ใครมันเป็นต้นคิดใช้ม้ามาช่วยรบนะ ฉันล่ะอยากรู้จักจริงๆ
ฉันจะคิดแบบนี้ทุกที เวลาต้องขึ้นไปเซิ้งอยู่บนหลังซีซี-ม้าเพื่อนแก้ว (เออ เพื่อนทรายนี่ล่ะ ไม่ใช่แก้วอะไรที่ไหน) เพื่อถ่ายฉากรบ แล้วก็จะเริ่มพาลไปถึงเจงกิสข่านแห่งทุ่งมองโกล ว่าใช่ซี้ เฮียไม่ได้ต้องใส่สั้นโชว์ขาอ่อนขี่ม้าฝ่าระเบิดนี่หว่า ยุคเฮียก็ฟันกันโช้งๆ เช้งๆ ยิงธนูระยะไกลเท่านั้นแหละว้า
กว่าจะหัดขี่พร้อมถือคบไฟไปเป็นม้าเร็วแจ้งข่าวได้ กูว่าต้องมีตกม้าหลังเดาะไปหลายคนล่ะ
ฉันคิดอะไรได้ไม่ค่อยเป็นเหตุเป็นผลเท่าไหร่หรอก เวลาอยู่บนหลังม้าเนี่ย คิดน้อยก็ไม่ได้ ม้ารู้ คิดเยอะก็ไม่ได้ ม้าเจ้ากรรม (ที่ตอนนี้ไม่ค่อยเพื่อนแก้วแล้ว) ก็ดันจับไต๋ได้เสียอีก ว่าฮั่นนั่นแน่…กลัวเค้าอะดิ ไม่กล้าขี่ฝ่าระเบิดอะดิ กิ๊วๆๆๆ แกล้งวิ่งกลับคอกดีกว่า ลั้นลันลา ฮึ่ม…
เกริ่นไปตั้งแต่ตอนที่แล้ว ว่าฉันโดนหัดให้ขี่ม้าตั้งแต่เด็กๆ ก็ม้าในค่ายทหารม้าตรงสนามเป้านั่นล่ะ เป็นม้ากร้านโลก แบบที่ถ้าเปรียบเป็นคนก็คงประมาณหมู่เชียร ในภาพยนตร์ 2499 อันธพาลครองเมือง คีบบุหรี่ด้วยกีบเกือกข้างขวา ถือแก้วเหล้าออน เดอะ ร็อค ไว้ข้างซ้าย
“แถวนี้มันเถื่อน ไม่แน่จริงอยู่ไม่ได้หรอก” แล้วก็สะบัดแผงคอเบาๆ อย่างเข้าใจชีวิต
เพราะพี่ม้าสนามเป้านั้นเหลี่ยมจัด ด้วยว่าเปลี่ยนคนขี่มาอย่างโชกโชน ไปถึงก็ต้องรีบจองพี่ม้าตั้งแต่ตรู่เพราะขืนสายเข้าหน่อยเดียวเป็นเจอพี่ม้าสายชิลเหลือเลือก ที่จะเคลื่อนมวลกายทีละ 2 เมตรต่อชั่วโมง เป็นที่เวทนาแก่ผู้พบเห็นฉันในตอนนั้น ที่เป็นเด็กหน้ากลมๆ ผมเต่อๆ พยายามเหยียดน่องหนีบแบบสุดล้า เพื่อให้พี่ม้าได้เอะใจขึ้นมาสักนิดก็ยังดี ว่ามีคนอยู่บนหลังจ้า เอาน่องหนีบ ส้นเท้าเตือนแล้วจ้าพี่ม้า เมตตาเดินให้กูทีเถอะ
พอโตขึ้นมาทำงาน ฉันก็มีฉากขี่ม้าจุกจิกประปรายแบบไม่เข้มข้นมาก ม้าก็มาจากค่ายทหารต่างๆ ทั้งสระบุรีชลบุรี ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นพี่ม้าสายชิลเหมือนที่สนามเป้าในยุคนั้น แต่อาจจะตัวเล็กหมดสง่าไปสักนิด ซึ่งเอาจริงๆ ก็ขี่ง่ายเสียจนอีลอน มัสค์อาจจะใช้พี่ม้าเหล่านี้เป็นต้นแบบรถเทสลารุ่นใหม่ๆ ขับเคลื่อนเองได้ในอนาคต เพราะพี่เจอยอดหญ้าสูงนิดพี่ก็หยุด ก้อนหินยื่นมาหน่อยพี่ก็หยุด ทางน้ำไหลเป็นสายเล็กเท่านิ้วก้อยพี่เขาก็หยุด ปลอดภัยสุดๆ แล้ว
