1.
“ทุกคนตายกันหมดเลย ครอบครัวผม ตายเกลี้ยง”
หากกดเบอร์หมายเลข 111 ในประเทศนิวซีแลนด์ มันจะเทียบเท่าเบอร์ 191 ของไทย และเช้าตรู่ของวันที่ 20 มิถุนายน 1994 หรือจะระบุเวลาให้ละเอียด ก็คือ ในเวลา 07.09 น. ตำรวจนิวซีแลนด์รับโทรศัพท์ เสียงเด็กหนุ่มวัยต้น 20 โทรเข้ามาด้วยความเคร่งเครียด เขาแจ้งเหตุว่าครอบครัวถูกฆ่าตายหมด
นั่นทำให้เจ้าหน้าที่รุดไปบ้านหลังเกิดเหตุทันที เมื่อไปถึงพวกเขาพบ 5 ศพ ตายกันคนละจุดของบ้าน โดยโรบิน เบน (Robin Bain) พ่อวัย 58 ปีถูกยิงตายที่ห้องนั่งเล่น ส่วนเมียและลูกอีก 3 คน นอนตายในห้องของตัวเอง
ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ปรากฏข้อความสยองว่า “เสียใจด้วย แต่ลูกคือคนเดียวที่สมควรจะมีชีวิตอยู่”
ปรากฏว่ายังมีคนในตระกูลนี้ 1 รายที่ไม่ตาย นั่นก็คือ เดวิด เบน (David Bain) เขารอดเพราะปั่นจักรยานส่งหนังสือพิมพ์ตอนเช้า และเมื่อกลับมาก็เห็นพ่อกับแม่ถูกยิงตาย จึงรีบกดเบอร์ 111 เพื่อแจ้งตำรวจทันที
เจ้าหน้าที่เข้าเก็บหลักฐานอย่างละเอียด และสอบปากคำลูกคนโตแห่งบ้านเบน
4 วันต่อมา เดวิด เบน วัย 22 ปีถูกจับกุม ข้อหาฆาตกรรม
2.
เหตุผลที่ตำรวจเชื่อว่าเดวิดเป็นฆาตกรฆ่ายกครัว เพราะพบร่องรอยพิรุธหลายอย่าง เริ่มจากประโยคที่ลูกคนโตของบ้านตระกูลเบน โทร.แจ้งเจ้าหน้าที่ว่า ทุกคนตายหมดนั้น ก็เป็นจุดแรกที่นักสืบสงสัย เพราะเมื่อถามว่า รู้ได้อย่างไรว่าคนในบ้านเสียชีวิตหมด ทั้งที่ตอนนั้นเดวิดอ้างว่าเห็นแค่พ่อกับแม่ตายเท่านั้น
จุดนี้เด็กหนุ่มตอบไม่ได้ และเปลี่ยนคำให้การไปมาหลายครั้ง
อีกประเด็น ทุกวันเดวิดจะไปส่งหนังสือพิมพ์ในช่วงเช้า 6 โมงสายๆ ไปถึง 7 โมงนิดๆ แต่วันนั้นเขาไปส่งเร็วกว่าเดิม มีพยานได้อ่านข่าวในเวลา 06.38 น.
