1.
“เสียงไซเรนปลุกพวกเรา ฉันไปโรงเรียนสาย พอลงบันไดมา แม่ก็บอกให้รีบแต่งตัว มีคนแหกคุกเดอะร็อคได้”
ที่อ่าวซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา จะมีเกาะแห่งหนึ่งตั้งตระหง่าน พื้นที่บนเกาะเต็มไปด้วยหิน ไม่มีชายหาด แต่สามารถสร้างท่าเรือเล็กได้สัก 2-3 จุด รวมแล้วๆ เกาะนี้มีเนื้อที่ทั้งหมดเพียง 55.6 ไร่เท่านั้น พวกเขาตั้งชื่ออย่างเป็นทางการให้เกาะนี้ว่า อัลคาทราซ (Alcatraz) แต่ด้วยความที่เกาะมีแต่หิน จึงมีชื่อเล่นให้มันว่า เดอะร็อค (The Rock)
อัลคาทราซตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว กลางทะเล ในปี 1934 มันจึงถูกสร้างเป็นคุกขังนักโทษ โดยทางการเล็งเห็นว่า ต่อให้ใครแหกห้องขังไปได้ ก็ออกจากเกาะไม่ได้ เพราะท่าเรือก็มีไม่เยอะ แถมเรือก็ไม่ได้ประจำอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นหากจะสัมผัสอิสรภาพ ก็ต้องว่ายลงทะเล ฝ่ากระแสน้ำ เสี่ยงต่อการโดนฉลามเขมือบ ทำให้เกาะแห่งนี้ดูเป็นสถานที่เหมาะกับการกักขังอาชญากรตัวแสบอย่างมาก
เรือนจำอัลคาทราซ จึงเป็นคุกที่รวมดาวมิจฉาชีพ อัล คาโปน (Al Capone) เจ้าพ่อมาเฟียสุดโด่งดังก็ถูกขังที่นี่ รวมถึงยอดขุนโจรแห่งอเมริกา ต่างจบลงที่เดอะร็อคกันหมด แม้จะอยู่เป็นเกาะกลางทะเล แต่ก็มีนักโทษอยากลองของ แหกคุก ซึ่งจากสถิติก็มีนักโทษพยายามแหกคุกทั้งหมด 14 ครั้ง ตลอด 29 ปี ระหว่างปี 1934-1963 ที่เปิดเป็นคุก ก่อนจะปิดไปเพื่อลดภาระงบประมาณ มีนักโทษ 23 รายถูกจับ อาชญากรจำนวน 6 รายถูกยิงตายขณะหนี จมน้ำตาย 2 ราย และมีนักโทษถูกจับได้ถูกส่งไปประหารชีวิตที่เรือนจำซานแควนติน 2 คนด้วยกัน
อย่างไรก็ดีในประวัติศาสตร์อัลคาทราซ มีนักโทษ 3 รายที่แหกคุกและหนีรอดจากทางการไปได้สำเร็จ แถมที่สำคัญ ยังไม่เคยมีใครพบหน้านักโทษทั้ง 3 คนนี้เลยอย่างเป็นทางการ จึงไม่มีใครรู้ว่าทั้งหมดรอดหรือเสียชีวิต เหลือทิ้งไว้เพียงเรื่องเล่าขานถึงปัจจุบัน
2.
วันที่ 12 มิถุนายน ปี 1962 เช้าตรู่ ผู้คุมสั่งให้นักโทษทั้งหมดออกรายงานตัวที่หน้าห้องขังตามปกติ แต่วันนั้นมีบางอย่างผิดแปลกไป เมื่อห้องขังของนักโทษ 3 ราย ไม่มีใครรายงานตัว เมื่อผู้คุมไปตรวจ พวกเขาก็ไม่พบใครในนั้น เมื่อดูอย่างละเอียดที่เตียง พวกเขากลับพบรูปปั้นหล่อเป็นหน้าคนที่มีเส้นผมแปะติดไว้ ถูกวางนอนบนเตียง
เมื่อค้นทั้งห้อง ก็พบตะแกรงเครื่องทำความร้อนถูกถอดออก เจ้าหน้าที่ส่งสัญญาณแจ้งทุกคนบนเกาะ
มีนักโทษ 3 คนแหกคุกอัลคาทราซไปได้
3.
