1.
ไบรอัน เจอราร์ด เคลิน (Brian Gerard Kaelin) เดินทางมาลอส แอนเจลิสหรือแอลเอ เพื่อหางานทำเป็นนักแสดงตามที่ตัวเองใฝ่ฝันอยากจะดังในฮอลลีวูด เขามีชื่อเล่นที่ถูกตั้งตามตัวละครของบรูซ ลีในเรื่อง The Green Hornet ว่าเคโต้ ทำให้คนใกล้ชิดเรียกเขาและกลายเป็นชื่อที่ใช้ในวงการคือ เคโต้ เคลิน (Kato Kaelin) อย่างไรก็ดีเคโต้ไม่สามารถไต่ไปเป็นดาราดังได้ เขาเป็นเพียงแค่นายแบบ หรือมีงานการแสดงเล็กๆ น้อยๆ ไม่เป็นที่จดจำเท่าใดนัก
จนกระทั่งเกิดเหตุฆาตกรรมหนึ่งเข้าในวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ.1994 เจ้าหน้าที่ตำรวจรับแจ้งเหตุพบหญิงชายถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม พวกเขาพบว่าหญิงสาวคือ นิโคล บราวน์ ซิมป์สัน (Nicole Brown Simpson) อดีตภรรยาของโอเจ ซิมป์สัน (O.J. Simpson) นักอเมริกันฟุตบอลผิวดำที่มีผลงานลือลั่น เป็นหนุ่มหล่อเจ้าสำราญร่ำรวยมากๆ ส่วนศพผู้ชายนั้นคือ รอน โกลด์แมน (Ron Goldman) ซึ่งเป็นคนรักของนิโคลในตอนนั้น
เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบเหตุฆาตกรรมและตัดสินใจเดินทางไปบ้านโอเจ ซิมป์สัน เพื่อแจ้งข่าวร้ายให้ทราบด้วยตัวเอง แต่ที่บ้านของโอเจไม่มีใครอยู่ เจ้าหน้าที่สืบสวนพบคราบเลือดที่รถซึ่งจอดอยู่หน้าบ้าน จึงตัดสินใจเข้าไปในบ้านทันที แต่ไม่พบใครอยู่ในบ้านประตูล็อก เมื่อเดินไปที่หลังบ้านพบบ้านรับรองแขกหลังเล็กๆ จึงเคาะประตูเรียก
ในตอนนั้นเอง เคโต้ เคลินได้ปรากฏตัวออกมาจากในบ้านแล้วให้การกับตำรวจว่าเขาได้ยินเสียงดังกระแทก 3 ครั้งเหมือนแผ่นดินไหว เมื่อเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนตรวจสอบจุดที่เสียงกระแทกดัง ก็พบถุงมือขวาเปื้อนเลือด พวกเขาเก็บไว้เป็นหลักฐาน จากการตรวจสอบพบว่าเลือดดังกล่าวตรงกับเลือดของโอเจ ซิมป์สัน
วินาทีนั้นนักแสดงโนเนม เคโต้ เคลินจึงกลายเป็นพยานปากเอกในคดีประวัติศาสตร์นี้ทันที
2.
เดิมทีนั้น เคโต้ เคลินไม่ได้พักอยู่ในบ้านพักรับรองแขกในพื้นที่คฤหาสน์ของโอเจ ซิมป์สัน แต่เขาพักอาศัยอยู่กับนิโคล บราวน์ เพราะเป็นเพื่อนกัน ในช่วงที่นิโคลกับโอเจเลิกกันไปนั้น นิโคลชวนเคโต้มาพักด้วยกัน แต่โอเจไม่ชอบและออกจะหึง เพราะเขาพยายามง้อคืนดีเธออยู่ จึงไม่ควรให้ผู้ชายมาพักกับอดีตคนรักเก่า จึงเสนอให้เคโต้มาพักในพื้นที่คฤหาสน์ของเขาเองจะเหมาะสมกว่า
ก่อนเกิดเหตุฆาตกรรม เคโต้เดินทางไปกินอาหารฟาสฟู้ดกับโอเจ ก่อนกลับมาที่บ้าน ระหว่างที่เขาคุยโทรศัพท์กับเพื่อนในบ้าน เขาได้ยินเสียงของตกกระแทกดัง 3 ครั้ง ตอนนั้นเคโต้ชั่งใจว่าจะเปิดออกไปหาดีไหมว่าเสียงดังกล่าวคืออะไร แต่เขาไม่มีไฟฉายจึงไม่ได้ออกไปดู แต่กลับตัดสินใจเดินทางไปที่คฤหาสน์ใหญ่ของโอเจแทน เพื่อขอยืมไฟฉาย
