‘อนิเมชั่นเป็นเรื่องสำหรับเด็ก (animation is just a child thing)’ เป็นคำพูดที่เราได้ยินกันมาช้านานเนื่องจากมันมักผูกโยงกับความน่ารัก เนื้อเรื่องเชิงบทเรียนที่มักมีโครงสร้างกับรูปแบบที่ไม่พ้นกันเท่าไหร่ และเป็นสื่อที่มักจะทำให้เด็กดูซะส่วนมาก ทำให้เมื่อพูดถึงคำว่า ‘อนิเมชั่น’ คนส่วนใหญ่จึงรู้สึกถึงความดึงดูดของมันน้อยกว่าฉบับคนแสดงด้วยเหตุผลนี้และเหตุผลส่วนตัวอื่นๆ อีกหลายประการ
แต่หากมองย้อนกลับไปเมื่อก่อนจนถึงตอนนี้ มีอนิเมชั่นไม่น้อยที่มีเนื้อหาค่อนข้างจะดราม่า ดำมืด ลึกล้ำถึงขั้นปรัชญา รวมถึงสะท้อนให้เราหันกลับมามองชีวิตและประเด็นอื่นๆ อีกมากมาย
Arcane คือหนึ่งในนั้น ภายใต้ภาพที่ดูสวยสะดุดตาจนหลายคนยกให้ระดับความจัดจ้านกับความมีสไตล์เทียบเท่า Spider-man: Into the Spider-Verse และตัวละครนำที่เป็นกลุ่มเด็ก นี่ไม่ใช่เรื่องราวสำหรับเด็ก (แม้ว่าเด็กจะดูได้) แต่เป็นเรื่องราวชีวิตและความเป็นไปของตัวละครในเมืองสองฟากฝั่ง และไม่ใช่แค่สำหรับแฟนเกม แต่เป็นเรื่องราวสำหรับทุกคนไม่ว่าจะเล่นเกมหรือไม่
(บทความเปิดเผยเนื้อหาสำคัญซีรีส์ Arcane: League of Legends)
หลังจาก Riot Games ค่ายเกมชื่อดังที่เป็นเจ้าของเกม MOBA ที่ครองใจคนทั่วโลกอย่าง League of Legends หรือ LoL ถูกล้ออย่างต่อเนื่องว่าเป็น ‘Riot Entertainment’ จากการที่ดูจะทำเกมเป็นงานอดิเรก และโดดเด่นด้านการทำเพลงทำดนตรี,ทำวง Virtual Girl Group, ทำ AR หรือทำ MV กับทำอนิเมชั่นมาช้านานจนเหมือนงานหลัก ในที่สุดบริษัทก็ได้ขยายฐานแฟนด้วยการสร้างอนิเมชั่น Arcane: League of Legends
Arcane เป็นผลงานอนิเมชั่นที่ Riot ซุ่มทำโดยใช้ระยะเวลาการสร้าง 6 ปีเต็มที่หาชมได้ใน Netflix มีจำนวน 9 อีพี ปล่อยทีละ 1 องก์เป็น Act 1 2 3 ที่จะหยิบเอาตัวละครแชมป์เปี้ยนบางตัว เนื้อเรื่องบางมุม และสถานที่บางสถานที่ มาผนวกเข้าด้วยกัน พร้อมแต่งเติมเสริมด้วยตัวละครใหม่ และเรียงร้อยออกมาได้อย่างเหมาะเจาะ ทั้งยังมีความประนีประนอมไม่ยัดเยียดเพื่อให้คนดูที่ไม่ได้เล่นเกมสามารถเข้าถึงตัวละครและเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ไม่ยาก
ทั้งยังเป็นซีรีส์ที่สอดแทรกไปด้วยประเด็นชวนคิดที่สะท้อนถึงโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างแยบยล ผ่านตัวละครและเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งสตอรี่พื้นหลังของตัวละครหลักและรอง และเนื้อเรื่องหลักและเนื้อเรื่องรอง
ซีรีส์ดำเนินเรื่องผ่านตัวละครหลักที่เป็นแชมป์เปี้ยนในเกมส์อย่าง จิ๊งซ์ (Jinx), ไวโอเล็ต/ไว (Vi), เอ็คโค่ (Ekko), เจส (Jayce), เคทลิน (Caitlyn), วิคเตอร์ (Viktor), ไฮเมอร์ดินเจอร์ (Heimerdinger) และ ซินจ์ (Singed) โดยมีจิ๊งซ์กับไวเป็นตัวเดินเรื่องหลักฝั่งเมืองซอน (Zaun) ส่วนวิคเตอร์และเจสเป็นตัวดำเนินเรื่องหลักฝั่งพิลโทเวอร์ (Piltover) พ่วงด้วยตัวละครอีกทั้งสองฝั่งที่ผู้คิดเนื้อเรื่องคิดเข้ามาใหม่และใส่เข้ามาใหม่เพื่อเพิ่มแข็งแรงและความน่าสนใจให้กับเรื่องราว
เนื้อเรื่องทั้งสองฝั่งดำเนินไปคู่กัน แสดงถึงชีวิตของเด็กๆ ที่เติบโตมาในเมืองที่แตกต่าง สองฟาดฝั่ง และมาครอสกันหรือมาพบเจอกันในจุดหนึ่งของเรื่องราว
ตามชื่อเรื่อง เรื่องราวของ Arcane เริ่มต้นด้วย การที่สองพี่น้องจิ๊งซ์และไวกับผองเพื่อนอีก 2 คนจากนครใต้ดินช่วงชิงอัญมณีสีฟ้า (ในเกมเรียกว่า ‘อาร์เคน (Arcane)’) มาจากแล็ปของเจส อัญมณีที่เป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้เมืองพิลโทเวอร์สีขาวทองที่ดูมั่งคั่งร่ำรวยอยู่แล้วเป็นเมืองมหาอำนาจและเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นไปอีก การขโมยอัญมณีครั้งนั้นก่อให้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ แล็ปเสียหาย และเกิดการตั้งคำถามและตามหาตัวผู้กระทำผิด
นำไปสู่การพิพากษาตัดสินว่าเป็นเรื่องที่ถูกที่ควรหรือไม่ที่เจสกำลังทดลองสิ่งใหม่ที่ไม่เป็นที่รู้จัก ไม่เสถียร และมันจะเป็นผลดีหรือผลเสียต่อตัวเมืองและชีวิตคนในเมืองกันแน่
ผลสรุปคือเหล่าสภาสูงที่มีอำนาจตัดสินไม่ยอมที่จะเสี่ยง แต่หากไม่บ้าพอ ไม่ยอมเสี่ยง ก็ย่อมไม่เกิดสิ่งใหม่ หลังจากได้ปล่อยวลี “หากคิดจะเปลี่ยนโลก ไม่จำเป็นต้องขอคำอนุญาต” วิคเตอร์กับเจสร่วมทีมกันแหกกฎและทำการทดลองจนสามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าอัญมณีสีฟ้านี้สามารถทำประโยชน์ให้กับมนุษยชาติได้มากแค่ไหน
‘เฮ็กซ์เทค (Hextech)’ เทคโนโลยีล้ำสมัยที่ทั้งสองค้นพบด้วยกัน เป็นประตูที่เปิดไปสู่โลกใบใหม่ และเป็นส่วนผสมระหว่างวิทยาศาสตร์กับเวทมนต์ ทั้งยังช่วยในการเปิดประตูมิติด้วย ‘เฮ็กซ์เกต (Hex Gate)’ เชื่อมโลกเข้าด้วยกันให้เมืองพิลโทเวอร์สามารถเป็นศูนย์กลางแห่งการค้าและการขนส่งของโลกรูนเทอร์ร่า (Runeterra ชื่อเรียกจักรวาลเกม LoL) รวมถึงแหล่งผลิตอาวุธและสิ่งประดิษฐ์ล้ำหน้าอีกด้วย
Arcane มีโลเคชั่นหลักคือเมืองซอน (Zaun) และเมืองพิลโทเวอร์ (Piltover) เมืองชั้นล่างชั้นบนที่ความเจริญ ความน่าอยู่ สังคม และสภาพแวดล้อม และโทนสีต่างกันราวฟ้ากับเหว
เมืองพิลโทเวอร์เป็นเมืองที่งดงามน่าทัศนา มีเทคโนโลยีก้าวหน้า มีท้องฟ้าเปิดเห็นฟ้าสีฟ้าและเมฆ มีเรือเหาะ และขับเคลื่อนด้วยระบบเครื่องยนต์กลไก (machinery) ราวกับเมืองในฝัน ในขณะที่เมืองซอนที่อยู่ใต้ดิน ไม่ได้สัมผัสแสงอาทิตย์และสูดอากาศบริสุทธิ์ ใช้ชีวิตอยู่โดยรู้ว่ามีคนกำลังเดิน กิน เล่น ทำกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจ มีเพศสัมพันธ์ และกระทำการอื่นๆ อีกมากมายอยู่ด้านบนหัวของพวกเขาตลอดเวลา เป็นเมืองระบบเครื่องจักรไอน้ำ (steam punk) และขับเคลื่อนด้วยสารเคมี
สองเมืองนี้มีความน่าสนใจตรงที่ดำเนินไปอย่างคู่ขนาน