แฟรงก์ ลี มอร์ริส (Frank Lee Morris) อายุ 36 ปี เป็นเด็กกำพร้า ถูกพ่อแม่ทิ้งตั้งแต่เด็ก เมื่ออายุ 13 ปี ก็เริ่มเป็นหัวขโมย ถูกส่งเข้าสถานดัดสันดาน ทำให้เขาได้เรียนรู้วิชาโจรหลากหลาย จนชำนาญในการปล้น โดยแฟรงก์นั้น มีไอคิวสูงถึง 133 สูงกว่าคนส่วนมากในอเมริกายุคนั้นด้วย
อย่างไรก็ดีหนุ่มคนนี้กลับใช้ความฉลาดในทางนอกกฎหมาย จนต้องโทษ 10 ปีในข้อหาปล้นธนาคาร และก่อเหตุแหกคุก ก่อนจะโดนรวบตัวอีกครั้ง ฐานย่องเบา ศาลตัดสินริบอิสรภาพไป 14 ปี และถูกส่งตัวมาเรือนจำอัลคาทราซในปี 1960
ก่อนที่แฟรงก์จะถูกส่งมาเดอะร็อค เขาตระเวนติดคุกหลายแห่ง และที่เรือนจำในรัฐแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย แฟรงก์ก็มีโอกาสได้รู้จักกับพี่น้องจอห์นและคลาเรนซ์ แองกลิน (John and Clarence Anglin)พี่น้องคู่นี้ถือเป็นตัวแสบ พื้นฐานครอบครัวเป็นแรงงานเกษตรกร ต้องเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อทำงาน ปลูกผักผลไม้
ด้วยความที่ครอบครัวมีฐานะยากจน พวกเขาจึงกระเสือกกระสนตั้งแต่เด็ก ก่อนจะเริ่มลักขโมยของ ก่อเหตุปล้นปั๊มน้ำมัน ตั้งแต่อายุ 14 ปี ก่อนจะขยับมีผลงานโด่งดังจากการปล้นธนาคารอย่างลือลั่น จนต้องโทษติดคุก 35 ปี และเพราะมีประวัติพยายามแหกห้องขัง จึงถูกส่งตัวมาที่อัลคาทราซ ในปี 1960
เมื่อโจร 3 คนมาเจอกันอีกครั้ง แผนการแหกคุกก็เริ่มต้นขึ้น จากข้อมูลว่ากันว่าทั้งหมดเริ่มหาทางหนี ในช่วงสิ้นปี 1961 นอกจากนักโทษ 3 คนนี้แล้ว คาดว่าน่าจะมีผู้ต้องขังรายอื่นๆ ร่วมวางแผน เตรียมการด้วย แต่ที่สำเร็จได้ออกไปสู่โลกภายนอก มีเพียงแฟรงก์และพี่น้องแองกลินเท่านั้น
แม้ต่อมาจะมีนักโทษรายอื่นโม้ว่าพวกเขาเป็นต้นคิดวางแผนแหกคุกนี้ แต่ทั้งหมด ไม่มีใครได้ใช้แผนนี้ นอกจากยอดชาย 3 รายนี้เท่านั้น
แผนนี้เริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จุดแรกคือ จะต้องหาทางออกจากห้องขังไปอย่างไร้ร่องรอยให้ได้ก่อน พวกเขาพบว่าตะแกรงที่เป็นช่องเครื่องทำความร้อนนั้น เหมาะสมจะพาพวกเขาออกไปยังจุดอื่นได้
