไรที่ค่อนข้างสดใหม่และน่าดึงดูดใจ จึงไม่แปลกใจนักที่ทำไม Attack on Titan ถึงได้มีแฟนๆ อยู่ทั่วทุกมุมโลก
แต่ในความแปลกใหม่และความบันเทิงที่ได้จากการอ่านการดูเรื่องนี้ ยังแฝงไปด้วยสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่า และเป็นเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้มันได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘การ์ตูนที่ไม่ใช่แค่การ์ตูน’ นั่นคือการพูดถึงการเมือง อำนาจ ชนชั้นได้อย่างเฉียบคม และเข้าถึงได้ทุกช่วงวัย
และในช่วงเวลาสงบก่อนพายุลูกใหญ่กำลังจะมานี้ เป็นเวลาเหมาะที่เราจะลองมองกลับไปว่า ที่ผ่านมา อะไรทำให้ Attack on Titan เป็นสื่อสะท้อนการเมืองที่ยอดเยี่ยม และการ์ตูนเรื่องนี้พูดถึงการเมืองในเชิงไหน แง่มุมไหน และพูดถึงผ่านสัญลักษณ์อะไรบ้าง
กำแพงและชนชั้น
วอลล์มาเรีย โรส และชีน่า ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันไททันจากการรุกราน แน่นอนว่าเมื่อเราพูดถึง ‘ภัยร้าย’ กับ ‘ประชาชนและฐานที่มั่น’ สิ่งที่ต้องมีคู่กัน คือ ‘อภิสิทธิ์’ กับ ‘การแบ่งแยกชนชั้นและความสำคัญอย่างชัดเจน’ เสมอ อย่างที่เราได้เห็นคือ ชาวบ้านอยู่ด้านหน้า คนมีฐานะอยู่โซนกลาง และนักการเมือง คนมีฐานะ ชนชั้นสูง รวมถึง กษัตริย์ ใช้ชีวิตอย่างหรูหราในกำแพงชั้นในสุด
การแยกชั้นกำแพงกับการจัดโซนอยู่อาศัยนี้ เป็นกลไกทางธรรมชาติที่พอเข้าใจได้ แต่ก็น่าตั้งคำถามไม่น้อยว่า อะไรคือตัวตัดสินคุณค่าชีวิตของมนุษย์ว่าใครมีมากกว่าใคร? อะไรคือสิ่งที่ใช้ตัดสินว่าหากไททันทำการจู่โจม คนที่อยู่ชั้นนอกสุดจะต้องเผชิญกับโศกนาฎกรรม ความสูญเสีย ในขณะที่คนชั้นในกินอาหารสุดหรูอย่างหนำสำราญ หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ไม่สะทกสะท้าน ไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ?
Attack on Titan ทำให้เราตั้งคำถามเหล่านี้ ตั้งแต่ฉากแรกๆ ที่มีการอพยพสุดโกลาหลหลังการบุกจู่โจมครั้งใหญ่ของไททันเกราะและไททันมหึมา ก่อนที่จะพาเราไปเห็นการใช้ชีวิตของผู้คนและสภาพอาคารบ้านเรือนที่แตกต่างราวกับหน้ามือหลังมือภายในวอลล์โรสและวอลล์ชีน่า พร้อมๆ กับสามสหาย เอเรน มิคาสะ และอาร์มิน
แต่สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้เรื่องชนชั้น คือกำแพงทั้ง 3 ชั้นนั้น ป้องกันอะไรกันแน่?