ในตอนนั้นโอเจ ซิมป์สันกำลังเก็บของเพื่อจะไปขึ้นเครื่องบินไปชิคาโก้ โดยมีถุงกอล์ฟ และกระเป๋าสะพายอยู่ใบ ซึ่งระหว่างที่ขนของขึ้นรถรับส่งจากสนามบินอยู่นั้น เคโต้จะเข้าไปยกกระเป๋าสะพายนั้นขึ้นรถด้วย
แต่โอเจบอกว่าไม่ต้องและอย่ายุ่งกับมัน เขาจะขนขึ้นเอง ต่อมากระเป๋าใบนั้นจะไม่มีใครในโลกได้เห็นอีกเลยว่าอยู่ที่ไหน และมีอะไรบรรจุอยู่ในนั้น
ผ่านไปหลายปีเคโต้เล่าว่า “ผมไม่รู้ว่าอะไรอยู่ในนั้น แต่มันต้องเป็นอะไรสักอย่างที่ทำให้โอเจ ซิมป์สันถึงกับต้องพูดว่า อย่าแตะต้องมัน”
คดีนี้อยู่ในความสนใจของอเมริกันชนอย่างมาก เพราะความที่โอเจ ซิมป์สันเป็นนักกีฬาชื่อดังมากความสำเร็จและเป็นคนดำ ณ ตอนนั้นแอลเอพึ่งจะผ่านพ้นการจลาจลประท้วงหลังตำรวจรุมซ้อมคนดำแล้วถูกถ่ายภาพเหตุการณ์ไว้ได้ ความคุกรุ่นระหว่างสีผิวเห็นได้ชัดและสะท้อนผ่านคดีนี้ คนผิวขาวเชื่อว่าโอเจ ซิมป์สันฆ่าภรรยากับชู้รักจริง โดยอาศัยช่วงที่ไปกินอาหารกับเคโต้กลับมา โอเจได้ขับไปหาอดีตคนรักและพบว่าอยู่กับชู้ใหม่ ทำให้โมโหและใช้ไม้กอล์ฟกระหน่ำตีทั้งสองฝ่ายจนตายคากองเลือด โดยระหว่างกระหน่ำตีนั้นทำให้นิ้วมือของโอเจเกิดบาดแผลด้วย
ข้อมูลนี้ตรงกับที่ตำรวจและอัยการพบเป็นหลักฐาน เพราะที่ผ่านมานิโคลมีปัญหารับมือกับอารมณ์หึงหวงอย่างรุนแรงของโอเจมาเสมอ และเคยถูกซ้อมทำร้ายร่างกายอยู่หลายครั้งจนต้องขอหย่าเพราะความกลัว แต่โอเจพยายามจะง้อเธออย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อได้พบภาพบาดตากับชู้รัก เขาจึงก่อเหตุฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมนี้
อย่างไรก็ดีในส่วนของคนผิวดำ พวกเขากลับเชื่อว่าตำรวจเอาหลักฐานมายัดให้โอเจ เพียงเพราะเขาเป็นคนดำ เพราะคนดำหลายคนเจอการทำงานของตำรวจที่เหยียดผิวมาโดยตลอด เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นให้ทีมทนายความของโอเจ ที่ได้รับฉายาจากสื่อมวลชนว่า ‘ดรีมทีม’ เอาประเด็นเรื่องนี้มาสู้โน้มน้าวใจลูกขุน ยิ่งพวกเขามีหลักฐานว่าตำรวจที่ค้นพบถุงมือเปื้อนเลือดซึ่งคาดว่าโอเจจะปาโยนทิ้ง แล้วเกิดเป็นเสียงกระแทกดัง 3 ครั้งเหมือนที่เคโต้ได้ยินนั้น เป็นตำรวจที่เหยียดผิวคนดำมาโดยตลอด
เมื่อคดีมีความเห็นแบ่งกันเป็น 2 ฟากอย่างรุนแรงนี้ ทำให้สื่อมวลชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก พวกเขางัดทุกเรื่องหาทุกข้อมูลมานำเสนอ ทั้งการหาตัวพยานที่เห็นเหตุการณ์ เรื่องเล่าของโอเจกับนิโคล บราวน์ หรือคนรอบข้างต่างถูกงัดแงะนำเสนอผ่านสื่อมวลชนจนหมดกลายเป็นประเด็นข่าวใหญ่นำเสนอทุกวี่ทุกวันแทบจะทุกชั่วโมงตลอดเวลา
นั่นจึงทำให้คดีนี้ถูกเรียกขานในเวลาต่อมาว่า
คดีแห่งศตวรรษ
3.
