1. ในปี 2014 ที่รัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา เด็กหญิงอายุสิบสองปีสองคน ใช้มีดแทงเพื่อนสนิทถึง 19 ครั้ง หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ออกเดินไปในป่าหวังจะได้พบกับสิ่งมีชีวิตซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้ออกคำสั่งให้ทั้งสองแทงเพื่อนของตัวเอง สิ่งมีชีวิตที่ว่านี้มีร่างเหมือนมนุษย์เพศชาย เพียงแต่ในบริเวณซึ่งควรจะมีองค์ประกอบของใบหน้านั้นกลับขาวโพลนและว่างเปล่า เขามีร่างกายที่สูงโปร่ง บ้างก็ว่าสูงถึง 14 ฟุต เด็กหญิงทั้งสองเรียกเขาว่า สเลนเดอร์แมน (Slenderman)
2. Beware of the Slenderman คือสารคดีของช่อง HBO ที่พาเราไปรับรู้เรื่องราวทั้งหมดของคดีสะเทือนขวัญนี้ หนังเริ่มต้นที่การเผยฟุตเทจระหว่างการให้ปากคำของจำเลยทั้งสองถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนั้นตั้งแต่ที่พวกเขาตัดสินใจล่อลวงเพื่อนสนิทไปในป่า และรายละเอียดของเหตุการณ์ต่อจากนั้น ก่อนที่หนังจะตัดสลับจากวิดีโอการให้ปากคำ ไปสู่การสัมภาษณ์พ่อแม่ของเด็กทั้งสอง ดำดิ่งไปถึงวัยเด็กว่าทั้งคู่เติบโตขึ้นในสิ่งแวดล้อมแบบใด หรือมีเหตุการณ์อะไรในอดีตที่คล้ายจะให้คำอธิบายต่อพฤติกรรมของเด็กทั้งคู่บ้าง
เรื่องราวซึ่งเปิดเผยจากปากคำของผู้เกี่ยวข้องนั้นเต็มไปด้วยความสับสน งุนงง และเจ็บปวด พ่อของเด็กคนหนึ่งถึงกับพูดว่า แม้ใครหลายคนพยายามบอกกับเขาว่าเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเลยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ หากแต่เพราะที่ผ่านมาเขาก็รู้เห็นความเป็นไปของลูกสาวตัวเองมาโดยตลอด มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะทำใจยอมรับว่าตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และแม้ว่าเขาจะไม่โทษลูกสาวตัวเอง แต่เขาก็รู้สึกโกรธกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งถ้าเกิดพ่อแม่หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหยื่อเดินมาต่อยหน้าเขาแรงๆ เขาก็คงไม่นึกแปลกใจด้วยเพราะยอมรับต่อความผิดบาปซึ่งไม่อาจปล่อยวางนี้ สารคดีเผยให้เราเห็นถึงบาดแผลของผู้ปกครองซึ่งถูกกะเทาะออกจนเปลือยเปล่า เมื่อพวกเขาต่างก็เศร้าสลด และกล่าวโทษตัวเองว่าคือตัวการซึ่งก่อให้เกิดคดีสะเทือนขวัญนี้
3. แต่อย่างที่ชื่อของมันได้จั่วหัวเอาไว้ว่าให้ระวังสเลนเดอร์แมน สารคดีเรื่องนี้พาเราไปสำรวจประเด็นที่กว้างไกลและใหญ่โตกว่าเหตุการณ์สยองขวัญในเมืองเล็กๆ ด้วยการหยิบเรื่องตำนานพื้นบ้าน หรือ urban legends มาขยายรายละเอียด และสำรวจไปถึงต้นตอของสเลนเดอร์แมนที่วนเวียนอยู่ในการรับรู้ของเด็กๆ ผ่านคำบอกเล่าที่ส่งต่อๆ กันอย่างรวดเร็วราวกับโรคระบาด ประหนึ่งว่าเมื่อเด็กคนหนึ่งเอ่ยขึ้นแค่ว่า เขาเคยได้เจอกับชายร่างสูงคนนี้ ความหวาดกลัว และความอยากรู้ก็แพร่สะพัดอย่างบ้าคลั่ง จนเกิดเป็นความเชื่อเล็กๆ ที่ฝังแน่นอยู่ในการรับรู้ของเด็กๆ
