กรุงลอนดอน เป็นมหานครอีกแห่งที่หลายคนอยากเป็นท่องเที่ยวหรือศึกษาต่อ หากมาเหยียบแล้วก็รู้สึกว่าจะต้องไปที่นั่นที่นี่ ไม่ให้พลาด อันได้แก่หอนาฬิกาบิ๊กเบน รัฐสภาอังกฤษ โบสถ์เวสต์มินสเตอร์ และพิพิธภัณฑ์บริเตน (British Museum) ก่อนจะไปชอปปิ้งที่ออกซ์ฟอร์ด สตรีท หรือพิคคาดิลลี เซอร์คัสอะไรก็ว่าไป ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้าไปเจอชาวไทยในสถานที่เหล่านี้
ผู้เขียนเองก็ไม่รู้จักมัคคุเทศก์ที่พาคนอื่นมาเที่ยวอังกฤษอย่างเป็นจริงเป็นจังเลย หนังสือนำเที่ยวอังกฤษก็ใช้บ้าง แต่ก็อยากจะลองเดาว่า ไฮไลท์ของบริติช มิวเซียมคืออะไร ถ้าเป็นไกด์แล้วต้องจัดทัวร์แบบที่ลูกค้าไม่มีเวลามาก แต่อยากไปพิพิธภัณฑ์บริเตนจะพาไปดูอะไร พิพิธภัณฑ์บริเตนนั้นเข้าได้ฟรี (ยกเว้นนิทรรศการเฉพาะ) และกว้างใหญ่ไพศาล เดินกันจนปวดเท้าแน่ และที่สำคัญ อยู่จนปิดก็อาจจะได้ชมข้าวของในนั้นไม่ครบด้วย (ถ้าใช้เวลาดูนานๆ) ผู้เขียนขอเดาว่า ทุกคนน่าจะพาไปที่ห้องอียิปต์เป็นหลัก ซึ่งหลักๆ ก็มีสองส่วน คือส่วนที่จัดแสดงมัมมี่และวิถีชีวิตชาวอียิปต์โบราณ กับห้องรวมโอเบลิสก์และรูปสักการะเทพเจ้าอียิปต์ต่างๆ ซึ่งมีไฮไลท์เป็นศิลาโรเซตตา (Rosetta Stone) คู่มือในการอ่านอักษร
เฮียโรกลิฟฟิก (Hieroglyphic) ของชาวอียิปต์โบราณนั่นเอง
แต่วันนี้ ผู้เขียนจะไม่ขอพาทุกท่านไปห้องอียิปต์ค่ะ แต่เข้าใจว่าจะพาไปห้องที่ดังพอสมควรเช่นกันนั่นคือห้องกรีกโรมัน (เข้าใจว่าไม่ไกลจากห้องโอเบลิสก์และศิลาโรเซตตามากนัก) ในห้องนั้น ถ้าได้ผู้เขียนเป็นมัคคุเทศก์ ผู้เขียนก็อาจจะเล่าว่าเทพองค์นั้นองค์นี้เป็นใคร ตำนานเบื้องหน้าเบื้องหลังเป็นยังไง ประติมากรรมหินอ่อนเอลจิน (The Elgin Marbles) ซึ่งอังกฤษไปชะลอมาจากกรีซสมัยต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ไปเอามาได้ยังไง ตอนนี้เขาทะเลาะอะไรกัน คงพูดได้ประมาณนี้
แต่พิพิธภัณฑ์ก็ไม่ได้มีแต่วัตถุจัดแสดง แต่มีคนที่เข้ามาชมด้วย ทราบไหมคะว่า ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ห้องกรีกโรมันไม่ได้เป็นแค่ห้องให้ความรู้เรื่องศิลปวัตถุหรือเทวตำนาน แต่เป็นสถานที่ที่กลุ่มชายรักชายได้ปลดปล่อยความปรารถนาของตัวเอง ในสังคมที่ตีกรอบ กีดกันเพศทางเลือกด้วย ณ ห้องประติมากรรมกรีกที่คุณยืนอยู่ ชื่นชมรูปปั้นเทพเทพีนี่แหละค่ะ ถ้าอยากทราบว่าเพราะอะไร ลองนึกภาพการยืนดูหุ่นชายหนุ่มเล่นกีฬาโอลิมปิกล่ำสันแต่เปลือยร่างดูสิคะ ในอังกฤษสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 สมัยที่มีกฎข้อห้ามเรื่องเพศมากมาย เราจะไปดูชายหุ่นล่ำที่ไหนโดยไม่ดูผิดสังเกตได้เท่าที่นี่ สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยรูปปั้นของเทพบุตรกรีกอันหล่อเหลาและล่ำสันมากมาย นักเขียนชายรักชายในสมัยนั้นหลายๆ คนได้บรรยายประติมากรรมให้ห้องกรีกไว้โดยแสดงนัยทางเพศไว้ เช่น โคลงบทที่ 51 ของ เอ อี เฮาสมัน ได้พูดถึงการได้แรงบันดาลใจจากการมองตารูปปั้นชายหนุ่มในห้องกรีก โดยอาจมองได้ว่าไม่ต่างจากการบังเอิญสบตากับชายหนุ่มหน้าตาดีในเมือง หรือนักวิจารณ์ศิลปะอย่างวอลเทอร์ เพเทอร์ ได้เขียนถึงรูปปั้นนักกีฬากรีกว่า ปากที่อ้าออกนั้นเหมือนดอกไม้ที่แย้มบาน
นักคิดนักเขียนสมัยนั้นหลายคนที่เป็นชายรักชายได้เขียนถึงห้องกรีกที่พิพิธภัณฑ์บริเตนไว้หลายคน หลายๆ คนคงมองว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่มันไม่ใช่แค่ว่า ห้องกรีกมีผู้ชายหล่อๆ ล่ำสัน อย่างเดียว กลุ่มแอคทิวิสต์เพื่อสิทธิชายรักชายในสมัยนั้นกลุ่มหนึ่งเชื่อมั่นในการฟื้นฟูวัฒนธรรมกรีกเพื่ออธิบายและสร้างความชอบธรรมให้แก่ความปรารถนาทางเพศที่มีต่อชายอื่น โดยยกย่องเชิดชูการให้ความรู้แบบกรีกที่มาจากความสัมพันธ์ระหว่างชายสูงอายุและชายหนุ่ม แอคทิวิสต์กลุ่มนี้เชื่อมั่นว่าค่านิยมแบบกรีกโรมันในทัศนคติของพวกเขานั้นจะช่วยรักษาเมืองที่กำลังเสื่อมทรามในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ได้เพราะเขามองว่าชาวกรีกโรมันนั้นให้คุณค่ากับการพัฒนาร่างกายและจิตใจของตนเอง (ดูจากเรือนร่างอันกำยำและสุขภาพดี) และนำไปสู่การตระหนักรู้ถึงความปรารถนาทางเพศและการควบคุมความปรารถนานั้น ต่างจากกรุงลอนดอน ในขณะนั้น ซึ่งเต็มไปด้วยความเสื่อมในระดับเศรษฐกิจและสังคม (ซึ่งเต็มไปด้วยคนยากจนและความเสื่อม ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยแสงสี ร้านรวงต่างๆ แถมยังสกปรกและเสื่อมโทรมในทางกายภาพ) ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่แอคทิวิสต์กลุ่มนี้จะชื่นชมความเป็นประชาธิปไตยของชาวกรีกด้วย เพราะเขาต้องการสร้างความเท่าเทียมในสังคม ผ่านความสัมพันธ์ชายรักชายที่ข้ามชนชั้น