เรียกว่าผ้าเบรคน่าจะหมดไวกว่าน้ำมันเชื้อเพลิงเยอะ
ดังนั้นพอได้ยินว่าภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ฉันได้มีโอกาสไปร่วมแสดง จะอิมพอร์ตม้าหรูเบอร์ตอง มาจากออสเตรเลีย คอกเดียวกันกับม้าที่ใช้ในภาพยนตร์เรื่อง The Last Samurai ฉันจึงกิ๊วก๊าวดี๊ด๊ามากมาย หูย ก็ออกจะเท่ปานนั้น สูงใหญ่ล่ำสันโก้หร่านเป็นที่สุด
ซึ่งก็โก้จริงอะไรจริง แต่ด้วยความเป็นเด็กนอกของม้า ที่ต้องมาเป็นซิตี้เซ็นม้าในเมืองไทย แถมไม่ได้มาเดินเฉยๆ เป็นม้าทัวริสต์ แต่ต้องมาเข้าฉากรบไปกับพวกฉัน ก็เลยสร้างความปวดกบาลให้ผู้ขี่และผู้ดูแลแบบพอประมาณ
เพราะสำหรับคนแสดงนั้น ก็ต้องฝึกอาวุธ ออกกำลัง เตรียมเกราะ เตรียมอาวุธ แก๊งม้าเมืองนอกก็ต้องปรับตัวเหมือนกัน จากที่กินแต่อัลฟัลฟ่ากับข้าวโอ๊ต พี่ม้าก็โดนลดยศมากินหญ้าคากับฟางแบบไทยสไตล์ ซึ่งอยู่ๆ จะเดินไปยัดปากดื้อๆ เลยก็ไม่ได้ เพราะกระเพาะลำไส้ม้านั้นใช่จะปรับตัวกันง่ายๆ ต้องค่อยๆ ปรับอาหารกันไปทีละนิด
แต่ที่นรกกว่านั้น คือพี่ม้ารับคำสั่งแต่ภาษาอังกฤษกับเช็ค (ไม่ใช่เช็คอย่างเอาไปขึ้นเงิน แต่เป็นเชคโกสโลวาเกีย หรือภาษาแถบยุโรปตะวันออกสักอย่าง) เพราะคนฝึกพื้นฐานของพี่ม้า เป็นชาวฟารังคีชาตินั้น
ซึ่งภาษาอังกฤษของพวกเราและเหล่าน้องทหารที่ต้องมาดูแลม้านั่นก็เข้าขั้นอ่อนแอ คือคำมันไม่ได้ยากหรอกคุณ ใช่ว่าจะไปอ่านเชคสเปียร์ให้ม้าฟัง ก็แค่สั่งเดิน สั่งหยุด เรียกกินข้าว เรียกพัก ให้คำชมม้า อะไรประมาณนี้
แต่มันต้องเป็นอังกฤษสำเนียงออสเตรเลีย ซึ่งฝรั่งด้วยกันก็ยังว่าเป็นสำเนียงที่สุดแสนเฉพาะตัว การสั่งวอล์ค, ทรอท, แคนเตอร์, แกลลอป, สตอป, กู้ดบอย จึงต้องเป็น โวล์ค, โทรท, คานธาร์ หรืออะไรที่ฉันก็เทียบเป็นตัวสะกดภาษาไทยได้ยากยิ่ง