ดังนั้นนักโทษทั้ง 3 ราย จึงถอดตะแกรง โดยการใช้สว่านที่ประดิษฐ์จากสบู่ พร้อมกับช้อนกินข้าว ค่อยๆ เจาะผ่านผนังในตะแกรงทีละนิดทีละหน่อย
การขุดเจาะนี้ใช้เวลานาน เหล่าขุนโจรต่างพยายามตบตาผุ้คุมด้วยการกระดาษสีมาแปะติดบ้าง ระหว่างขุด อาจมีเสียงดัง ก็ให้แฟรงก์เล่นหีบเพลงช่วงเย็นกลบเกลื่อน
ต้องเข้าใจก่อนว่าห้องขังของเดอะร็อคนี้ เป็นห้องขังเดี่ยว ไม่มีห้องรวม และนักโทษสามารถมีข้าวของใช้ส่วนตัวได้ ซึ่งทางเรือนจำก็มั่นใจว่า แม้จะทำอะไรในห้อง ก็ยากที่นักโทษจะหนีหายไปได้
ทั้ง 3 รายทำงานกันเป็นทีม ผลัดกันขุด ผลัดกันสอดส่องดูผู้คุม ขั้นตอนต่อมาที่ต้องเตรียมการคือ หากหลุดออกจากเรือนจำไปได้ แล้วจะออกจากเกาะอย่างไร หากว่ายน้ำไป ตายแน่ๆ เพราะนอกจากกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก เย็นเฉียบ แถมยังมีฉลามคอยจะจ้องงับอยู่ด้วย
แฟรงก์และสองพี่น้องแองกลินแก้ไขปัญหานี้ โดยการรวบรวมเสื้อโค้ตสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จำนวน 50 ตัวที่มีการบริจาคให้นักโทษไว้ห่มคลายหนาว พร้อมถุงพลาสติก และอุปกรณ์อื่นๆ มากมายที่หาได้ในเรือนจำ มามัดให้แน่น ทำเป็นแพ ส่วนไม้พายก็หาเศษไม้อื่นมาใช้แทน
แม้จะมีห้องส่วนตัว แต่นักโทษก็รู้ดีว่า ผู้คุมจะเดินตรวจทางเดินหน้าห้องตลอดเวลา ดังนั้นหากเผลอมองเข้ามา แล้วไม่เห็นพวกเขาอยู่บนเตียง สัญญาณเตือนจะดังลั่น แผนการณ์ก็คงพังพินาศแน่
นักโทษทั้ง 3 จึงวางแผนป้องกัน โดยการปั้นหัวมนุษย์จากปูนพลาสเตอร์ มีการเอากระดาษมาแปะทำให้เหมือนหัวคนจริงๆ แล้วขอผมจากร้านตัดผม ซึ่งต้องมีนักโทษคนอื่นแอบช่วย เอามาแปะไว้ที่หัว วางบนเตียงแล้วห่มผ้าให้ ดูเผินๆ ก็เหมือนนักโทษนอนหลับปกติ ยามค่ำคืน แพยางประดิษฐ์นี้จะถูกนำออกไป ก่อนจะถูกสูบให้พอง โดยอุปกรณ์ในหีบเพลง ที่สามารถเป่าลมได้
18 เดือนหลังการวางแผนและซักซ้อม ตระเตรียมอุปกรณ์อยู่ยาวนาน คืนวันที่ 11 มิถุนายน 1962 3 นักโทษก็พร้อมแล้ว กับการแหกคุก
4.