ถึงตรงนี้ต้องอธิบายเรื่องชนชั้นกับเพศวิถีแบบรักเพศเดียวกันในหมู่ผู้ชายก่อนว่าก่อนว่า ในศตวรรษที่สิบเก้าในอังกฤษ ชนชั้นแรงงานชายบางคนนั้นขายตัวเพื่อหารายได้เสริมตามสวนสาธารณะต่างๆ (เช่นไฮด์ ปาร์ค (Hyde Park)) และบางคนมักหารายได้ต่อเนื่องโดยการแบล็คเมลชนชั้นกลางหรือชนชั้นสูงที่เป็นลูกค้าตัวเอง อาชีพที่มักจะขายตัวประกอบด้วยได้แก่ทหาร นักแสดง เด็กส่งโทรเลข เป็นต้น ส่วนบรรดาแอกทิวิสต์เหล่านี้แน่นอนว่าเป็นชนชั้นสูงหรือชนชั้นกลางระดับสูงที่มีโอกาสเรียนเกี่ยวกับปรัชญากรีกโรมัน รักข้ามชนชั้น (ข้ามมาผูกพัน?) จึงไม่เป็นเพียงการแสดงความปรารถนาต่อชนชั้นแรงงานเพศชาย แต่เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์กับชนชั้นที่แตกต่างอันนำไปสู่ประชาธิปไตยและความเป็นเสรีอีกด้วย จอร์จ ไอฟส์ (George Ives) นักเขียนและนักต่อสู้เพื่อสิทธิชายรักชาย ได้ตั้งชื่อสมาคมต่อสู้เพื่อสิทธิเพศที่สามของเขาว่า The Order of Chaerona ชื่อ Chaerona นี้มาจากชื่อการรบพุ่งครั้งหนึ่งที่กองทหารชาวธีบส์ได้ชัยชนะจากความสามัคคีและผูกสมัครรักใคร่กัน ความรักใคร่กันในหมู่ทหารชาวธีบส์นี้เองที่ไอฟส์มองว่าไม่ต่างจากการผูกสมัครรักใคร่กันกลุ่มชายรักชายต่างชนชั้นที่จะร่วมกันต่อสู้เพื่อสิทธิของตัวเองและปฏิรูปสังคมไปด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม แนวคิดบูชากรีกของแอคทิวิสต์เพื่อกลุ่มชายรักชายกลุ่มนี้มีประเด็นน่าตั้งคำถามมากมาย
ภาพสังคมและวัฒนธรรมกรีกโบราณที่แอคทิวิสต์กลุ่มนี้นำเสนอนั้นเป็นเพียงแค่การเลือกนำเสนอ เนื่องจากนักคิดกลุ่มนี้ต้องการรักษาความป่วยไข้ของเมือง ภาพวัฒนธรรมกรีกที่นำมาเป็นแบบอย่างจึงเป็นภาพทุ่งนาป่าเขาอันสงบร่มเย็น ผู้คนอาศัยอยู่กับธรรมชาติอย่างเรียบง่าย โดยปฏิเสธความไม่เท่าเทียมในสังคมกรีกโบราณ ผู้ชายกรีกสูงอายุนั้นไม่เพียงมีสัมพันธ์ทางเพศกับชายหนุ่มเพื่อสั่งสอน แต่เป็นไปเพื่อธำรงอำนาจของตัวเองเอาไว้ เพศสัมพันธ์สำหรับชายสูงอายุของกรีกเป็นเครื่องแสดงอำนาจของตนเองเหนือสิ่งที่ด้อยกว่า อันได้แก่ ชายหนุ่ม ผู้หญิง และทาส นอกจากนี้ สังคมประชาธิปไตยของกรีกก็ไม่ได้กระจายอำนาจลงทั่วถึงทุกคนจริง ผู้หญิงไม่ได้สิทธิเลือกตั้ง ผู้ชายนั้นต้องมีเงินมากพอจึงจะมีสิทธิเลือกตั้งได้ นอกจากนี้ แอคทิวิสต์กลุ่มนี้รับความ ‘สาว’ ไม่ได้ มองว่าผู้ชายที่แต่งตัวเป็นผู้หญิงหรือมีลักษณะเหมือนผู้หญิงนั้นป่วยไข้ ไม่ใช่ผู้ชายที่รักษาสุขภาพร่างกายได้ดีอีกด้วย ผู้ชายที่แต่งเนื้อแต่งตัวมากๆ ก็ถือว่าป่วยไข้ เสื่อมทราม เพราะหมกมุ่นกับวัตถุและเปลือกนอก