ภายหลังจากที่มีการเฉลย ทำให้ได้ทราบว่าแท้จริงแล้วเรื่องราวทั้งหมดกับกำแพงเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ทุกคนคือไททันไม่ต่างอะไรจากพวกข้างนอก และกำแพงนี้ไม่ใช่สิ่งป้องกันไททันที่อยู่ด้านนอกไม่ให้เข้ามา แต่เป็นการสร้างสตอรี่ของ ‘กษัตริย์คาร์ล ฟริตซ์’ เพื่อป้องกันไม่ให้คนในกำแพงออกไปสู่โลกภายนอกและป้องกันไม่ให้รู้ความจริงอันโหดร้ายที่ว่า พวกเขาถูกคนทั้งโลกเกลียดชัง และศัตรูที่แท้จริงของพวกเขาคือ ‘มนุษย์’ ที่อยู่นอกอาณาเขตเกาะต่างหาก
จึงไม่ผิดนักหากจะพูดว่า ชาวมาร์เลย์ถูกล้างสมองอย่างไร ชาวเอลเดียแห่งเกาะสวรรค์ก็ถูกล้างสมองไม่ต่างกัน ผู้คนภายใต้ทั้งสองกำแพง ต่างก็เป็นเหยื่อของการบิดเบือนที่ทั้งลิดรอนและหักเหเจตจำนงแห่งการใช้ชีวิตทั้งสิ้น
กำแพงสามชั้น หากเรามองทะลุรูปร่างในเชิงกายภาพเข้าไปถึงแก่น จะมองเห็นการแบ่งแยกชนชั้นของมนุษย์อย่างชัดเจน และมองเห็นตัวกำแพงเป็นสิ่งขวางกั้น คอยตีกรอบการรับรู้ความเป็นจริงกับความเข้าใจที่คนคนหนึ่งมีต่อโลกใบนี้
เพราะสุดท้ายไม่ว่าจะอยู่ในกำแพงชั้นไหน ชั้นนอก ชั้นกลาง ชั้นใน ต่างก็เป็นเหยื่อผู้ถูกหลอกจากการเปลี่ยนแปลงความทรงจำและการแสดงละครครั้งใหญ่ทั้งสิ้น แม้ว่าการตัดสินใจนี้ของราชาฟริทซ์จะเป็นความปรารถนาที่จะช่วยชาวเอลเดียจากความเกลียดชังที่ไม่เคยหายไปก็ตาม
และการล้างสมองนี้ ยิ่งได้ผลดีด้วยตัวของมันเอง เมื่อมี ‘ไททัน’ นอกกำแพง
ไททันด้านนอกกำแพงเป็นตัวแปรสำคัญในการยึดเหนี่ยวจิตใจผู้คน ให้เข้าใจและรู้สึกว่า ศัตรูหนึ่งเดียวของมนุษยชาติคือสิ่งที่อยู่ด้านนอก (แม้ว่าไททันเหล่านี้จะเกิดจากการที่ชาวมาเลย์นำชาวเอลเดียมาฉีดให้กลายเป็นไททันก็ตาม) ฉะนั้น ในสภาวะความสิ้นหวังและความเสี่ยงตลอดเวลา
มนุษย์จึงตระหนักว่าศัตรูที่แท้จริงคือใคร และรักใคร่กลมเกลียวกัน จนสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้เป็นสิบๆ ปี เช่นเดียวกับในหนัง Watchmen (ค.ศ.2009) ที่ Ozymandias จัดฉากให้ Dr. Manhattan เป็นผู้ร้าย กลายเป็นว่าโซเวียตและอเมริกาจับมือกันได้ตามที่เขาคาดไว้
แต่นั่นก็เป็นอะไรที่น่าตั้งคำถามทางศีลธรรมเช่นกันว่า การหลอกลวงนี้แม้จะได้ผล แต่มันคือวิธีที่ถูกต้องหรือไม่? และนี่คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนหมู่มากแล้วจริงหรือ?
ความอยากรู้อยากเห็น และอิสรภาพทางความคิด
ดังเช่นสำนวนสุภาษิตภาษาอังกฤษที่ว่า “curiosity killed cats (ความสงสัยเป็นสิ่งที่ฆ่าแมว)” ธรรมชาติของมนุษย์นั้นก็เช่นเดียวกัน ส่วนหนึ่งที่อยู่ในสัญชาติญาณของมนุษย์คือ ‘ความสงสัยใคร่รู้’ และมนุษย์ ‘มักกลัวสิ่งที่ตนเองไม่รู้’ มันจึงนำไปสู่ความต้องการหาคำตอบและการทำความเข้าใจ
เหมือนที่เราสงสัยว่าทำยังไงเราถึงจะเดินทางได้เร็วและบินบนท้องฟ้าได้ ความสงสัยนี้เกิดคำตอบเป็นเครื่องบิน หรือทำอย่างไรให้เราสามารถใช้ชีวิตได้สะดวกขึ้น สื่อสารกันได้ ขยายเผ่าพันธุ์และใช้ชีวิตอย่างลงหลักปักฐานมากขึ้น จนถึงทำอย่างไรให้เพิ่มกำลังการผลิตให้รวดเร็วขึ้นและมีจำนวนมากยิ่งขึ้น และนอกโลกมีอะไร?