แต่เพื่อความไม่เสียดุลให้ฝรั่งแต่ฝั่งเดียว น้องๆ ทหารเลยสอนภาษาอีสานให้ม้าบ้างเป็นการกลับคืน สั่งย่างสั่งแล่น สั่งเซากันเป็นโกลาหล ซึ่งก็ต้องบอกว่าได้ผลไม่เลว ในที่สุดก็เป็นม้าแบบไบลิงกวลสมบูรณ์แบบ สั่งงานด้วยเสียงได้สองภาษา และระบบน้ำหนักขาตามที่ครูฝึกให้ แถมวงจรการกินก็กว้างขวาง กินได้ตั้งแต่อัลฟัลฟ่ายันลูกตะขบป่าไปในที่สุด
นักแสดงยุคแรก ก็จะได้ฝึกร่วมกับม้าประจำตัว แต่ก็อย่างที่รู้กันว่าภาพยนตร์เรื่องนี้รวมนักแสดงเป็นร้อย ม้าที่มีเลยกลายเป็นม้าหมุน เดี๋ยวต้องนุ่งชุดเกราะ เดี๋ยวต้องนุ่งชุดพม่า เดี๋ยวต้องมาชุดไทย มีม้าสำหรับคนเพิ่งเข้าฉากใหม่ๆ แล้วก็มีม้าเทียมครึ่งตัวที่เอาไว้ให้คนขี่ไม่เป็นได้ขี่เข้าฉาก ซึ่งส่วนใหญ่จะอิดออดไม่ยอมขี่ ด้วยว่าอีพวกขี่เก่งๆ ชุดแรกก็จะเย้ยหยันไยไพ กิ๊วๆ หน้าไม่อาย มาขี่ม้าโฟมสิ้นราคา
นอกจากฝึกขี่แล้วเรายังต้องฝึกตก คือครูสอนเขาว่ายังไงมันก็ต้องตก เหมือนคนหัดขี่มอเตอร์ไซค์หรือจักรยาน ที่ใช่ว่าเริ่มปุ๊บได้ปั๊บ ยิ่งแก๊งบุกเบิกอย่างพวกฉันนั้นได้อวยยศขี่นำทัพ ขืนตกไม่ระวังจะมีตีนม้าอีก 30 กว่าตัวที่ตามมาเหยียบย่ำจนจมธรณี
ฝึกตกแล้วก็ต้องฝึกขี่ม้าเข้าใกล้ช้าง คุณนึกว่าง่ายสินะ เห็นในหนังออกรบเขาก็รบด้วยช้างด้วยม้ากัน ความเป็นจริงคือทั้งช้าง ทั้งม้ามันไม่รู้จักกันอะ ในอาณาจักรไฟลั่มของมันก็มีแต่เพื่อนที่หน้าเหมือนกัน แล้วนี่ตัวอัลลัยโว้ย ทำไมมันสูงแบบนี้ ตาก็ตี่นิดเดียว (ม้าคิด) ไอ้พวกนี้ตัวเล็กติ๊ด วิ่งพันไปพันมา ขาแข้งก็บอบบาง (อันนี้ช้างคิด)
ซึ่งพอช้างกับม้ามาเจอกัน โดยมีคนขี่เป็นตัวแปรอยู่บนหลังทั้งสองฝ่าย ช้างและม้าก็จะแตกกระจายไปกันคนละทาง ทิ้งคนขี่ให้น่วมอยู่ตรงนั้นแหละ
เป็นอันเข้าใจนะ ว่าทำไมต้องฝึกตกม้ากันก่อน
จากนั้นก็ฝึกม้าให้เข้ากับไฟและระเบิด
ม้าบางตัวเจอขั้นตอนนี้ก็ถึงขนาดเสียขวัญ แค่เริ่มจากใครมาทำเสียงตูมดังๆ ใกล้ๆ ก็วิ่งแจ้น เป็นตายยังไงก็ไม่ยอมกลับมาเหยียบตรงพื้นที่ที่เคยมีเสียงนั่นอีกเลย บางตัวก็ยังใจแข็งพอเดินผ่านได้ แต่พอระเบิด (ปลอม) ตูมสนั่นพร้อมเปลวไฟขึ้นมา ยังไงม้าก็กระเจิง เพราะนี่มันฝืนสัญชาตญาณกลัวไฟของสัตว์สิ้นดี
อย่าว่าแต่ม้ากลัวเลย ฉันยังกลัว อยู่ๆ ตู้มขึ้นมา ถึงมันไม่ใช่ของจริงแต่ถ้าถูกที่เหมาะๆ เข้าก็ได้ขึ้นเมรุกันตรงนั้นล่ะ