กลุ่มแอคทิวิสต์กลุ่มนี้ถูกวิพากษ์จากนักคิดว่าด้วยเพศวิถีแบบชายรักชายอีกลุ่มหนึ่ง นักคิดอีกกลุ่มนี้ตั้งคำถามกับศีลธรรมทางเพศและทัศนคติที่ว่าเพศวิถีแบบชายหญิงเป็นเรื่องธรรมชาติ โดยเน้นย้ำการแต่งตัวหรือตบแต่งให้ดูมากเกินไป และเชิดชูศิลปะและความปลอม มากกว่าความจริง ความเที่ยงแท้ และธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมวิกตอเรียนยึดถือและมองว่าเป็นเครื่องเยียวยาสังคมอันเสื่อมทราม ความเป็นชายและหญิงถูกมองว่าเป็นปกติและเป็นธรรมชาติ ดังนั้น ธรรมชาติจึงไม่ใช่สิ่งที่จะเยียวยาสังคมที่มีอคติต่อกลุ่มเพศหลากหลาย ตามแบบที่กลุ่มแรกเลือกใช้ แต่ธรรมชาติที่เยียวยา อ่อนโยน และเรียบง่ายนั้นเป็นเพียงภาพมายาและศิลปะเกี่ยวกับธรรมชาติเท่านั้น นักคิดในกลุ่มนี้ได้วิพากษ์แนวคิดแบบกรีกโรมันในนวนิยายและงานเขียนของตนเอง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ The Picture of Dorian Gray ของ ออสการ์ ไวลด์ นวนิยายเรื่องนี้วิจารณ์ทั้งความสัมพันธ์ของชายสูงอายุและชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะอยู่ในรูปแบบของการอบรมสั่งสอน และวิจารณ์ความเพ้อฝันและจินตนาการเกี่ยวกับภาพท้องทุ่งของกรีกอันเรียบง่ายและงดงามโดยแทบจะปฏิเสธความจริง ชื่อของดอเรียนก็มีที่มาจากรากศัพท์คำว่า Dorian ที่แปลว่าชาวกรีก (เหมือนหัวเสา Doric) แต่ Dorian นั้นถึงแม้จะใบหน้างดงาม ดูบริสุทธิ์ แต่กลับเป็นตัวแทนของความเสื่อมทรามเสียเอง
แต่ถ้าจะกลับมาที่พิพิธภัณฑ์บริเตนของเรา นักเขียนท่านหนึ่งได้ใช้พื้นที่ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ตอบโต้แนวคิดของกลุ่มนิยมกรีกด้วย นั่นคือนวนิยายเรื่อง Maurice ของ อี เอ็ม ฟอร์สเตอร์ (E. M. Forster) นวนิยายเล่มนี้เขียนขึ้นราวๆ ค.ศ. 1914 แต่ได้ตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1971 หลังจากยกเลิกกฎหมายความผิดว่าด้วยการร่วมเพศทางเวจมรรค (sodomy) และความผิดว่าด้วย “พฤติกรรมไม่เหมาะควรอย่างยิ่ง” (gross indecency) ระหว่างบุรุษแล้ว (พฤติกรรมไม่เหมาะควรอย่างยิ่งเป็นคำเรียกพฤติกรรมทางเพศระหว่างเพศชายด้วยกัน) ฟอร์สเตอร์เขียนนวนิยายเล่มนี้โดยได้แบบอย่างจาก เอ็ดเวิร์ด คาร์เพนเทอร์ (Edward Carpenter) นักเขียนและแอคทิวิสต์กลุ่มนิยมกรีก และ จอร์จ เมอร์ริล (George Merril) คู่ชีวิตชนชั้นแรงงานของเขา อย่างไรก็ตาม นวนิยายเรื่องนี้ไม่ได้เดินตามค่านิยมของกลุ่มนิยมกรีกตามที่ได้กล่าวไปแล้ว