ความสงสัยเหล่านี้ก่อให้เกิดการปฏิวัติการรับรู้ การประดิษฐ์ตัวอักษรและทำการจดบันทึก การปฏิวัติเกษตรกรรม ไปจนถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์ และการผลิตยานอวกาศ
เป็นเหตุให้หน่วยทหารของชาวกำแพงแบ่งเป็นสามหน่วย สามเหล่าด้วยกัน
หน่วยองครักษ์ : ปกป้อง ดูแล บำรุง & เสริมแกร่งกำแพง รักษาความปลอดภัยของกำแพงชั้นนอก
หน่วยสารวัตรทหาร : หน่วยที่เข้าไปรับใช้ในกำแพงชั้นใน เพื่อปกป้องกษัตริย์และชนชั้นปกครอง
กับหน่วยที่เกิดมาจากความสงสัยใครรู้ดังกล่าว นั่นก็คือ ‘หน่วยสำรวจ’ : ที่มีหน้าที่ออกสำรวจโลกภายนอก สู้กับไททัน หาคำตอบเกี่ยวิธีเอาชนะไททัน เป็นหน่วยที่เสี่ยงชีวิตที่สุด
หน่วยสำรวจเป็นหน่วยที่อาจดูไร้ประโยชน์ เพราะจากตอนที่มีการก่อตั้งหน่วยและประดิษฐ์เครื่องเคลื่อนที่สามมิติจนถึงช่วงต้นของ Attack on Titan เรามักจะได้ยินคำว่า “มนุษยชาติไม่เคยเอาชนะไททันได้เลย” สาเหตุที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะชาวกำแพงถูกปิดบังบิดเบือนข้อมูลจริง 100% และเมื่อเป็นอย่างนี้ สิ่งที่พวกเขาทำได้จึงมีแค่ทำความเข้าใจภายใต้บริบทที่มีและข้อมูลที่ได้มาเท่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเอง ‘ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย’ จนกระตุ้นให้เกิดความอยากรู้อยากเห็นเพิ่ม
และเมื่อตัวแปรสำคัญจากข้างนอกที่ชื่อ ‘กรีช่า เยเกอร์’ เข้ามา ทุกอย่างก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
การค้นพบ สู่การปฏิวัติ
ทุกสิ่งเปลี่ยนไปอย่างมากหลังจากที่ ‘เอเรน เยเกอร์’ กลายร่างเป็นไททัน เกิดการตั้งคำถามในทางที่ไม่เคยคิดมาก่อน การทดลองใหม่ๆ การเดินทางไปไกลขึ้นที่ทำให้เกิดการค้นพบอะไรที่ไม่คาดคิด (อย่างเช่นไททันพูดได้) จนเมื่อหน่วยสำรวจรู้มากไป ผู้กุมความลับก็พยายามจะปิดบังข้อมูลด้วยวิธีต่างๆ นานา แต่ท้ายที่สุดแล้ว แน่นอนว่ายิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ไม่มีอะไรเกินความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ และมันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางด้านการรับรู้ของชาวเกาะสวรรค์ไปตลอดกาล
ทุกอย่างนำไปสู่ความเป็นจริงที่ว่า
ทุกอย่างทั้งชีวิตและความเข้าใจของทุกคนล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น
ราชาฟริทซ์คือตัวปลอม ตัวจริงคือตระกูลรีสต์ ที่เปลี่ยนนามสกุลจากฟริทซ์และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสงบสุขที่ดำเนินมาอย่างยาวนานของชาวกำแพง
ซึ่งเป็นเรื่องที่ฟังดูโหดร้ายและน่าเวทนา สำหรับตระกูลรีสต์ที่ต้องกินกันเองเพื่อสืบทอดพลังแห่งไททันบรรพบุรุษ และสานต่อสิ่งที่ราชาฟริทซ์ได้เริ่มต้นไว้
เมื่อหน่วยสำรวจเข้าใจกับการค้นพบความจริงเข้าทุกที หน้าที่ที่แท้จริงของหน่วยสารวัตรทหารก็ได้ถูกเปิดเผย ว่าแท้จริงแล้วหน้าที่ที่สำคัญยิ่งกว่าการปกป้องชนชั้นสูงแลกษัตริย์ คือการปกป้องสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าอย่าง ‘ความจริง’ ความจริงที่แท้จริงที่ต้องซ่อนไม่ให้ใครรับรู้ กับความจริงอันจอมปลอมที่จะต้องรักษาให้คงอยู่ไว้เพื่อที่จะรักษาความสงบสุขของผู้คนในกำแพง ที่ไม่ว่าจะแลกมาด้วยอะไร หรือกี่ชีวิตก็ยอม
หน่วยสารวัตรทหารนำโดยเคนนี่จอมเชือด สายเลือดเอเคอร์แมนที่เคยเชือดหน่วยนี้มาก่อนที่ภายหลังกลายมาเป็นผู้นำซะเอง เขาสานต่อเจตนารมณ์ของเพื่อนสนิทอย่าง ‘อูริ รีสต์’ และทำทุกอย่างไม่ให้ความจริงที่ว่าทุกคนถูกล้างสมองมาตลอด ถูกเปิดเผย แต่ด้วยความร่วมมือของหลายๆ ฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายทหารและนายพลที่ตกลงร่วมมือกับ ‘เออร์วิน สมิธ’ การรัฐประหารก็สำเร็จ และเชื้อสายรางวงศ์ที่แท้จริง ‘ฮิสทอเรีย รีสต์’ ก็ได้เป็นราชินีให้กับชาวกำแพง ในยุคหลังความเป็นจริงเปิดเผยแล้ว
สุดท้าย อะไรคือทางเลือกที่ถูกต้อง?