อะ ตอนนี้เราก็ได้ม้าที่ทนช้าง ช้างที่ทนม้า ม้าที่พอทนกับเสียงระเบิด และม้าที่กลั้นใจฝ่าไฟได้แล้ว เอาอะไรอีกล่ะ ค่ะ เราต้องการม้าตาย
คือตายปลอมๆ นั่นล่ะ เพราะไม่ใช่ว่าม้าจะยอมนอนให้ทุกตัวนะคุณ บางตัวสั่งยังไง เฮียก็ไม่ยอมศิโรราบ ยังคงยืดหน้าทระนงแบบนั้น บางตัวยอมล้มให้ แต่ก็จะรีบผลุนผลันลุกขึ้นยืนหยัดในทันใด อันนี้จะเท่เป็นพิเศษ ดูเสริมบารมีให้ผู้ขี่ว่าเป็นนักรบไปยันม้าแสนจะกล้าหาญ แล้วก็มีบางตัวที่ว่าง่าย จิ้มถูกจุดปั๊บเป็นนอนเขลงหลับตาพริ้มให้เสียด้วย ก็จะได้บทบาทเพิ่มเป็นม้าตายกลางสนามรบ เอาธนูมาแปะๆ เอาเลือดมาสาดๆ ดูเป็นซากม้าน่าอนาถใจ ฉันจำได้ว่าสายนอนนี้มีม้าขาวอยู่หนึ่งตัว และตายเก่งเสียจนวันนึงมันกลายเป็นม้าสีชมพู เพราะโดนสาดเลือดทุกวันๆ จนยากจะขัดออก ขี่ไปไหนๆ ใครก็นึกว่าขี่ม้าโพนีลงมาจากสายรุ้ง ดูหวานแหววเป็นกำลัง สิ้นแล้วซึ่งความน่าเกรงขาม
2 ฉากม้าของฉันที่เป็นที่ฮือฮาแก่ผู้ได้ชมและทีมงานนั้น เป็น 2 ฉากที่ไม่เหมือนกัน คนดูจะฮือฮากับฉากที่ขี่ม้าไล่กันในลำน้ำ แล้วฉันโดนพี่ปีเตอร์ (พระราชมนู) แทคตัวจากม้าที่แกขี่ข้ามมาที่ฉันจนร่วงตกลงไปในน้ำทั้งคู่
โหย เท่เนอะ แต่คนดูจะนึกว่ามีเซฟป้องกันไว้ ปั๊ดธ่อ จะเอาเซฟไปติดไว้ตรงไหนล่ะ ก็มีแค่เนื้อหนังกับผ้าโพกหัวบางๆ นั่นล่ะ
ตอนแรกฉันไม่ได้นึกกลัวตอนตกเลยนะ เพราะอย่างที่บอกว่าฝึกตกมาแล้วเป็นอย่างดี กลัวแต่ว่าปกติม้าฉันกับม้าพี่ปีเตอร์นั้นไม่ถูกกัน (ดูเถิด กระทั่งม้าด้วยกันยังมีไม่ชอบหน้ากัน) ถ้าไม่วิ่งแข่งกัน ก็จะมีแอบดีดแอบกัดกันเนืองๆ ซึ่งถ้ามีผู้ควบคุม (คือฉันและพี่ปีเตอร์) ก็พอจะปรามๆ ความเกรียนของม้าได้ แต่นี่แทคกันตกลงมาในน้ำ (ซึ่งม้าไม่แฮปปี้กับน้ำ…นี่เขียนๆ มาแล้ว มึงไม่แฮปปี้กับอะไรเลยนะม้า ยากสัส) มันจะย่ำลงบนตัวฉันเพื่อเผ่นขึ้นฝั่งแห้งๆ หรือถีบกันในน้ำหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่พอเอาเข้าจริงม้าทั้งสองก็สงบดี จิบน้ำในลำธารดูนายทั้งสองของมันเอาไม้ไล่ตีจนลากไปจูบกันริมฝั่งอย่างสบายๆ ไม่ดิ้นรน
แต่ฉากยากสำหรับฉันนั่นก็คือ ทุกฉาก