“มันแปลกอย่างมาก ที่ผมได้หนังสือพิมพ์เร็วกว่าปกติ”
จุดนี้นักสืบเชื่อว่า เดวิดต้องการใช้การไปส่งหนังสือพิมพ์เป็นข้ออ้างว่า เขาไม่ได้อยู่บ้านขณะเกิดเหตุ แต่เขาพลาดเพราะมีพยานเห็นว่าเขาออกไปเร็วกว่าทุกวัน
ตำรวจเชื่อว่า เดวิดเอาปืนไรเฟิลของบ้าน ยิงแม่ตายก่อน จากนั้นก็ยิงน้องสาว 2 คน และน้องชายคนเล็ก ซึ่งเมื่อโดนกระสุนยังไม่ตายทันที จึงถูกรัดคอซ้ำอีกครั้งจนหมดลมหายใจ จากนั้นจึงออกไปส่งหนังสือพิมพ์ เพื่อให้มีพยานอ้างอิงได้
เมื่อเสร็จงาน ก็กลับมาที่บ้าน แล้วดักรอพ่อซึ่งไปนอนที่รถแวนนอกบ้าน และจะเข้ามาสวดภาวนาในตัวบ้าน เมื่อทั้ง 2 เจอหน้า ไรเฟิลก็ลั่นซัดเข้าตัวบิดาสิ้นชีพ
จากนั้นลูกคนโตเปิดคอมพิวเตอร์ พิมพ์ข้อความเหมือนว่ามีการฆาตกรรม หรือมีการฆ่าตัวตาย แล้วเขาได้รับเลือกจากฆาตกรให้อยู่ต่อในโลกนี้ หลังจากนั้นเดวิดก็จัดแจงทุกอย่างให้เหมือนฉากการฆ่าตัวตายจริงๆ ก่อนจะโทร.แจ้งตำรวจ
นั่นเป็นเหตุผลว่า ช่วงเวลาที่เดวิดถึงบ้านกับตอนกดเบอร์ 111 นั้น มันมีระยะเวลาห่างกันประมาณ 25 นาที เพียงพอที่จะมีการจัดฉากได้
ข้อสงสัยนี้ นำไปสู่แรงจูงใจว่า การก่อเหตุทั้งหมดของลูกคนโต ก็เพื่อหวังทรัพย์สินมรดก เขายิงทุกคนตาย เพื่อจะเอาเงินไปซื้อบ้านใหม่อยู่
ลูกขุนพิจารณาหลักฐานอย่างละเอียด และแล้วในปี 1995 ก็ตัดสินว่าเดวิดมีความผิดฐานฆาตกรรมครอบครัวตัวเอง ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ต้องติดคุกไปอย่างน้อย 16 ปี โดยไม่มีการลดหย่อนโทษแต่อย่างใด
ผู้พิพากษาที่กำหนดโทษได้บอกลูกขุนถึงความเลวร้ายของเหตุการณ์นี้ว่า “นี่คือเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ และสยดสยองเอามากๆ จนเป็นไปไม่ได้ที่จิตใจคนเราจะหาเหตุผลหรือตรรกะอะไรมาอธิบายเรื่องนี้”
เดวิดถูกส่งตัวเข้าคุก โดยเขายืนยันว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่เคยรับสารภาพว่าคือฆาตกรฆ่าทุกคนในครอบครัว
ระหว่างนั้นสังคมนิวซีแลนด์ต่างตกตะลึงกับเรื่องนี้ พวกเขาอ่านข่าว ดูรายละเอียดทุกอย่าง และก็พบข้อสงสัยอย่างหนึ่ง ซึ่งทีมทนายของเดวิด ใช้สู้กับหลักฐานตำรวจ และนี่เองทำให้คนจำนวนหนึ่งในประเทศ ไม่เชื่อว่าเดวิดเป็นฆาตกร
หลักฐานชิ้นนั้นพบว่า ลูกสาวคนหนึ่งของบ้านคือ ลานีเอต (Laniet) มีความสัมพันธ์ชู้สาวทางสายเลือดกับโรบิน หรือพ่อของตัวเอง
3.