พิลโทเวอร์มีสิ่งที่ใกล้เคียงอินเทอร์เน็ตที่สุดอย่างเฮ็กซ์เกต ติดต่อโลกภายนอก เมืองอื่นๆ ย่นระยะ ย่อโลกให้ใกล้ขึ้น ส่วนเมืองซอนก็ดูจะเล็กลงๆ และด้อยความสำคัญลงเรื่อยๆ ทุกที
และในขณะที่พิลโทเวอร์มีกองกำลังและเทคโนโลยีเฮ็กซ์เทค ซอนมีกองกำลังหัวขบถใต้ดินและอาวุธสารเคมีที่เรียกว่า ‘ชิมเมอร์ (shimmer)’
ที่น่าคิดคือหากไม่มีเมืองใดเมืองหนึ่ง ก็จะไม่มีสถานะของเมืองใดเมืองหนึ่ง เช่น หากพิลโทเวอร์ไม่อยู่ด้านบน ซอนก็จะไม่ใช่เมืองด้านล่างแต่เป็นเพียงเมืองระดับต่ำกว่าพื้นดิน และไม่ได้มีสถานะของการ ‘ต่ำกว่า’ ในขณะเดียวกันหากซอนไม่อยู่ด้านล่าง พิลโทเวอร์ก็จะไม่ใช่เมืองด้านบนที่แสดงสัญญะถึงการกดขี่และใช้ชีวิตโดยการ ‘สูงกว่า’ หรือ ‘กดทับ’ ชีวิต เสรีภาพ และการครอบครองทรัพยากร รวมถึงการมองเห็นและอากาศ
เมื่อสังคมเกิด เศรษฐกิจก็เกิด สิ่งนี้เป็นตัวชี้วัดว่าใครจะอยู่ใครจะไป ใครจะรอดไม่รอด กลายเป็นว่าระบบสองอย่างนี้ทำให้เกิดการผลักออกระหว่างมนุษย์ด้วยกันในแนวตั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้ และส่งผลให้กลุ่มหนึ่งอยู่บนพื้นผิว อีกส่วนที่ไม่สามารถดำรงชีพได้ด้วยค่าครองชีพ อาชีพที่ทำ การศึกษา และที่ดินกับที่อยู่อาศัยที่มี ก็ยิ่งห่างไกลกับคนเมืองพิลโทเวอร์และลงไปใช้ชีวิตใต้ดิน มีลูกใต้ดิน มีครอบครัวใต้ดิน และเกิดเป็นวงจรแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
และบัดนี้ มันยิ่งออกห่างกว่าที่เคย…
สองพี่น้องผมสองสี ไวกับพาวเดอร์ (ชื่อก่อนจะเป็นจิ๊งซ์) เป็นชาวเมืองซอน หลังจากเสียบุพการีไปทั้งคู่ได้ถูกรับเลี้ยงโดย แวนเดอร์ (Vander) ขาใหญ่แห่งนครใต้ดินที่มีผู้คนต่างก็นับถือให้เป็นผู้นำ แวนเดอร์ตกลงสงบศึกกับตำรวจพิลโทเวอร์เพื่อรักษาความสงบ (หรือพูดให้ถูกคือตำรวจมาตกลงกับแวนเดอร์) ซึ่งก็ได้ผลมาช้านาน แต่การที่เด็กๆ ไปขโมยอัญมณีจนทำให้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่เนื่องจากความไม่สเถียรของอัญมณี นั่นเป็นการจุดชนวนเรื่องราวทั้งหมดอย่างไม่มีทางหวนกลับ
การซนของเด็กๆ ทำให้ทหารต้องการจับตัวผู้กระทำผิดเพราะสิ่งที่พวกเขาทำทำให้เกิดอันตรายเสียหายและอาจทำให้เกิดการเสียชีวิตได้ ทำให้ ซิลโก้ (Silco) น้องชายร่วมสาบานที่เคยถูกแวนเดอร์ทรยศก่อนเขาจะรู้สึกผิดและวางมือ จำเป็นจะต้องทำอะไรสักอย่าง
ซิลโก้เฝ้าดูการบุกรุกของชนชั้นบนตามอำเภอใจ พร้อมๆ กับมองเห็นแวนเดอร์ที่ดูอ่อนแอและทดลองชิมเมอร์ในสิ่งมีชีวิตในเวลาเดียวกัน เขาฉวยโอกาสนี้ระดมผลและควบคุมโลกใต้ดิน ผู้คนจำนวนมากเห็นว่าผู้นำของพวกเขานิ่งดูดาย จึงได้สนับสนุนซิลโก้ที่แข็งแกร่งกว่า ส่วนซิลโก้เองก็ดูจะผิดหวังกับแวนเดอร์ไม่น้อย จนนำไปสู่การชิงตัวแวนเดอร์เพื่อที่จะประกาศว่าที่นี่ใครเป็นบอส
“นายยอมตายเพื่ออุดมการณ์ แต่ไม่ยอมสู้เพื่อมันงั้นรึ?”