คือ…มันก็ไม่ได้ทุกฉากแบบทุกฉากขนาดนั้น แต่การขี่ม้าเข้าฉากข้อแม้มันเยอะมากคุณ ซึ่งเอาจริงๆ ก็ต้องถือว่าแฟร์ เราจะให้มันขี่ฝ่าระเบิดแทนเรา เราก็ต้องปะเหลาะหลอกล่อมันหน่อย น้ำตาลก้อน แอปเปิ้ลกรุบแครอทกรอบอะไรก็เอามาปรนเปรอกันเวลาจะถ่าย ให้บ่อยไปก็ไม่ได้ เดี๋ยวไม่ตื่นเต้น เป็นม้าสปอยล์ ไม่ให้เลยก็จะกลายเป็นม้าแว้น ครอบครัวมีปัญหา แม่ไม่รัก ใจแตกไปรักคนขี่ใหม่ๆ มากกว่า ซ้อมมากไปก็ไม่ได้เพราะอีม้าก็จะแปลงตัวเป็นอิคคิวซังเจ้าปัญญา รู้ล่วงหน้าว่าจะวิ่งไปทางไหน อันจะสร้างความไม่สมจริงเป็นอย่างยิ่ง (คุณลองนึกว่าเป็นฉากลอบเข้าค่ายข้าศึก แล้วม้าเดินเชิ้บๆ ลอยหน้าชิลๆ ดูเถอะ ว่ามันจะตลกขนาดไหน) ซ้อมน้อยไป ม้าก็จะใจบาง ไม่กล้าออกเดินเอาดื้อๆ เกิดตั้งแง่มีคำถามในใจ ว่าหนูเครียด หนูระแวง ข้างหน้าเป็นไรอะ ไปได้จริงปะเนี่ยขึ้นมาอีก
ม้าวิ่งเยอะๆ ไกลๆ ก็ฮีตขึ้น ซีซีเพื่อนฉันเคยถึงขั้นต้องรื้อชุดแต่ง เข้าร่มพัก เอาน้ำเช็ดตัวจนเห็นควันขึ้นกรุ่นๆ เหมือนเครื่องจักรไอน้ำ ม้าวิ่งบนพื้นบางแบบก็จะขาเสีย ม้าอยู่ใกล้กล้องมากก็อันตราย เพราะมันจะคอยเบนตัวออกจากกล้อง หรือไม่ก็หันตามเราที่ถ่ายฉากสนทนาอยู่ กลายเป็นม้าโฟโต้จีนิก เล่นกล้องจนเสียสุนทรียะแห่งภาพยนตร์ไปอีก ถ่ายฉากตอนเย็นม้าอยากกลับไปพักผ่อนที่คอก คนขี่เผลอเมื่อไหร่ เฮียเป็นวิ่งจี๋กลับไปอย่างไม่แคร์กอง ถ่ายดึกม้าก็ง่วง ถ่ายเช้าม้ายังบูสต์เครื่องไม่ติด ยืนหน้ามึนกันเป็นแถวๆ ผู้ช่วยจะสั่งงานเสียงดังก็ไม่ได้ ม้าเครียด ม้าตกใจ ม้าซอยเท้าถี่
เรียกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวในกองถ่าย ที่ทำให้ท่านมุ้ยลดเสียงสั่งงานได้ ไม่ลั่นๆ ออกไมโครโฟนอย่างปกติ
ยิ่งถ้าเป็นฉากต้องวิ่งฝ่าระเบิดหรือกองไฟ เป็นอันว่าซ้อมไม่ได้อย่างสิ้นเชิง เพราะนอกจากม้าจะไม่ยอมวิ่งซ้ำให้แล้ว ระเบิดนั้นคือการเผาเงินอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด ทุกตูมจากระเบิด ทุกปังจากกระสุนปืนมีความหมายว่าเงินไหลไปอย่างง่ายๆ ยิ่งมากคัตคุณก็คูณเงินเข้าไปเถอะ ว่ากี่ตูมกี่ปัง คนเขาถึงไม่อยากให้ซ้อมกันเยอะนักมันเปลือง