โรบินแต่งงานกับภรรยาในปี 1969 มีลูก 4 คน ในปี 1974 เขาพาครอบครัวไปยังปาปัวนิวกินี เพื่อเผยแพร่ศาสนา เป็นอันว่าหัวหน้าครอบครัวเบน ลุ่มหลงในศาสนาอย่างหนัก ก่อนจะเดินทางกลับนิวซีแลนด์ในปี 1998 เพื่อมาทำงานเป็นครู
ด้านเดวิด ลูกชายคนโตของบ้าน เขาเรียนดนตรีอยู่ที่มหาวิทยาลัย และทำงานเสริมส่งหนังสือพิมพ์ ส่วนลูกคนอื่นๆ ก็เรียนหนังสือตามปกติ
ภายนอกเหมือนเป็นบ้านที่อบอุ่น
แต่เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดกลับพบความวิปริตในครอบครัวนี้
กล่าวคือ แม้จะกลับมาอยู่นิวซีแลนด์ แต่ความหลงใหลในศาสนาถึงขั้นบ้าคลั่งของโรบิน ยังคงมีอยู่ และสร้างปัญหาตึงเครียดให้กับครอบครัวอย่างมาก มันทำให้ภรรยาของเขา ปฏิเสธที่จะอยากมีชีวิตคู่อีกต่อไป และกำลังพิจารณาว่าจะหย่าขาดดีไหม ก่อนเกิดเหตุฆาตกรรม ทั้ง 2 ได้แยกกันอยู่ นอนกันคนละห้องแล้ว
โดยโรบินจะไปอยู่ในรถแวนนอกบ้าน และจะเข้ามาในบ้านเพื่อสวดมนต์ อันเป็นกิจวัตรประจำวันเท่านั้น ขณะที่ลานีเอต ลูกสาวคนรองสุดท้อง อายุเพียง 18 ปี ไปทำงานเสริมนอกบ้าน และจะกลับมาบ้านนานๆ ที ซึ่งที่จริงแล้วครอบครัวเบน กลับมาประชุมครอบครัว ณ วันที่ 19 มิถุนายน 1 วันก่อนเกิดเหตุฆาตกรรม
ลานีเอตนั้นไปทำงานเสริมเพื่อจะได้อยู่ห่างจากบ้าน แต่มีรายงานว่า เธอไปทำงานเป็นโสเภณี เพราะตลอดชีวิตตั้งแต่เด็กเธอถูกคุกคามทางเพศโดยโรบิน พ่อของหญิงสาวเอง
เพื่อนคนสนิทของลานีเอตเผยว่า ความอดรนทนไม่ไหวมันระเบิดขึ้น ฝ่ายหญิงย้ำว่าพอกันที และเธอกำลังจะไปบอกครอบครัวว่าจะแฉความสัมพันธ์สุดเลวร้ายทั้งหมดนี้ ให้โลกได้รับรู้
ข้อมูลตรงนี้ ทนายฝั่งจำเลยได้พาพยานมาให้การ เพื่อแฉพฤติกรรมของตัวโรบินด้วย นอกจากนี้ยังมีความน่าสนใจคือ สมุดบันทึกไดอารี่ของลานีเอต ถูกทำลายลงไป คาดกันว่ามันน่าจะบันทึกเหตุการณ์สุดเลวร้ายนี้ไว้ด้วย
แต่ศาล อัยการ และตำรวจไม่ได้สนใจ พวกเขามุ่งเป้าไปที่เดวิดในฉับพลัน เพราะเชื่อว่าชายคนนี้คือฆาตกร จนละเลยมุมมองความเป็นไปได้อื่นๆ และเพิกเฉยหลักฐานสำคัญที่จะเปิดโปงฆาตกรตัวจริงได้
อย่างไรก็ดีข้อมูลตรงนี้ ทำให้สังคมนิวซีแลนด์ เห็นใจเดวิดมากยิ่งขึ้น เขาอาจไม่รู้เห็นเหตุการณ์นี้เลย แต่กลับต้องตกเป็นแพะ ซึ่งชายหนุ่มก็ยังยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองในเรือนจำเสมอมา
โดยเขาเล่าว่า ตอนกลับมาถึงบ้านหลังไปส่งหนังสือพิมพ์ ก็ได้เข้าห้องน้ำ ล้างมือและเช็ดมันด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ ก่อนจะเอาเสื้อผ้าที่เปื้อนเหงื่อใส่เครื่องซัก ทุกอย่างทำไปอย่างปกติ เดวิดไม่ได้เปิดไฟ เพราะไม่อยากรบกวนคนในบ้านที่กำลังนอนหลับอยู่