เคโต้ เคลิน เป็นหนุ่มผิวขาวผมยาว ยังหนุ่มแน่นในตอนนั้น ตอนที่เขาถูกนำตัวไปขึ้นศาลให้อัยการซักถามนั้น เขาได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมที่ติดตามชมคดีแห่งศตวรรษนี้ คำพูดคำจาด้วยผลงานการอวยของสื่อมวลชนที่พยายามหาประเด็นข่าวได้แปรเปลี่ยนนักแสดงโนเนมคนหนึ่งให้กลายเป็นเซเลบขึ้นมาในทันที
การซักเคโต้ต่อเนื่องหลายวันผ่านการนำเสนอของสื่อมวลชน ได้ทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา ถึงขนาดมีการทำโพลล์ระบุว่า มีคนอเมริกัน 74% ที่จดจำเขาได้ ซึ่งมากกว่าการที่มีคนอเมริกันแค่ 15% เท่านั้นที่สามารถจดจำรองประธานาธิบดีอัล กอร์ (Al Gore) ในตอนนั้นได้
ในตอนนั้นเคโต้อายุ 35 ปีแล้ว แต่เพราะการเป็นพยานในคดีนี้ ทำให้เขามีงานแสดงเข้ามาในทันที ความฝันที่อยากเป็นนักแสดงเจิดจ้ามากขึ้น อันที่จริงไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ตระกูลคาร์เดเชียนก็ได้รับอานิสงค์ความดังจากคดีนี้ด้วย หลังโรเบิร์ต คาร์เดเชียน (Robert Arthur Kardashian) เข้าไปเป็นทนายความให้กับโอเจในฐานะเพื่อนรัก ส่งผลให้อดีตภรรยาของโรเบิร์ตและทีมลูกๆ สามารถกรุยทางเข้าสู่วงการบันเทิงและกลายเป็นตระกูลที่จับธุรกิจด้านนี้ได้เก่งร่ำรวยเอามากๆ ในเวลาต่อมา
สุดท้ายผลในคดีนี้กลายเป็นว่าโอเจ ซิมป์สันพ้นผิดจากคดีฆาตกรรม สร้างความตกตะลึงของทั้งสังคม ถึงขั้นที่ประธานาธิบดีบิล คลินตัน (Bill Clinton) ในตอนนั้นต้องออกแถลงข่าวชี้ให้เห็นปัญหาการเหยียดผิวในอเมริกา ซึ่งเป็นหมัดเด็ดให้ทีมดรีมทีมใช้สู้ในคดีนี้จนสามารถโน้มน้าวใจลูกขุนที่เป็นคนผิวดำเสียมากได้ แม้สุดท้ายทางญาติของผู้เสียชีวิตทั้งสองจะฟ้องแพ่งโอเจจนศาลตัดสินให้โอเจต้องชดใช้เงินจากคดีนี้ก็ตาม
แต่ผลการตัดสินครั้งนี้ถือเป็นประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่ง
ที่สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาในสังคมที่บิดเบี้ยว
ถูกสะท้อนผ่านกระบวนการยุติธรรมอย่างเจ็บปวด
ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อผู้เสียชีวิตทั้งสองคนเลยแม้แต่น้อย
สำหรับโอเจ ซิมป์สันนั้น ในเวลาต่อมาเขาจะถูกจับในข้อหาพยายามปล้นและลักพาตัว พึ่งจะออกจากคุกได้ไม่นาน ส่วนเคโต้ เคลินนั้นแม้จะมีชื่อเสียงเงินทองเข้ามามากมาย แต่เขาก็ไม่ได้โด่งดังมากนัก พอถึงจุดหนึ่งคนก็เริ่มลืมเลือนเขาไปเมื่อคดีของโอเจยุติลงและมีข่าวใหญ่ใหม่ๆ เข้ามาแทน
อย่างไรก็ดีหลังคดีของโอเจสิ้นสุดลงได้ไม่นาน สื่อฉบับหนึ่งได้นำภาพเปลือยท่อนบนของเคโต้มาตีพิมพ์เป็นภาพหน้าปกพร้อมให้ข้อมูลว่า ตำรวจสงสัยว่าเคโต้ต่างหากอาจเป็นคนก่อเหตุฆาตกรรมในครั้งนี้ นั่นทำให้สังคมจับจ้องเคโต้อีกครั้ง จากนักแสดงโนเนมเป็นพยาน เป็นคนดัง ตอนนี้เขากลายเป็นฆาตกรไปเสียได้ นั่นทำให้เคโต้ต้องฟ้องศาลเรียกร้องค่าเสียหายครั้งใหญ่ในเรื่องนี้ เพราะเอาเข้าจริงแล้ว เคโต้ยืนยันว่าเขาไม่เคยเป็นเพื่อนของโอเจเลย แต่เขาสนิทกับนิโคลในฐานะเพื่อนยิ่งกว่า สิ่งที่เขาถูกกล่าวหามันจึงกระทบกระเทือนจิตใจมาก