A. ให้พวกเขาใช้ชีวิตจากรุ่นสู่รุ่นโดยรู้ว่า ตัวเองเป็นลูกหลานของปีศาจและต้องใช้ชีวิตอยู่ภายในกำแพงนี้ ไปตลอดกาล ทั้งๆ ที่มีโลกด้านนอกอยู่
B. หวังดี เลยทำการล้างสมอง เปลี่ยนความทรงจำ โดยให้เข้าใจว่าศัตรูที่แท้จริงคือสิ่งอื่นไม่ใช่มนุษย์ด้วยกัน และสร้างระบบว่านี่คือโลกทั้งใบของพวกเขาแล้ว เพื่อให้เกิดสันติสุขอันยาวนาน ความสามัคคี กับทำลายความสงสัยใคร่รู้
เป็นเรื่องยากที่จะตอบว่า สิ่งไหนดีกับชาวเอลเดียในกำแพงจริงๆ การหนีปัญหาและแก้ที่ปลายเหตุแบบนี้ หรือการพยายามแก้ต่างให้กับบาปที่คนรุ่นหลังไม่ได้ก่อที่ไม่เคยได้ผล บางทีอาจจะไม่มีตัวเลือกที่ถูกต้องแต่แรกเลยก็เป็นได้ ทุกสิ่งมาถึงจุดนี้อาจเพราะกระแสสงครามนำพามา แต่สิ่งนึงที่สามารถพูดได้ คือการฝืนเจตจำนงที่มนุษย์ทุกคนมีตั้งแต่ถือกำเนิด มักเป็นสิ่งที่ไม่เคยยั่งยืนถาวรอย่างแท้จริง
โลกในกำแพงในอุดมคติของราชาฟริทซ์ดูเหมือนจะไม่เคยมีจริงแต่แรก เพราะมนุษย์จะไม่ใช่มนุษย์ถ้าไม่มีเจตจำนง หรืออิสระในการได้ทำอะไรตามความรู้สึกนึกคิด (ภายใต้หลักสิทธิเสรีภาพ) ไม่เช่นนั้น พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรไปจากหุ่นยนตร์ที่ถูกโปรแกรมให้ฝันมาตลอด ในท้ายที่สุดคำว่า “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย” ดูจะเป็นความจริงที่ไม่ตายที่สุด ขึ้นชื่อว่าความเป็นจริง สิ่งนี้ไม่เคยหายไปไหน มันคงอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่รอวันให้ค้นพบเปิดเผยเท่านั้น
หากมองในภาพรวม Attack on Titan จึงไม่ใช่การต่อสู้เพื่อความอยู่รอดเพียงเท่านั้น แต่เป็นการต่อสู้เพื่ออิสรภาพทางความคิดและการได้เลือกได้ตัดสินใจสิ่งต่างๆด้วยตัวเอง แม้มันอาจนำไปสู่ความโกลาหล หรือเส้นทางอาจขรุขระบ้าง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนคนเดียวอย่างราชาฟริทซ์ผู้ริเริ่มความคิดกำแพง 3 ชั้นนี้จะตัดสินใจแทนชาวเอลเดีย เพราะหากไร้ซึ่งการทดลองและการให้โอกาส เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด
หน่วยสำรวจไม่ใช่แค่หน่วยเท่ๆ ที่แค่สู้กับไททันอย่างพลิ้วไหวและชำนาญการ แต่เป็นตัวแทนของผู้คนที่เชื่อในอิสรภาพที่แท้จริงมากกว่าความสุขสงบปลอมๆที่ถูกหยิบยื่นให้อยู่ในกรอบ ที่บ่งบอกถึงการดิ้นรนเพื่อการได้ใช้ชีวิต ได้มีเสรีทางความคิด พยายามหาคำตอบกับหนทางของมนุษย์ที่ไม่เคยสิ้นสุด ไม่เคยมีขีดจำกัด และพยายามอย่างไม่ย่อท้อจนกว่าจะคว้าสิ่งนั้นมาได้ จนนำไปสู่การปฏิวัติทางความรับรู้ของชาวเกาะสวรรค์ในที่สุด ที่แม้คำตอบที่ได้จะโหดร้าย แต่นั่นคือความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้