แต่เมื่อทำอะไรแล้วเสร็จ เขาสังเกตเห็นรอยกระสุน และกุญแจล็อกตู้ไรเฟิล ตกอยู่ที่ห้องนอนของเขา เมื่อเขาลงบันไดไปชั้นล่างแล้วเปิดไฟ ก็พบศพแม่นอนตายในห้องตัวเอง
จากนั้นก็ได้ยินเสียงลานีเอต หายใจอย่างทุรนทุราย ก่อนจะพบร่างไร้ลมหายใจของพ่อที่ห้องนั่งเล่น ทุกอย่างกินเวลาพอสมควร เดวิดอยู่ในอาการช็อก จึงใช้เวลาสักพักกดเบอร์ 111 เพื่อแจ้งตำรวจ
และที่เขาให้การกลับไปกลับมา ระหว่างการสอบปากคำนั้น เพราะเขาอยู่ในอาการตื่นตระหนกตกใจ และอยู่ในอาการเครียดภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะทือนขวัญ (Post-traumatic stress disorder หรือ PTSD) นั่นเอง
อย่างไรก็ดีเจ้าหน้าที่ไม่เชื่อเดวิด และยังไม่เชื่อคำให้การของพยานที่หาว่าโรบินข่มขืนลูกสาวของตัวเอง เพราะมองว่ามันไม่น่าเชื่อถือ
โดยทางทนายของเดวิดย้ำว่า แม้โรบินจะดูเหมือนเป็นคนดี เป็นครูที่น่าเชื่อถือ ลูกศิษย์ลูกหามากมาย แต่ไม่กี่เดือนก่อนเกิดเหตุฆาตกรรม เขาถูกครอบครัวกีดกัน และถูกอยู่ในภาวะกดดัน หลังลูกสาวจะแฉความสัมพันธ์สุดเลวร้ายนี้
ทุกสิ่งทุกอย่างประเดประดังเข้ามา จนเขาตัดสินใจเอาปืนของเดวิด มาก่อเหตุยิงคนในบ้านตาย ก่อนจะเขียนข้อความในหน้าจอคอมพิวเตอร์
แล้วเหนี่ยวไกไรเฟิลปลิดชีพตัวเอง
4.
ข้อมูลส่วนนี้ สร้างความสงสัยให้กับสังคมนิวซีแลนด์อย่างยิ่ง มีคนจำนวนมากเชื่อว่าเดวิดไม่ใช่ฆาตกรตัวจริง การรวมกลุ่มแล้วไปเยี่ยมลูกคนโตแห่งตระกูลเบนในคุกกว่า 200 ครั้ง มีการเขียนหนังสือที่ชี้ข้อบกพร่องของตำรวจ และฟันธงว่า เดวิดเป็นแพะในเหตุการณ์นี้ พร้อมเรียกร้องให้มีการรื้อฟื้นคดีมาตัดสินใหม่
อย่างไรก็ดีทางการกลับเพิกเฉยต่อข้อเสนอนี้ ทำให้ลูกคนโตแห่งตระกูลเบนเลยต้องติดคุกอย่างยาวนาน แม้สังคมจะเรียกร้องให้มีการพิจารณาคดีใหม่แค่ไหนก็ตาม กระบวนการยุติธรรมก็ไม่สนใจ
แต่ทุกฝ่ายไม่ย่อท้อ ยังคงยื่นหนังสือ เรียกร้อง เป็นข่าว ปลุกเร้ากระแสสังคม ครั้งแล้วครั้งเล่า ปีแล้วปีเล่า จนมันก่อเกิดเป็นพลัง ผลักดันให้ทั้งประเทศเห็นว่า คดีนี้ควรถูกนำกลับมาตรวจสอบใหม่อีกครั้งจริงๆ
และแล้วความพยายาม ก็นำไปสู่ความสำเร็จ ในปี 2007 ทางการตัดสินใจให้มีการฟื้นคดีมาพิจารณาใหม่ คราวนี้เดวิดได้ประกันตัว จนออกมาสู่โลกภายนอกอีก หลังติดคุกไปกว่า 13 ปี ท่ามกลางแรงสนับสนุนจากประชาชนในนิวซีแลนด์ จากนั้นทีมทนายก็ทำงานอย่างหนัก เพื่อต้องการให้โลกได้รู้ว่า ชายคนนี้เป็นคนบริสุทธิ์
วันที่ 6 มีนาคม ปี 2009 หรือ 15 ปีหลังเหตุฆ่ายกครัว อัยการกับทนายจำเลยก็ปะทะกันอีกครั้ง คราวนี้มีการนำเสนอทฤษฎีใหม่ว่า โรบิน-พ่อ และหัวหน้าครอบครัวเบน คือฆาตกรในคดีนี้ พร้อมข้อโต้แย้งต่อข้อมูลของตำรวจที่ครบทุกประเด็น