นี่เป็นคำพูดเสียดสีอันเจ็บแสบจากปากของซิลโก้หลังเขาโค่นแวนเดอร์ลงได้ คำพูดที่มาจากทั้งความรู้สึกผิดหวังและเหยียดหยาม
แวนเดอร์ยอมเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องเด็กๆ จากสัตว์ประหลาดที่ซิลโก้สร้างจากชิมเมอร์ แต่สิ่งที่ทำร้ายพวกเขาจริงๆ ไม่ใช่ซิลโก้ แต่เป็นความต้องการจะมีบทของจิ๊งซ์ที่เอาอัญมณีฟ้าไปใช้งานกับอุปกรณ์ประดิษฐ์ลิงตีฉาบของเธอเพื่อช่วยแวนเดอร์และพี่น้อง แต่นั่นเป็นการทำลายครอบครัวเดียวที่เธอมี เพราะหารู้ไม่ว่ามีชิมเมอร์จำนวนมากอยู่ในชั้นใต้ดิน
แรงระเบิดของอัญมณีผสมกับชิมเมอร์คร่าชีวิตของพี่น้องเธอไปสองคน, ทำให้พ่อเลี้ยงที่รักดั่งพ่อแท้ๆ ของเธอต้องพบจุดจบ (รึเปล่า?) ทำลายครอบครัว และยังเป็นจุดสะบั้นความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับไว เป็นความอยากช่วยของเด็กไร้เดียงสาที่สร้างทางแยกให้กับพี่น้องทั้งสองตั้งแต่โมเมนต์นั้นเป็นต้นมา
เมื่อได้ยินประโยคที่น้องพูดออกมาหลังจากเกิดเรื่องทั้งหมดว่า “ในที่สุดระเบิดของหนูก็ทำงานแล้ว!” และมองไปรอบๆ ไวโกรธน้องจึงเดินหนีไปก่อนที่จะถูกพาตัวไปขังคุกด้านบน ทำให้น้องเข้าใจผิดว่าถูกทิ้ง ส่วนเรื่องราวกลับตาลปัตรเมื่อซิลโก้รู้สึกเข้าใจและเห็นอกเห็นใจจิ๊งซ์ที่ถูกพี่น้องทรยศและทอดทิ้ง จึงได้รับมาเลี้ยงและให้มาทำงานด้วย และเราจะได้รู้ว่าเขาคือชายที่เชื่อในการต่อสู้เพื่อไขว้คว้ามาซึ่งสิ่งที่ต้องการ
โดยเฉพาะจากประโยคที่ว่า “อำนาจไม่ได้มาคู่กับผู้ที่เกิดมาแข็งแรงสุด ว่องไวสุด และฉลาดที่สุด อำนาจมาจากผู้ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา”
ส่วนพาวเดอร์ได้ใช้ชื่อ ‘จิ๊งซ์’ ที่กลุ่มเรียกเธอในฐานะ ‘ตัวซวย’ ไปที่ไหนกับใครก็เหมือนสาปส่งให้ที่นั่นวุ่นวาย พังพินาศ หรือล่มสลาย
หลังจากนั้นเมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนเติบโตขึ้น เกิดเรื่องราวมากมาย วิคเตอร์ถลำลึกกับการทดลองเนื่องจากปัญหาสุขภาพอันเกิดจากการสูดดมสารเคมีในช่วงวัยเด็กที่เติบโตมาในเมืองซอนทำให้เขาต้องผลักลิมิตไปไกลจนกู่ไม่กลับ , เจสที่ไต่เต้าจนได้รับการยอมรับและกลายมาเป็นหนึ่งในสมาชิกสภา, ไวกับเคทลินร่วมมือกัน คนนึงช่วยสืบเรื่องอัญมณีกับจิ๊งซ์ที่บุกมาชิงอย่างอุกอาจ คนหนึ่งต้องการหาน้องสาว
หารู้ไม่ว่าเป้าหมายของทั้งสองคือเป้าหมายเดียวกัน
ตัวละครเคทลินถือว่าเป็นหนึ่งในจุดเชื่อมที่ดีระหว่างโลกทั้งสอง เป็นตัวละครลูกตระกูลผู้ดีที่เลือกจะมาเป็นตำรวจรักษาการ ที่รักในความถูกต้องและดำเนินการสืบสวนโดยลำพัง เธอเป็นตัวพาไวกลับไปยังเมืองซอนอีกครั้ง และได้ไปเห็นชีวิตความเป็นอยู่ ทั้งแง่มุมที่ร้ายและดีของเมือง ส่วนไวได้กลับไปเจอน้องสาวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของสตอรี่ที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม
ไวเคยบอกกับจิ๊งซ์ว่าหากต้องการเจอกันให้จุดไฟเรียก และไฟสีฟ้าที่พวยพุ่งไปในอากาศอย่างเด่นชัดชัดเจน นำทั้งคู่มาเจอกัน
แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ต่างอะไรไปกับไฟที่จิ๊งซ์จุดที่ได้มอดดับลงในที่สุด กลายเป็นว่าพี่สาวที่เธอรอคอยจะเจอมาตลอดมากับผู้หญิงจากข้างบนที่จะมาจับเธอ ถึงกระนั้นจิ๊งซ์ก็ยังไม่หมอศรัทธาในตัวพี่สาว แม้ทั้งคู่จะถูกพรากกันอีกรอบโดยเอ็คโค่ที่ต่อต้านกลุ่มของซิลโก้ ทั้งคู่ยังคงต้องการตามหากันและกัน เพียงแต่สิ่งที่อยู่ในใจจิ๊งซ์คือการเริ่มสงสัยในตัวของพี่สาว และการเข้าใจผิดว่าพี่สาวเลือกคนอื่นกับต้องการตามหาอัญมณีมากกว่าน้องตัวเอง
ทางด้านของเอ็คโค่เขาได้เติบโตเป็นผู้นำกลุ่มต่อต้านซิลโก้ เอ็คโค่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า การโตมาที่เดียวกันไม่ได้หมายความว่าจะต้องลงเอยด้วยการเข้าข้างกันหรือมีทัศนคติเหมือนกันในแบบที่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น เอ็คโค่ต่อต้านซิลโก้กับจิ๊งซ์เพราะไม่เห็นด้วยกับวิธีการสุดกระหายสงครามที่ซิลโก้จะใช้เพื่อสร้างเอกราชให้กับซอน เนื่องจากมันจะทำให้เรื่องเลวร้ายขึ้นและคนด้านบนมองคนด้านล่างว่าหัวรุนแรงมากขึ้นไปอีก
เอ็คโค่เป็นตัวละครที่มีความเป็นนักประดิษฐ์เครื่องยนต์กลไกไม่ต่างกับจิ๊งซ์
เด็กสองคนที่มีความสามารถ เฉลียวฉลาด สร้างสรรค์ แต่กลับได้ใช้มันแค่เพื่อการต่อสู้กับความรุนแรง ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน เคยซี้กัน แต่ในท้ายที่สุดต้องมาปะทะกันเองเพราะปัญหาความขัดแย้งอันเกิดจากตัวระบบที่ยากจะแก้ไขหรือไม่ได้รับการแก้ไข (ฉากต่อสู้ของทั้งสองเป็นหนึ่งในฉากที่แสดงถึงความมีสไตล์ของอนิเมชั่นเรื่องนี้ได้ดีที่สุด)
อีกตัวละครที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ เมล เมดาร์ด้า (Mel Medarda) ที่มีบทบาทสำคัญทางการเมืองของเมืองพิลโทเวอร์และเนื้องเรื่องเป็นอย่างมาก
เธอเป็นผู้หญิงฉลาด ทั้งฉลาดเลือก และฉลาดเล่นเกม เธอเลือกที่จะมีความสัมพันธ์ทั้งกายและใจกับเจสผู้เป็นนักคิดค้นหนุ่มเลือดใหม่ไฟแรง ก่อนที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการผลักดันเขาให้เป็นหนึ่งในสมาชิกสภาสูง ก่อนที่จะช่วยเจสขับไฮเมอร์ดิงเจอร์ที่ไม่เห็นด้วยกับเจสออกจากสภาจนต้องไปอาศัยอยู่ที่เมืองซอน ด้วยการพาเจสไปสร้างคอนเนคชั่นและฐานเสียงกับสมาชิกสภาคนอื่นๆ
เมลเติบโตมาอย่างแข็งแกร่ง เธอเป็นชาวต่างเมือง มาจากเมืองที่ชื่อน็อคซัส (Noxus) นครสงครามสำหรับผู้แข็งแกร่ง และสอนสั่งลูกหลานด้วยปรัชญาสุดกร้านโลกให้ไร้ความปราณี และเข้าใจความโหดร้ายของโลกใบนี้ว่าผู้ล่าเท่านั้นที่จะอยู่รอด และผู้ล่าไม่สงสารเหยื่อ หากปล่อยเหยื่อไปเหยื่อจะไปเรียกพวกกลับมา เธอได้รับความแข็งแกร่งมาจากแม่ที่สังหารเด็กสาวฝั่งศัตรูรุ่นราวคราวเดียวกันต่อหน้าต่อตาตั้งแต่ยังเด็ก