กลางดึกคืนนั้น ทั้ง 3 ต่างถอดตะแกรงและลอดตัวผ่านช่องที่เจาะไว้แล้ว ก่อนจะไต่ไปตามปล่องท่อ ขึ้นไปข้างบนสุดของอาคาร ก่อนจะใช้สบู่ที่ดัดแปลงมาให้เป็นไขควง ขันน็อตที่ยึดพัดลมระบายอากาศ โผล่ที่ดาดฟ้าของตึก
จากนั้น 3 ยอดนักโทษก็ลงจากตัวตึก ข้ามลวดหนาม แม้จะมีไฟสาดส่องมา แต่ก็ไม่มีใครผิดสังเกต แฟรงก์และพี่น้องแองกลิน จึงขนแพประดิษฐ์ผ่านออกไปได้อย่างสบายๆ มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะ ซึ่งเป็นจุดที่ไฟและป้อมปืนของผู้คุมมองไม่เห็น
เมื่อไปถึงที่ดังกล่าวได้ ทั้งหมดก็เป่าแพยางที่สร้างสรรค์มา แล้วลงมือพาย ออกจากเดอะร็อค สู่ทะเลอันมืดมิด มุ่งหวังจะขึ้นฝั่งที่อ่าวซานฟรานซิสโสกแล้วหายตัวไป พร้อมกับอิสรภาพที่ตัวเองลงมือไขว่คว้ามาได้ ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาหลัง 4 ทุ่มเพียงเล็กน้อย วันดังกล่าวมีหมอกปกคลุมทะเล ทั้ง 3 รายจึงพายแพเข้าไปในม่านหมอก แล้วหายตัวไปชั่วกาล
เช้าวันต่อมาเมื่อเจ้าหน้าที่ทราบเรื่อง จึงมีการส่งสัญญาณเตือนทั้งเกาะ ส่งข้อมูลไปให้หน่วยงานออกไล่ล่า รูปพรรณของแฟรงก์และพี่น้องแองกลินถูกกระจายไปทั่ว เจ้าหน้าที่ระดมกำลังค้นหาครั้งใหญ่ ชนิดเรียกว่าพลิกแผ่นดินล่ากันเลยทีเดียว
กินเวลาไม่นานพวกเขาก็พบแพประดิษฐ์ของนักโทษที่เกาะมาริน ทางตอนเหนือของซาน ฟรานซิสโก หรือประมาณ 3 กิโลเมตรนิดๆ จากเรือนจำอัลคาทราซ เมื่อสำรวจโดยละเอียดก็พบข้าวของใช้ส่วนตัวของพี่น้องแองกลิน
ณ เวลานั้น เจ้าหน้าที่ฟันธงว่านักโทษทั้ง 3 รายจมน้ำตาย ไม่รอดจากเรือนจำแห่งนี้แน่นอน มีเพียงแพเท่านั้นที่ไปถึงที่หมาย ส่วนคนนั้น ดิ่งลงสู่ก้นทะเลแล้ว และร่างไหลออกสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ตามกระแสน้ำ ทางสำนักงานสอบสวนกลาง หรือ เอฟบีไอ จึงได้ปิดคดีอย่างฉับไว
แต่แล้วในวันคริสต์มาสปีดังกล่าว ทางครอบครัวแอนกลินกลับได้รับส.ค.ส.จากจอห์นและคลาเรนซ์ โดยมีดอกไม้ส่งมาให้แม่ ซึ่งมันจะถูกส่งมาจนถึงปี 1973 เมื่อแม่ของพี่น้องแองกลินเสียชีวิต ดอกไม้จึงหยุดส่ง ร่ำลือกันว่าในพิธีงานศพ มีชายนิรนามสองคน เข้าร่วมงานด้วย รูปร่างหน้าตาคล้ายจอห์นและคลาเรนซ์ แต่พวกเขาดูแต่งหน้าปกปิดตัวตนอย่างมาก
จากนั้นในปี 1989 น้องคนเล็กสุดของครอบครัวแองกลินเผยว่า มีชาย 2 คนมาร่วมงานศพพ่อ รูปร่างหน้าตาคล้ายพี่ที่แหกคุกไป ซึ่งตลอดเวลานั้น มีรายงานว่าพี่น้องแองกลินถูกพบเห็นที่ฟลอริด้า แต่ไม่มีหลักฐานชัดเจนจะสาวไปถึงหรือพิสูจน์ข้อมูลนี้ได้
ในปี 1979 เอฟบีไอได้ส่งข้อมูลให้กับตำรวจศาล ตามขั้นตอน และแล้วในปี 1993 ทางตำรวจศาลได้เปิดคดีขึ้นมาใหม่ หลังมีข้อมูลส่งเข้ามามากมาย ชวนให้สงสัยว่าบางที 3 อาชญการคงไม่ได้จมน้ำตาย ดังที่เอฟบีไอสรุปไว้ และอาจจะยังมีชีวิตอยู่
ข้อมูลสำคัญก็คือ มีรายงานการลักรถ ที่จอดแถวริมชายฝั่งไป ซึ่งขัดกับรายงานในช่วงแรกที่ทางการยืนยันว่าไม่มีใครลักรถ รวมถึงหลักฐานอีกมากมายที่ไหลบ่าสู่ตำรวจศาล
พวกเขาจึงเชื่อว่า ทั้ง 3 รายยังมีชีวิตอยู่แน่
5.