ฝั่งจำเลยแย้งว่า ที่เดวิดบอกว่าเห็นแค่ศพพ่อกับแม่ ก่อนโทร.แจ้งว่าทุกคนในบ้านตายหมดนั้น ไม่จริง ช่วงเวลาดังกล่าว เดวิดสำรวจทั่วบ้าน เห็นทุกคนเสียชีวิตหมดแล้ว จึงรีบโทร.หาตำรวจ
แต่เพราะเขาอยู่ในสภาวะช็อก แถมเจ้าหน้าที่ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนี้ คำให้การในสภาวะที่เครียด เสียใจและรับไม่ได้ต่อเหตุดังกล่าว ทำให้ความทรงจำเขาขาดห้วง สติไม่สมประกอบ ส่งผลต่อการให้ปากคำที่กลับไปกลับมา แต่ไม่ได้มีหลักฐานอะไรเลยบ่งชี้ว่าเป็นฆาตกรตัวจริง
ที่สำคัญตำรวจนั้นไปปักใจเชื่อเดวิดว่าคือคนก่อเหตุ จึงเก็บหลักฐานไม่ละเอียด ละเลยเรื่องลายนิ้วมือ ทำงานสุกเอาเผากิน จนทำให้คนบริสุทธิ์กลายเป็นผู้ต้องหาไปได้
และเพราะอาการช็อกของเดวิดนี้ ทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก จนกินเวลาหลายนาทีกว่าจะโทร.แจ้งเจ้าหน้าที่ ผู้เชี่ยวชาญโรค PTSD ออกมายืนยันความเป็นไปได้ที่เดวิดจะเป็นแบบนั้นต่อหน้าลูกขุน
ส่วนกรณีที่ลูกชายคนโต ไปส่งหนังสือพิมพ์เช้ากว่าปกตินั้น มีพยานยืนยันว่าเด็กหนุ่มก็ไปส่งตามปกติ ไม่ได้เช้าอะไรเลย พยานที่เคยบอกว่าได้อ่านข่าวเร็วกว่าเดิม ก็ไม่น่าเชื่อถือ และน่าจะจำเวลาผิด เพราะมีพยานที่ยืนยันมากกว่า 1 ราย ที่ให้การว่า เดวิดมาส่งหนังสือพิมพ์ตามปกติ
และที่สำคัญมีพยานหลายรายออกมายืนยันว่าโรบินข่มขืนลูกสาวตัวเอง กำลังจะถูกแฉ และเมียก็กำลังจะขอหย่า ความคลั่งศาสนาของเขา มีผลให้หัวหน้าครอบครัวก่อเหตุสุดสยอง แล้วปลิดชีพตัวเองอย่างสลด
ทั้งหมดนี้สรุปได้ว่า เดวิดไม่ใช่ฆาตกร และหากเขาไม่ไปส่งหนังสือพิมพ์เช้าตรู่วันนั้น ก็คงโดนยิงตายไปด้วย เมื่อพ่อไม่เห็นลูกคนโต จึงเขียนข้อความผ่านคอมพิวเตอร์ถึงเดวิด นั่นหมายความว่า ฆาตกรที่ศาลตัดสินเมื่อ 14 ปีก่อน แท้จริงแล้วเขาเป็นผู้รอดชีวิตจากเหตุสลดนี้ต่างหาก
ข้อมูลทนายจำเลยคัดง้างหลักฐานฝั่งเจ้าหน้าที่ได้อย่างหมดจด และแล้ว 3 เดือนแห่งการพิจารณา ในที่สุดลูกขุนก็ยืนยันว่า เดวิดไม่มีความผิด นั่นทำให้ศาลพิพากษายกฟ้อง บุตรคนโตของตระกูลเบน เป็นผู้บริสุทธิ์ หลังตกเป็นแพะนานกว่า 15 ปี
บัดนี้เขากลับกลายเป็นเสรีชนอีกครั้ง
นอกศาล ประชาชนโห่ร้อง เบนขอบคุณทุกคนที่สนับสนุน เหตุการณ์นี้ถือเป็นประวัติศาสตร์การไต่สวนคดีฆาตกรรมของนิวซีแลนด์อย่างแท้จริง
ลูกขุนบางคนถึงกับตรงเข้าไปกอดเบน ที่พ้นผิดจากคดีนี้ นับเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาอย่างมาก
เดวิดถึงกับหลั่งน้ำตาร่ำไห้ ในที่สุดเขาก็ประกาศให้โลกได้รู้ว่า ไม่ใช่ฆาตกร พร้อมขอบคุณประชาชนที่อยู่เคียงข้าง
“หากไม่มีพวกคุณ ผมคงมายืนที่จุดนี้ไม่ได้”
5.