แม้ว่าเมลไม่ใช่คนโหดร้ายและไม่ได้มีความเป็นชาวน็อคซัสมากนัก แต่มันทำให้เธอเล่นเกมเป็น และรู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่เป็นสัญลักษณ์ด้านความแข็งแกร่งของเพศหญิงในซีรีส์เรื่องนี้
เรื่องราวเข้มข้นขึ้นไปอีกเมื่อเจสตัดสินใจเปลี่ยนค้อนที่เป็นสัญลักษณ์แห่งวิทยาการและการประดิษฐ์สร้างสรรค์ประจำตระกูล เป็นอาวุธด้วยเทคโนโลยีเฮ็คซ์เทค และร่วมมือกับไวที่ได้ถุงมือเฮ็คซ์เทคสองข้างของเขาไป ในการบุกถล่มพวกซิลโก้ ผลลัพธ์จากการบุกครั้งนี้ไม่ได้อะไรนอกจากความสูญเสีย และเจสใจสลายที่ได้พรากชีวิตเด็กบริสุทธิ์ไปหนึ่งคน เขาจึงเริ่มมองเห็นแล้วว่า ความรุนแรงไม่ใช่ทางออก
เจสจึงได้นัดพบกับซิลโก้เพื่อยื่นเงื่อนไขสงบศึก ให้ทั้งสองฝั่งต่างคนต่างอยู่ และหยุดเรื่องนี้ก่อนที่จะมีใครเสียชีวิตไปมากกว่านี้ หลังจากนั้น เขาก็ได้ไปหารือกับสภาสูงถึงข้อเสนอที่เขาได้เสนอให้ซิลโก้กับทางสภาเพื่อให้อนุมัติสัญญาสงบศึกถาวรนี้
การต่อสู้โต้ตอบกันไปมา นำไปสู่ความรุนแรงอันไม่มีวันสิ้นสุด ซิลโก้ต้องนำข้อเสนอของเจสกลับมาคิด แต่มีอยู่เงื่อนไขนึงที่เขาลำบากใจที่สุดคือ ‘ส่งตัวจิ๊งซ์’ ที่เป็นตัวก่อเรื่องตั้งแต่แรกจนถึงล่าสุดไปให้กับทางการ แล้วซิลโก้จะได้สิ่งที่ต้องการ เมืองข้างล่างจะเป็นไทด้วยการเป็น ‘ประเทศซอน’ที่แยกเป็นเอกเทศจากนครรุ่งเรืองด้านบน เป็นเขตปกครองกันเอง และจะไม่ข้องเกี่ยว ยุ่มย่าม ระรานกันและกันอีก
ฉากนี้เป็นฉากหนึ่งที่สื่อความหมายได้ดี เป็นฉากที่ซิลโก้ไปนั่งตัดพ้อและดื่มเหล้ากับรูปปั้นของแวนเดอร์ และเทเหล้าลงบนฐาน ดูเหมือนเขาจะเข้าใจอะไรมากขึ้น
ซิลโก้ในตอนนั้นไม่ได้เข้าใจว่าอะไรบ้างที่แวนเดอร์ต้องแบกรับ ทั้งความรู้สึกผิดในใจ บาปในอดีต กับการเป็นผู้นำและผู้แบกรับความรับผิดชอบทั้งหมดของเมืองใต้ดินที่ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่เคยเป็นเรื่องง่าย ก้าวที่ผิดหมายความว่าเป็นการ ‘ประกาศเปิดศึก’ และถ้าเป็นเช่นนั้นความเสียหายกับความสูญเสียที่ได้รับจะมากกว่าที่สามารถจินตนาการได้ รวมถึงที่สำคัญที่สุด เขาไม่เคยมีความรัก เขารู้สึกเดียวดาย อยากทำลายโลกใบนี้ อยากเอาชนะ และอยากได้ในสิ่งที่ต้องการ
การมีจิ๊งซ์ที่เปรียบเสมือนลูกสาวแท้ๆ ทำให้เขาอ่อนแอลง และจากฉากนี้ ดูเหมือนว่าบัดนี้เขาเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่าความรู้สึกอ่อนแอและลังเลจากการเป็นห่วงเป็นใยหรือรักใครซักคนเป็นยังไง
ตั้งแต่องก์แรกจนถึงตอนนี้ สตอรี่ของซิลโก้ทำให้เห็นว่าเขาเป็นตัวละครที่มากกว่าที่จะเรียกว่า ‘ตัวร้าย’ ได้ เขามีมิติกว่านั้น มีด้านอ่อนโยน มีด้านเห็นอกเห็นใจ มีความรู้สึกนึกคิด และมีอุดมการณ์ แต่แตกต่างกับแวนเดอร์แค่วิธีการในตอนนั้น และตอนนี้เป็นเรื่องลำบากใจที่เขาต้องมานั่งที่นั่งเดียวกับแวนเดอร์ และต้องตัดสินใจไม่ต่างกันว่าจะยอมแลกลูกเลี้ยงของตัวเองมั้ยเพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการมาตลอด?