อะ มาถึงฉากระทึกขวัญในแง่ผู้แสดงอย่างฉัน ก็คือฉากเผา/เข้าค่ายทุกฉาก
อีฉากเข้าค่ายนี่ทำฉันซี่โครงเดาะมาแล้ว เพราะถ่ายหลายรอบ นี่ห้าเทคแล้วอะ ทำไมอะ ซีซีเบื่อ ซีซีไม่เข้าใจว่าทำไมตัวอื่นวิ่งช้า แล้วปกติหนูได้อยู่หน้าสุดไม่ใช่เหรอ ทำไมเอาหนูมาอยู่ตรงนี้ แม่จะคุยอะไรนักหนา ไดอะล็อกยาวงี้ไปคุยกันในค่ายดิ ไม่เอาอะ ม้าเท่ๆ อย่างเราต้องไม่ตามใคร แม่อย่าดึง ’ซีไม่ชอบ
ซีแซงขวาแม่งเลย
ฉิบหาย, ซีแซงขวามาจะเลยประตูเข้าค่ายแล้วว่ะ
ซีเลยทิ้งโค้งแบบถ้าเป็นมอเตอร์ไซค์ก็เข่าเช็ดพื้น วิ่งเฉียดขอบขวากที่ปักไว้หน้าค่ายนิดเดียว
ส่วนแม่มันน่ะเหรอ
กองอยู่ปากทาง นอนร้าวหลบตีนม้าที่ตามมาอยู่คาโค้งนั่นล่ะ
แต่ที่สุดของความเครียดสำหรับฉัน ก็คือฉากเผาค่าย และขี่ม้าออก โดยมีไฟพวยพุ่ง ระเบิดตู้มๆ อยู่ข้างหลัง อาห์ มันช่างสวยงามในทางภาพเหลือเกิน
ในความเป็นจริง ซีซีเป็นม้ามึน ไม่ค่อยกลัวอะไรเท่าไหร่ กว่าจะนึกได้ว่าต้องกลัวช้างหรือระเบิด ก็ต้องให้ม้าอื่นกลัวเป็นตัวอย่าง พี่ซีถึงกระดิกขึ้นมาบ้าง ว่าอุ๊ย นี่น่ากลัวนะ อาจจะด้วยความเป็นม้าเด็ก อ่อนต่อโลกกว่าตัวอื่นๆ ซีซีเลยเป็นม้าใสๆ ให้ไปไหนก็ไม่งอแง ลงน้ำก็ได้ ขึ้นเขาก็ดี เดินตามช้างก็แจ่ม ยิ่งถ้าคุ้นๆ กันอย่างฉันนี่ ซีก็ซื้อได้ง่ายยิ่งกว่า..เอ่อ…จะบอกว่าง่ายกว่าข้าราชการรับส่วยก็ดูน่าเกลียดเนอะ คิดซะว่าฉันไม่ได้พูดละกัน เอาเป็นว่าจ่ายน้ำตาลก้อน ช็อกโกแลต หรือแอปเปิ้ลซักลูก ซีซีก็ถึงไหนถึงกัน ยิ่งได้วิ่งนำแถวตลอด (ก็แหง ฉันหัวหน้านักรบเมืองคังนี่หว่า) ’ซียิ่งแฮปปี้ หน้าเริ่ดท้าลม สนุกเค้าล่ะ
แต่ด้วยความเป็นม้ามึน ม้าชิลของซีซี ท่านจึงสั่งให้แม่มัน (คือฉันนี่แหละ) ออกจากค่ายเป็นคนสุดท้าย ก็ช่วยไม่ได้ ลูกมึงทำงานง่ายนี่หว่าอีทราย กูอยากได้ฉากแบบนี้อะ สมจริงแบบไม่ต้องใช้ซีจี
นี่ไม่ใช่คำถามด้วยนะว่าทำได้ไหม, แต่เป็นคำสั่งจากท่านโดยตรง ฉันก็เลยต้องแกร่วรอ คุกเข่ายิงธนูบนเนินดินนั่นไปเรื่อยๆ หลังจากจุดไฟเผาก็แล้ว ระเบิดลงก็แล้ว จนเผาค่ายคูประตูหอรบจนสิ้น
วันแรกๆ ซีซีก็ยังชิล อ๊ะ เพื่อนๆ ถูกพาไปเข้าฉากเหรอ อุ๊ย นั่นๆ มีช้างด้วย หนูโอเค แม่หนูอยู่ข้างหน้านี่เอง