หลังเกิดเหตุ มีการตกลงเรื่องค่าเสียหาย กระทรวงยุติธรรมมอบเงินให้เดวิดเกือบล้านเหรียญ เป็นค่าชดเชยที่ต้องติดคุกอยู่หลายปี เงินก้อนใหญ่นี้แลกกับการที่ตัวเขาจะไม่ยื่นฟ้องทางการอีกต่อไป
แม้จะโดนด่าว่าตัวเลขมันน้อยไปไหม แถมยังไม่มีการขอโทษจากศาล อัยการ ตำรวจแม้แต่คำเดียวด้วย แน่นอนว่าภาครัฐโยนเงินให้ แล้วนิ่งเฉย เพราะพวกเขาไม่ต้องการรับความอับอายไปมากกว่านี้ ที่จับคนบริสุทธิ์เข้าคุก
ทางเดวิดเอง ก็รู้ว่าเงินที่ได้มันน้อยไปมาก ไม่คุ้มกับสิ่งทีเขาได้รับ กระนั้นแม้จะผิดหวังต่อท่าทีของทางการเพียงใด เขาก็ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม
เพราะหลายปีแห่งความเจ็บปวด เขาไม่ขอทนอยู่กับมันอีกต่อไปแล้ว ว่ากันว่าตอนติดคุก เขาถูกเพื่อนนักโทษทำร้ายร่างกายด้วย นี่จึงอาจมีส่วนให้เดวิดรับเงินแบบจบๆ ไป เพื่ออยากให้ทุกอย่างมันสิ้นสุดลงเสียที
ปัจจุบัน เดวิดตัดสินใจเปลี่ยนชื่อสกุล เพื่อหนีความวุ่นวายจากสื่อ และต้องการอยู่เงียบๆ นั่นทำให้เขาตัดสินใจ ย้ายสำมะโนครัวไปออสเตรเลีย เริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่งงาน มีลูกที่น่ารัก 2 คน และทำงานเป็นวิศวกรในบริษัทแห่งหนึ่ง
ทุกวันนี้ เขาไม่เคยคุยเรื่องคดีกับใครอีกต่อไป แม้จะมีคนสร้างหนัง ทำซีรีส์ ทำพอดแคสต์มากมายก่ายกองเพียงใด
แต่ชายคนนี้ได้ตัดสินใจยุติการให้สัมภาษณ์คดีนี้แล้ว
หากถามว่าทำไมเดวิดต้องทำแบบนั้น ก็คงต้องยกเอาประโยคหนึ่ง ซึ่งผู้พิพากษาได้บอกกับลูกขุนตอนพิจารณาคดีใหม่ และเป็นคำตอบของคำถามทั้งมวลที่เดวิดต้องการในชีวิตหลังจากนี้ มันคือคำพูดที่ว่า
“สิ่งที่เราต้องการจากคุณก็คือ เริ่มต้น (ชีวิต) ใหม่อีกครั้ง”
อ้างอิงจาก