ทางด้านจิ๊งซ์เธอได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดจากการสังเกต สืบ และแอบฟัง จนรู้ว่าซิลโก้จะส่งเธอให้กับทางการเพื่อแลกมาซึ่งความสำเร็จ เธอจึงกับทั้งซิลโก้ เคทลิน และไวมามัด แล้วนั่งที่โต๊ะในฉากที่ให้ฟีลลิ่งเหมือนโจ๊กเกอร์จับแบทแมนแฟมิลี่มาเล่นเกม ผสมกับโต๊ะทานข้าวที่คล้ายคลึงกับในเรื่อง อลิซในดินแดนมหัศจรรย์ (Alice in Wonderland) จากนั้นก็ให้ไวเลือกว่าจะฆ่าเคทลินแล้วเธอจะนั่งเก้าอี้ที่เขียนว่า ‘พาวเดอร์’ เพื่อกลับเป็นพาวเดอร์ น้องสาวคนดีคนเดิม หรือจะทำเธอผิดหวังแล้วเธอจะเป็น ‘จิ๊งซ์’ ถาวร
ฉากนี้สื่อความหมายได้ว่าต่อจากนี้ จะเป็นการถลำลึกไปในรูกระต่าย one way ที่ไม่อาจหวนกลับอีก
การต่อสู้ขัดขืนเกิดขึ้นอย่างชุลมุน ลงเอยด้วยการเสียชีวิตของซิลโก้ ที่บอกกับเธอก่อนตายว่าเขารักเธอแบบที่เธอเป็น รักเธอที่เธอเป็นจิ๊งซ์ และ “อย่าร้องไห้ไปเลย เธอเพอร์เฟ็คต์ที่สุดแล้ว” ซิลโก้ไม่มีทางส่งตัวเธอให้กับทางการเด็ดขาด
ที่ผ่านมาตั้งแต่จิ๊งซ์ยังเด็ก จะมีฉากปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งว่าเธอพูดคนเดียว มีอาการจิตหลอน เห็นเพื่อนในจินตนาการคือเพื่อนสองคนที่เธอฆ่าไปด้วยความไม่ตั้งใจ และอาการของเธอเด่นชัดขึ้นเมื่อเธอเจอพี่สาวอยู่กับเคทลิน เธอรู้สึกต้องการความรัก จึงได้ต้องการแสวงหามันอยู่ตลอดเวลา และลังเลทุกครั้งที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับพี่สาวและความรักความสัมพันธ์ การตายของซิลโก้เป็นครั้งแรกที่จิ๊งซ์สงบนิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอเลือกนั่งลงบนเก้าอี้ที่เขียนว่า ‘JINX’
และตัวตนของพาวเดอร์ได้ตายลงอย่างสมบูรณ์เนื่องจากจิ๊งซ์ได้รับการเติมเต็มแล้ว
จิ๊งซ์เลือกทำสิ่งที่ช็อคทั้งคนดูและตัวละครในเรื่องด้วยการกดอัลติ ยิงจรวดที่เป็นท่าไม้ตายในเกม ปลดปล่อยความเกรี้ยวกราดจากโลกด้านล่างสู่โลกด้านบนด้วยการ return เทคโนโลยีเฮ็คซ์เทคที่มาจากโลกด้านบนกลับคืนสู่พวกเขา ส่งตรงไปยังที่ประชุมสภา โดยหารู้ไม่ว่านั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่สภากำลังโหวตเพื่อปลดปล่อยซอนให้เป็นอิสระ (หรือหากให้คิดอีกแง่ มันอาจไม่สำคัญแล้วว่าเธอรู้หรือไม่ เพราะนี่คือจุดที่จิ๊งซ์ไม่สนหน้าสิ่วหน้าขวานใดๆ)
ความต้องการของเธอคือยิงระเบิดไปยังผู้ที่บีบบังคับให้ทุกอย่างถึงจุดนี้ และพ่อที่เป็นคนเดียวที่รักเธอต้องจากไป
ท้ายที่สุดแล้ว Arcane ซีซั่น 1 เริ่มที่อัญมณี และจบด้วยอัญมณี เริ่มต้นด้วยการระเบิด และจบลงด้วยการระเบิด เริ่มที่จิ๊งซ์และจบที่จิ๊งซ์
เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป? หลังจากนี้จะเกิดสงครามใหญ่หรือไม่ในเมืองลูกสาวคนสำคัญแห่งเมืองน็อคซัส (เมล) และสมาชิกสภาสูงที่นั่งกันอยู่ครบองค์กำลังถูกจรวดทำลายล้างพุ่งเข้าใส่? กับชะตากรรมตัวละคร คงเป็นสิ่งที่เราต้องหาคำตอบกันเองในซีซั่น 2 ที่ประกาศสร้างแล้ว และจะไม่ได้มาภายใน 1 ปี แต่ไม่ได้ถึงขนาด 6 ปีเหมือนซีซั่นแรก
เมื่อมองทบทวนเรื่องราวทั้งหมดของ Arcane ซีซั่นแรกแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นคือเรื่องราวของการถูกกดทับที่นำไปสู่การระเบิดความโกรธและความรู้สึกถูกกดทับทั้งหมดออกมาในคราเดียวผ่านตัวละครจิ๊งซ์ และสอดแทรกในเรื่องราวของตัวละครหลักตัวอื่นๆ พร้อมกับทำให้เราตั้งคำถามที่ว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้า? (what if?)
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าจิ๊งซ์อยู่เมืองด้านบน? เธอคงได้เป็นนักประดิษฐ์ที่โดดเด่นและสร้างสรรค์พลงานได้พอๆกับเจส มากกว่าที่จะนำอัญมณีเฮ็คซ์เทคมาใช้ทำอาวุธและที่เป็นเช่นนั้นเพราะ ‘การต่อสู้’และ ‘การทำอาวุธ’ คือสองสิ่งที่เธอรูจักและทำมันมาตลอดชีวิต
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเอ็คโค่อยู่เมืองด้านบน? เขาคงเป็นนักประดิษฐ์ที่ยอดเยี่ยมอีกคน ไม่ก็อาจจะไปเป็นนักเล่นบอร์ดลอยได้ (Hoverboard)
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าไวอยู่เมืองด้านบน? เธอคงไม่ต้องกำหมัดบ่อยครั้งเท่านี้
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าวิคเตอร์อยู่เมืองด้านบนแต่แรก? เขาคงไม่ต้องเสี่ยงเอาตัวเองมาทดลองกับสิ่งอันตรายที่ไม่แน่นอนเช่นนี้
และจะเกิดอะไรขึ้นถ้าทุกอย่างดีกว่านี้ โลกแฟร์กว่านี้ ความเหลื่อมล้ำน้อยกว่านี้? คำตอบคือเรื่องราวก็จะไม่ลงเอยเช่นนี้ เด็กทุกคนจะมีอนาคต มีความฝัน ได้ทำตามในสิ่งที่ฝัน มีชีวิต และเติบโตในโลกที่สงบสุขกว่านี้
‘ไม่มีความฝันในโลกที่ไม่เท่าเทียม ไม่มีคนปกติในโลกที่เต็มไปด้วยการรุนแรง แข่งขัน และการกดขี่’ คือประเด็นสำคัญของซีรีส์เรื่องนี้
สิ่งที่เราได้ชมไปใน Arcane เป็นเรื่องราวของโลกที่ไม่ได้สวยหรู ไม่ได้แฮปปี้ มันสะท้อนโลกแห่งความเป็นจริงที่ว่าต่างฝ่ายต่างก็ดิ้นรนในแบบของตัวเอง ทั้งเจสกับเคทลินที่อยู่ด้านบนก็พยายามได้รับการยอมรับ และทำสุดความสามารถเช่นกันเพื่อให้เกิดการนองเลือดน้อยที่สุดและนำมาซึ่งความสงบศึกของทั้งสองฝั่ง ส่วนจิ๊งซ์คือภาพสะท้อนของความเน่าเฟะของระบบในฐานะปฏิกิริยาสะท้อนกลับ (reaction)