ปัจจุบัน ทางตำรวจศาลยังทำหน้าตารูปพรรณของแฟรงก์และพี่น้องแองกลินขณะชราไว้ และยังไม่ปิดคดีการสืบสวน ยังคงมีการไล่ล่า โดยพวกเขาตั้งเวลาคดีนี้ไว้ถึงปี 2030 ซึ่งนักโทษทั้ง 3 จะมีอายุถึงหลักร้อย และหากยังอยู่ถึง ก็คงจะไม่ตามจับแล้ว
สำหรับสาเหตุสำคัญ ที่ตำรวจศาลยังไม่รีบปิดคดี เพราะในปี 2018 มีการเปิดเผยจดหมายลึกลับ ปรากฏข้อความว่า
“ผมชื่อ จอห์น แองกลิน เราแหกคุกที่อัลคาทราซในปี 1962 ร่วมกับน้องชาย และแฟรงก์ มอร์ริส ตอนนี้ผมอายุได้ 83 ปีแล้ว ป่วยเป็นมะเร็ง ต้องอยู่บนเตียงตลอด ใช่แล้ว พวกเราเกือบจะทำมันไม่สำเร็จ ในคืนวันนั้น”
จดหมายนี้มีการส่งให้กับตำรวจซาน ฟรานซิสโก พอเป็นข่าว ทางเอฟบีไอได้ตรวจสอบเรื่องนี้ ก่อนจะไม่ยืนยันและไม่ปฏิเสธว่าจดหมายนี้คือของจริง
ข้อความในจดหมาย ระบุว่าพี่น้องแองกลินและแฟรงก์ แหกคุกสำเร็จ ก่อนจะแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตตามวิถีอิสรชน โดยจดหมายฉบับนี้อ้างว่า แฟรงก์ตายในปี 2008 และคลาเรนซ์เสียชีวิตในปี 2011 เหลือเพียงจอห์นที่ยังมีชีวิตอยู่คนเดียว และเจ้าตัวต้องการจะกลับไปติดคุก เพื่อรับการรักษาพยาบาล โดยจะแจ้งว่าอยู่ที่ไหน ให้คนมารับตัวไป
อย่างไรก็ดีสุดท้ายเรื่องนี้ก็เงียบหายไป เพราะไม่อาจยืนยันได้ว่ามันจริงหรือลวง
ถึงปัจจุบันนี้ เดอะร็อคเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ เช่นเดียวกับตำนานแหกคุก ซึ่งสุดท้ายก็ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆ แล้วเรื่องทั้งหมดเป็นอย่างไร ทุกคนตายหมดหรือรอดจนแก่เฒ่า แม้จะมีข้อมูลมากมาย แต่ทุกอย่างก็ยังคงเป็นปริศนา ไม่อาจฟันธงได้อย่างชัดเจน
เหตุการณ์นี้จึงกลายเป็นเรื่องเล่าขานที่ยังคงมีการถกเถียงกันอยู่จนถึงปัจจุบัน ซึ่งท้ายสุดนั้น ตำรวจสากลได้ยืนยันว่า พวกเขาจะตามไปทุกเบาะแส เพื่อไขปริศนาในเรื่องนี้
“เพราะบางทีพวกเขาทั้งหมด อาจจะยังมีชีวิตอยู่ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ในตอนนี้”
“ก็เป็นได้”
อ้างอิงจาก