วันถัดๆ มา ซีซีก็เริ่มกระสับกระส่าย เพราะเปลวไฟจากการเผาเรือนพักต่างๆ ชักจะใกล้ตัวมากขึ้น ยางรถยนตร์ที่เอามากองเผาเป็นควันดำๆ แสนจะเหม็น และทิ้งความร้อนไว้บนพื้นอีกเนิ่นนานหลังจากหมดยางไปแล้วก็รุมเข้ามาใกล้มากขึ้น ซีซีเริ่มหงิกนิดหน่อย ดูเพื่อนที่ได้ขี่ออกจากค่ายไปทีละตัว ทีละตัว
จนพอใกล้จะถึงวัน พี่ซีเริ่มอิดออดที่จะมาโดนผูกตรงที่เดิม เห็นเพื่อนม้าวิ่งผ่านไปตัวแล้วตัวเล่า อีแม่กูก็นั่งอยู่ข้างหน้านี้ ทำไมไม่ไปซักทีวะ ซีซีเริ่มดีดเบาๆ ยกหน้ายกหลัง ร้องฮี้ๆ สะบัดฟึดฟัดอย่างขุ่นเคือง
ส่วนฉันก็ใจแป้วลงทุกวัน ด้วยว่าค่ายคูอะไรต่อมิอะไรก็ถูกเผาร่นระยะเข้ามาเรื่อยจนชักจะใกล้ตัว ซึ่งก็หมายความว่าระเบิดมันก็จะยิ่งใกล้ ไฟก็จะยิ่งโหม แล้วกูจะทำยังง้ายยยยย ซ้อมก่อนก็ไม่ได้ ทำตกใจเอิกเกริกก็ไม่ได้เดี๋ยวม้ารู้
วันจริง
ท่านสั่งฝังระเบิดรอบโซน ต่อไฟแก๊สพร้อมโหม ยางรถยนตร์สุมกันแน่นๆ รอเผา ทีมงานเดินกันขวักไขว่ พี่ซีเริ่มงอแงไม่อยู่นิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนท่านต้องสั่งให้มีพลม้าแต่งเป็นชาวเมืองคังมาช่วยจับจูง เดินวนๆ พอให้ลดความเครียด แต่ยิ่งนานก็ยิ่งเครียด ท่านก็อยากจะซ้อมกล้องแบบยังไม่มีระเบิด แต่ซีซีก็เหมือนจะรู้ทันเสียแล้วว่าเอาแน่ งอแง ยกหน้ายกหลัง หรือไม่ก็ฉันนี่แหละ ที่เครียดจนมันรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย
สุดท้ายก็ต้องไปคุยกับม้า หนูลูก ซีซีพ่อแก้วตาของแม่ เดี๋ยวเราทำงานกันน้า แล้วจะให้กินช็อกโกแลตสามลูก เอาให้เบาหวานขึ้นตาเลย เสร็จแล้วพักผ่อน แปรงขนให้ด้วย โอ้โลมปฏิโลมยังไงพี่ซีก็ไม่ไยดี จนคุณสัตวแพทย์ที่เราเรียกว่าหมอม้า เดินมาใช้ตัวช่วย
อะ เอาฟองน้ำไปอุดหู หูม้าสิ ไม่ใช่หูฉัน
ซีซีดูงงๆ นิดหน่อย พอใส่ฟองน้ำเข้าไปในหู คงรู้สึกว่าทำไมอยู่ๆ เสียงรอบตัวดูเบาลง ซึ่งก็ช่วยให้ทีมงานวิ่งเซ็ตของได้ง่ายขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ยังงอแงมากอยู่ดี
คุณหมอเลยใช้ตัวช่วยที่สอง ฉีดยาซึม
“หมอคะ มันจะโอเคใช่มั้ยอะ?”
“คุณทรายไม่ต้องห่วงครับ มันโอเค”
“ไม่ค่ะ คือฉีดเพิ่มอีกได้มั้ยคะ นี่กดไปหมดเข็ม แม่งยังคึกอยู่เลยค่ะ”
ข้างตัวฉันคือเรือนไม้ไผ่ที่ต่อไฟกับท่อแก๊สไว้ พร้อมจุดให้ลุกโพลง กองยางรถยนตร์ที่เผาแล้วและรอเผาอีกจำนวนหนึ่ง ข้างหลังฝังระเบิดไว้อีก ส่วนข้างหน้าฉันห่างไปซัก 30 เมตรเป็นทีมงาน เครน กล้อง ไฟ ถัดไปหลังทีมงานเป็นถนนที่จะเลี้ยวไปเข้าคอกซีซี
โลเคชั่นวัดใจม้ากูเหลือเกินนนน ถ้าซีซีเบี่ยงซ้าย ก็คือพุ่งเข้าหากองไฟ ถ้าซีซีเลี้ยวขวา ก็คือขึ้นเนินยิงธนู ที่ข้างล่างเป็นค่ายคูประตูรบที่จุดไฟเหมือนกัน ถ้าซีซีวิ่งแหกไปข้างหน้า ก็จะชนเครน กล้อง ไฟ แลเหยียบทีมงานให้ได้เลือดตกยางออก และที่เสี่ยงมากคือพอกดระเบิด ซีซีจะพุ่งตัววิ่งออกไปเข้าคอกโดยไม่รอฉันวิ่งลงจากเนินมาขึ้นหลังมัน หรืออย่างร้ายที่สุดก็คือฉันเหยียบไปได้ขาเดียวแล้วโดนซีซีลากไปแห่รอบค่าย ซึ่งก็น่าจะสิ้นใจตายตั้งแต่ยังไม่ไปถึงไหน
“เอายังวะ ได้ทีเดียวนะคราวนี้”
ท่านสั่งงานแบบเบาเสียงพิเศษ เพราะเห็นอาการกันอยู่ว่าหนักจริง จะว่าไปท่านก็ไม่ได้เสียดมเสียดายอะไรถ้าจะต้องฝังระเบิดซ้ำอีกที แต่ที่ไม่ได้แน่ๆ คือม้าฉันไม่มีวันยอมเข้ามาที่เดิมในวันเดียวกันเป็นแน่แท้ ดีไม่ดี จะไม่ยอมเข้ามาอีกตลอดชั่วกัลปาวสาน
เวลาคุณรู้สึกว่า-ฉิบหายแล้ว ฉิบหายแล้ว- มันไม่ใช่แค่อาการตื่นเวทีแบบที่บางคนเป็นหรอกนะ แต่มันคือการสร้างสรรค์จินตนาการ ความหายนะแบบไม่ซ้ำแนวที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของทุกคนและทุกตัวตรงนั้น
แล้วก็จะเริ่มคิดว่า-กูทำไม่ได้ว่ะ-ทำไมต้องเล่นเองเนี่ย เสี่ยงไปมั้ย ตายแล้วท่านจะไปเผาให้หรือเปล่า แม่จะเลี้ยงอาหารอะไรในงานศพ ถ้าจะตกกูตกตรงไหนจะปลอดภัยที่สุด หรือเดินไปบอกท่านเลยวะ ว่าไม่เอาอะ ไม่เล่นแล้ว
รู้ตัวอีกทีฉันก็ขึ้นไปรอคิวบนเนินดินแล้ว
หลังจากเสียงแอคชั่น ภาพทุกอย่างดูจะช้าลงโดยอัตโนมัติ ฉันหันหลังลงจากเนิน พลม้าโดนซีซีสะบัดหลุดจากบังเหียนที่จับอยู่ ลูกชายฉันยกขาหน้าขึ้นสูง ไฟลุกโพลงกลืนกินซากกระท่อมตามจุดที่วางไว้ พลม้าอีกคนยังพอต้านแรงไว้ได้ ฉันวิ่งไปเหยียบโกลน มือข้างที่ถือคันธนูอ้อมไปจับแผงคออีกข้าง นั่งบนอาน จับบังเหียน คว่ำมือ
รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ข้างกล้องแล้ว ครูฝรั่งกับหมอม้าช่วยกันมาทำให้ซีซีสงบลง หลังฉันยังร้อนจากไอระเบิดอยู่เลย หัวใจซีซีเต้นตึกตึกตอนฉันโน้มตัวแนบไปกับแผงคอแล้วกอดมันไว้
“เอ้า ผ่าน” เสียงท่านมุ้ยดังลั่นผ่านไมโครโฟน อากาศเหมือนถูกสูบกลับเข้ามาในกองอีกครั้ง
ฉันตะกายลงจากหลังซีซี เข่าสั่นกึกๆ แล้วกอดมันไว้
“แม่สัญญาว่าจะไม่บ้าทำอะไรแบบนี้อีกแล้วลูก”
ซีซีมองฉันอย่างอ่อนโยน ขมุบขมิบปากไปมา พร้อมถอนหายใจพรืดดดดดดด เออ รู้น่า แกด่าแม่อยู่ เหมือนที่แม่ก็ด่าตัวเองอยู่นี่ล่ะลูกเอ๊ยยยยยยย