ปัจจัยสำคัญซึ่งช่วยกระพือเรื่องราวของสเลนเดอร์แมนอย่างรวดเร็วก็คืออินเตอร์เน็ต แต่ประเด็นที่น่าสนใจของตำนานหรือความเชื่อนี้คือ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ ย้อนหลังไปไม่เกินปี 2009 เท่านั้น กล่าวคือสเลนเดอร์แมนเป็นเรื่องเล่าซึ่งถูกสร้างขึ้นภายใต้วัฒนธรรมของอินเตอร์เน็ต และเกิดจากจุดตั้งต้นเล็กๆ แค่เป็นเรื่องแต่งสั้นๆ ของใครสักคนหนึ่ง ซึ่งแต่งขึ้นมาเพื่อร่วมกิจกรรมในเว็บไซต์หนึ่งเท่านั้น หาได้เกิดจากจุดเริ่มต้นที่จริงจังหรือเป็นขนบตำนานซึ่งสืบทอดต่อกันมาแต่อย่างใดเลย
แต่ด้วยเหตุผลกลใดก็ไม่อาจเอ่ย เมื่อเรื่องราวสั้นๆ ของสเลนเดอร์แมนที่ได้ตกสู่การรับรู้ของสาธารณะก็ได้ถูกแต่ง เสริม เติม และขยายเนื้อหาออกไป และไม่เพียงแค่เรื่องเล่าที่ถูกเพิ่มไปอย่างไม่มีสิ้นสุด เพราะทั้งภาพวาด เกม หรือวิดีโอคลิปต่างๆ ที่ว่าด้วยสเลนเดอร์แมนก็ผุดขึ้นอย่างกับดอกเห็ด ตอบสนองอย่างกระตือรือร้นต่อเรื่องเล่าสนุกๆ บนอินเตอร์เน็ต ที่ในไม่ช้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปสู่ความเชื่ออันจริงจัง กระทั่งตำนานที่มีอายุไม่ถึงสิบปีดีด้วยซ้ำ ก็ได้นำไปสู่คดีสะเทือนขวัญที่ไม่มีใครนึกถึง
4. ด้วยการตัดสลับระหว่างเนื้อหาส่วนที่เกี่ยวกับรูปคดี และความเป็นมาของสเลนเดอร์แมน (ที่ช่วงกลางๆ หนังเลือกจะพาคนดูไปไกลด้วยการสำรวจถึงการแพร่กระจายของวัฒนธรรม meme ในยุคปัจจุบัน จริงจังถึงขนาดไปสัมภาษณ์ริชาร์ด ดอว์กินส์ ผู้เขียนหนังสือ Selfish Gene อันโด่งดังกันเลยทีเดียว) สารคดีเรื่องนี้จึงคล้ายจะไต่อยู่ระหว่างเส้นแบ่งอันพร่าเลือนระหว่างสิ่งที่เชื่อกับความเป็นจริง โดยเฉพาะในฉากการสัมภาษณ์เด็กหญิงทั้งสองที่แสดงให้เห็นว่าพวกเธอก็เชื่ออย่างจริงจังถึงการมีอยู่ของสเลนเดอร์แมน ดังที่ว่า การแทงเพื่อนสนิทคนนี้ก็เป็นเพราะสเลนเดอร์แมนบอกให้ทำ
ความเชื่ออันจริงจังเช่นนี้เองที่โยนคำถามสำคัญให้กับคนดูโดยเฉพาะกับว่า เมื่อคดีของเด็กหญิงทั้งคู่ที่เทียบกับอายุของทั้งสองแล้วควรจะถูกดำเนินด้วยกฎหมายเยาวชน แต่กลับกลายเป็นว่าด้วยกฎหมายของรัฐวิสคอนซินทำให้ทั้งคู่ต้องถูกดำเนินคดีใน adult court เฉกเช่นผู้ใหญ่ทั่วไป เท่ากับว่า แทนที่เด็กทั้งสองจะถูกส่งตัวเข้าสถานพินิจ แต่พวกเธออาจต้องโทษจำคุกนานกว่า 40 ปี!!
เส้นบางๆ ซึ่งคั่นกลางระหว่างการฆาตกรรมโดยเจตนาซึ่งผ่านการเตรียมการล่วงหน้าอย่างดิบดี หรือการจำใจฆ่าเพราะเชื่อว่ากำลังถูกพลังอำนาจบางอย่างคอยบงการจึงสร้างภาวะอันกระอักกระอ่วนให้กับคนดูอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะในประเด็นของความเชื่อที่จากกรณีนี้ก็คล้ายจะยืนยันว่าแม้โลกจะพัฒนาไปสักแค่ไหน แต่ความเชื่อก็ยังเป็นกลไกสำคัญในการควบคุมพฤติกรรมมนุษย์อยู่ดี
5. โดยสรุปแล้ว Beware of the Slenderman คือสารคดีที่สำรวจความน่าสะพรึงของยุคสมัยที่ความจริง และข่าวลือซ้อนทับกันจนยากจะแยกได้อย่างทรงพลังและน่าหวาดกลัว มันทำให้เราต้องกลับมาสำรวจและหวาดระแวงต่อทุกสิ่งรอบตัวซึ่งไม่อาจแน่ใจได้เลยว่า สิ่งที่เราเชื่อว่าจริงนั้น แท้จริงแล้วอาจเป็นเพียงผลผลิตหนึ่งที่มีจุดตั้งต้นไม่ต่างกับเรื่องราวของสเลนเดอร์แมนก็เป็นได้ นั่นคือ เป็นเรื่องไม่จริงที่ถูกรับรู้ไปแล้วว่าเป็นความจริง