ตัวเคโต้เองต้องเผชิญกับการถูกคนตราหน้าว่ารู้เห็นเป็นใจช่วยปกปิดความผิดโอเจ ถูกด่าถูกข่มขู่คุกคามถึงขั้นจะถูกทำร้ายร่างกายเวลาเจอคนแปลกหน้าในที่สาธารณะ นี่คือสิ่งที่ชีวิตเขาประสบเป็นผลพวงที่ได้มากับการมีชื่อเสียงโด่งดังในวงการบันเทิงที่ถูกยกยอปอปั้นผ่านสื่อมวลชนนั่นเอง
ในเวลาต่อมาเขาเคยให้สัมภาษณ์คิดว่าโอเจน่าจะเป็นฆาตกร แต่ก็เป็นสื่อมวลชนฉบับหนึ่งที่ดันไปพาดหัวว่าเคโต้รู้ว่าโอเจเป็นฆาตกร นั่นทำให้เขาต้องออกมาแก้ข่าวอีกครั้ง ยืนยันว่ามันเป็นเพียงความคิดเขา ไม่ได้มีหลักฐานอะไรเลย เพราะเขาก็ไม่รู้เรื่องในตอนนั้น แค่ให้การในสิ่งที่เห็นแค่นี้
ตลอดหลายปีความสัมพันธ์ระหว่างเคโต้กับสื่อเป็นความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งชัง สื่อทำให้เขาดังได้ และก็บดขยี้ให้เขากลายเป็นฆาตกร คนโกหก ไอ้หน้าโง่ แถมทุกวันนี้เคโต้ยังคงโดนล่าแม่มดในโลกออนไลน์และยังต้องเจอเสียงด่าในโลกชีวิตจริงอยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะชี้แจง หรือพูดเพียงใด คนจำนวนหนึ่งก็ปักใจอคติกับเขาไปแล้ว และสำหรับตัวเขานั้นกลับกลายเป็นมีมลทิมมัวหมองในคดีโอเจ ทั้งที่ไม่มีหลักฐานสักชิ้นระบุว่าเขาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ก็ตาม
ความมัวหมองมีมลทินเหล่านี้
ล้วนเกิดขึ้นจากการจุดกระแส
โดยสื่อมวลชนทั้งนั้น
สรุป
เอาเข้าจริงเคโต้เองก็ไม่คิดว่าชีวิตเขาจะลงเอยแบบนี้ หากเขาตัดสินใจย้ายไปพักที่อื่นซึ่งไม่ใช่คฤหาสน์ของโอเจ ซิมป์สัน ยอมอยู่ห้องพักเล็กๆ ราคาถูก เขาอาจจะไม่ได้มีเส้นทางแบบนี้ แม้จะมีชื่อเสียงและรายได้ แต่เขาก็ไม่ใช่คนดังอะไรมากในวงการฮอลลีวูด เป็นได้เพียงคนที่ถูกจดจำว่าคือ พยานในคดีโอเจ ซิมป์สันมากกว่า และมันจะติดไปกับตัวเขาตลอดชีวิตไม่มีวันล้างหาย ซึ่งส่วนหนึ่งมันเป็นผลงานที่เกิดจากการนำเสนอของสื่อมวลชนเอง ที่ทำให้เขากลายเป็นคนดังทั้งในทางที่น่าสงสัยและน่าเสื่อมเสีย นับเป็นผลงานที่น่าเจ็บปวดสำหรับมนุษย์คนหนึ่งที่ถูกกระทำโดยคนที่เรียนมาในสายงานค้นหาข้อเท็จจริง
ท้ายสุดนี้ขอหยิบยกข้อความบางส่วนที่เคโต้เขียนถึงสื่อมวลชนว่า
“นักข่าวจากสื่อดังๆ เขียนข่าวเกี่ยวกับตัวผมโดยอ้างอิงคำพูดจากการสัมภาษณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้น นักข่าวต่างเต้ามันขึ้นเอง ผมต้องคอยแก้ไขทีละประเด็น น่าเสียดายที่ผมไม่มีเงินมากพอจะร้องขอความยุติธรรมต่อสถานที่ซึ่งผมหวังว่าจะไม่ต้องไปอีก นั่นก็คือศาล พวกสื่อบอกผมว่าจะเขียนคำขอขมา แต่ผมไม่เคยเห็นมันเลยสักครั้ง”