Maurice (มอริส) เป็นนวนิยายว่าด้วยชีวิตของชายหนุ่มชื่อ มอริส ฮอลล์ (Maurice Hall) ซึ่งค่อยๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเพศวิถีของตนเองที่แตกต่างจากคนอื่น ภายหลังได้เข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย และได้พบกับไคลฟ์ เดอแรม (Clive Durham) เพื่อนนักศึกษาที่แนะนำให้เขารู้จักปรัชญากรีกและเพศวิถีแบบชายรักชาย ภายหลังทั้งสองได้คบหากัน แต่ไคลฟ์ตัดสินใจแต่งงานและเลิกคบหากับมอร์ริส หลังแต่งงาน ไคลฟ์ชวนมอริสมาเยี่ยมคฤหาสน์ต่างจังหวัด มอริสจำใจเดินทางไป แต่แล้วเขาก็ได้พบกับอเล็ก สกัดเดอร์ (Alec Scudder) คนรับใช้ที่คอยช่วยเหลือคนงานที่ดูแลเรื่องการล่าสัตว์ในคฤหาสน์ คืนหนึ่ง มอริสและอเล็กได้ร่วมรักกัน (ได้ยังไงไปอ่านเอง) แต่แล้วอเล็กก็คิดจะหาทางแบล็คเมลมอริสเพราะโกรธที่มอริสไม่ยอมไปเจอกันตามที่นัดไว้ และคิดว่ามอริสเห็นตัวเองเป็นของเล่น (เขียนบอกด้วยว่า ผมไม่ได้รักใคร่อะไรคุณนักหรอก ตามธรรมชาติ ผมก็ต้องชอบผู้หญิงอยู่แล้ว) อเล็กเขียนจดหมายติดต่อให้มอริสไปเจอตัวเองที่พิพิธภัณฑ์บริเตนเพื่อเจรจาตกลงกันเรื่องเงิน แต่สถานการณ์กลับพลิกผันไป เล่าแค่นี้แล้วกัน ถ้าไม่มีเวลาอ่าน ลองหาหนังดูก็ได้ค่ะ นับตั้งแต่รอบปฐมทัศน์ หนังเรื่องนี้ก็ 30 ปีพอดีค่ะ (เขาฉลอง 30 ปีด้วยการเอามาลงโรงฉายใหม่แบบคมชัดด้วยนะคะ) นำแสดงโดย เจมส์ วิลบี (รับบทมอริส) รูเพิร์ต เกรฟส์ (รับบทอเล็ก) และฮิว แกรนท์ (รับบทไคลฟ์) ตอนนั้นฮิว แกรนท์ยังไม่มีริ้วรอยบนใบหน้าเลยค่ะ
ถ้าจะบอกว่านวนิยายเรื่องมอริสเดินตามค่านิยมของพวกนิยมกรีก ก็อาจจะไม่ถูกนัก ที่พิพิธภัณฑ์บริเตนนั้น ทั้งคู่ไม่ได้คืนดีกันที่ห้องกรีกโบราณ แต่เป็นห้องอัสซีเรียน (Assyrian) ซึ่งเป็นอารยธรรมในลุ่มแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส ในขณะที่กลุ่มนิยมกรีกมองว่าการชมศิลปะกรีกซึ่งนำเสนอภาพมนุษย์แบบเสมือนจริงคือการเรียนรู้ธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ แต่นวนิยายเรื่องนี้กลับให้ความสำคัญกับศิลปะซึ่งเน้นจินตนาการและแสดงการต่อรองกับธรรมชาติและการสรรค์สร้างโลกในแบบใหม่ที่อยู่นอกเหนือ ‘ธรรมชาติ’ ที่ตายตัว ตามแบบที่กลุ่มนิยมกรีกนิยาม (นั่นคือธรรมชาติแบบทุ่งหญ้าเขียวขจี น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา ซึ่งสัมพันธ์กับธรรมชาติของมนุษย์ที่สุขภาพดี มีเรือนร่างสวยงาม แสดงถึงความเป็นชาย) เรื่องเริ่มขึ้นด้วยการนัดพบกันที่พิพิธภัณฑ์บริเตนเพื่อตกลงเรื่องการแบล็คเมล แต่มอริสทำไม่สนใจ ก่อนจะเริ่มคุยว่า ความเป็นธรรมชาติแบบที่อเล็กบอกในจดหมายนั้นแตกต่างจากธรรมชาติของเขา เขาไม่มีทางจะชอบผู้หญิงหรือแต่งงานกับผู้หญิงได้ อเล็กเริ่มสนใจและลองคุยต่อ แต่แล้วทั้งสองก็มาเจอกับประติมากรรมรูปวัวมีปีกตามแบบอัสซีเรียน อเล็กเห็นแล้วตกตะลึงจนลืมเรื่องแบล็คเมลไป ในใจกลับสงสัยใคร่รู้จนถามออกมาว่า “เขาต้องมีเครื่องจักรกลไกที่มหัศจรรย์มากๆ แน่เลย เขาถึงสร้างอะไรแบบนี้ได้” มอริสเริ่มคุยด้วย จนทั้งสองสังเกตเห็นว่า ไม่เพียงแต่วัวที่ตัวเองเห็นอยู่นั้นจะมีปีกแล้ว ยังมีห้าขาอีกด้วย เมื่อสังเกตเห็นความแปลกประหลาดนั้นแล้วก็นึกขันจนยิ้มให้กัน แต่จากนั้นอเล็กก็นึกขึ้นได้และกลับไปเจรจาเรื่องแบล็คเมลอีกครั้ง
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้เขียนคือการจัดวางประเด็นการถกเถียงเรื่อง ‘ธรรมชาติ’ ก่อนที่ทั้งสองจะได้พบกับงานศิลปะซึ่งขัดแย้งกับ ‘ธรรมชาติ’ ตามที่ตนเองรู้จักมาก่อน
ในขณะที่ศิลปะแบบกรีกชวนให้เราชื่นชมภาพมนุษย์สมบูรณ์ ตามลักษณะศิลปะแบบเสมือนจริง งานอัสซีเรียนกลับทำให้ผู้เสพงานเห็นทัศนะการมองโลกที่แตกต่างจากการอ้างความสมจริงหรือธรรมชาติ ท้ายที่สุด ความเป็นธรรมชาติและความจริงนั้นเป็นข้ออ้างของสังคมวิกตอเรียนที่ใช้ยืนยันความเป็นปกติธรรมชาติของรักต่างเพศ (คนวิกตอเรียนมองว่าเพศวิถีแบบรักเพศเดียวกันนั้น ‘ผิดธรรมชาติ’ หรือ unnatural) ธรรมชาตินั้นถูกมนุษย์เสริมเติมแต่งอยู่เสมอ (แม้แต่การแยกธรรมชาติออกไปจากตัวเองก็ดูจะเป็นการสร้างเรื่องเล่า) ความเหมือนจริง ความสมจริง หรือความเป็นปกตินั้นเป็นเพียงข้ออ้างที่ถูกกำหนดโดยอุดมการณ์บางอย่าง ที่สำคัญ แนวคิดเรื่องธรรมชาติไม่ใช่หรือ ที่เป็นเครื่องมือโจมตีกลุ่มเพศหลากหลาย นอกจากนี้ อำนาจของศิลปะอันน่าประหลาดและแตกต่างจากความจริงนี้ทำให้อเล็กและมอริสหลุดออกจากการเดินเรื่องแบบสมจริงที่สังคมมักจะมองว่า จุดจบของความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างชายต่างชนชั้นคือการแบล็คเมล อเล็กกลับลืมการแบล็คเมลและตั้งคำถามกับงานศิลปะที่เห็น นอกจากนี้ วัวห้าขามีปีกผิดธรรมชาตินั้นอาจเป็นตัวแทนของทั้งสอง ผู้มีเพศวิถีผิด ‘ธรรมชาติ’ และไม่เป็นที่ยอมรับ ไม่อยู่ในระนาบความจริงตามแบบที่สังคมรักต่างเพศมอง สิ่งที่น่าคิดคือหากงานกรีกชื่นชมบูชาความงามสมบูรณ์แบบของร่างกายมนุษย์อันเป็นเอกเทศ ประติมากรรมวัวมีปีก (ซึ่งจริงๆ เป็นเทพคุ้มครองตามแบบอัสซีเรียน) จึงเป็นการตั้งคำถามกับการยึดโยงความสมประกอบของเรือนร่างเข้ากับเพศวิถีแบบรักต่างเพศอันปกติ เพราะวัวมีปีกนั้นมีเรือนร่างที่ผิดแผกไปจากความจริงและท้าทายการเอามนุษย์เป็นศูนย์กลางในงานศิลปะ เพราฉะนั้น แทนที่ศิลปะกรีกจะอธิบายความสัมพันธ์ของมอริสและอเล็กได้ งานศิลปะแบบอัสซีเรียนต่างหากที่กลับทำให้ทั้งคู่หลุดออกจากความสัมพันธ์ที่สังคมกำหนดไว้ตามสูตร ความผิดธรรมชาติกลับสร้างความพิศวงและนำพาทั้งสองออกจากโลกแห่ง ‘ความจริง’
สิ่งที่น่าสนใจคือ ตัวเรื่องยังจัดฉากให้งานศิลปะกรีกแบบจำลองนั้นต่อเนื่องไปกับอุดมการณ์รักต่างเพศ ซึ่งสืบทอดกันมาในสังคมเพศเดียวกันของผู้ชาย (Male homosociality ไม่ได้หมายถึงเพศวิถีแบบรักร่วมเพศ แต่หมายถึงการรวมกลุ่มและเข้าสังคมของคนเพศสถานะเดียวกัน ไม่ว่าจะมีรสนิยมทางเพศแบบใดก็ตาม) เมื่ออเล็กและมอริสเดินหนีเดินตามกันประดุจหนังแขก จนมาเจอกับแบบจำลองอะโครโพลิส (Acropolis) หรือวิหารกรีกโบราณนั้น มอริสได้พบกับมิสเตอร์ดูซี (Mr. Ducie) อาจารย์โรงเรียนเตรียม (preparatory school) เมื่อตอนมอริสอายุราวๆ สิบสี่สิบห้า ในตอนแรกของมอริสนั้น (ทั้งฉบับนวนิยายและฉบับภาพยนตร์) มิสเตอร์ดูซีได้พยายามสอนเพศศึกษาตามแบบรักต่างเพศให้มอริสฟังและทำให้มอริสได้เริ่มค้นพบว่า แท้จริงแล้ว มอริสไม่ได้เป็นไปตามแบบที่มิสเตอร์ดูซีต้องการให้เป็น เมื่อมิสเตอร์ดูซีกับมอริสกลับมาเจอกันอีกครั้ง มิสเตอร์ดูซีพยายามนึกว่ามอริสนามสกุลอะไร (มิสเตอร์ดูซีเรียกนักเรียนด้วยนามสกุล ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกในสมัยนั้น) แต่มิสเตอร์ดูซีก็จำไม่ได้ ส่วนมอริสก็บอกไปว่าผมชื่อสกัดเดอร์ มิสเตอร์ดูซีจึงรู้สึกว่าทักคนผิด ก่อนจะจากไปเพราะภรรยามาตาม
ฉากนี้น่าสนใจเพราะห้องกรีก ซึ่งมีแบบจำลองวิหารอะโครโพลิสนั้น กลายเป็นห้องที่นำมาพาเอาอดีตอันหลอกหลอนมอริสกลับมาหาเขาอีกครั้ง อาจมองได้ว่า ถ้าไม่มีมิสเตอร์ดูซี มอริสก็อาจมองไม่เห็นเพศวิถีของตนเอง แต่สิ่งที่น่าคิดคือ การพบเจอมิสเตอร์ดูซีชวนให้เรานึกถึงตอนแรกที่มิสเตอร์ดูซีสอนมอริส ซึ่งอาจไม่ต่างอะไรกับการสอนของชายสูงอายุในสมัยกรีกโบราณ การส่งผ่านความรู้ที่เกิดขึ้นในกรณีของมอริสไม่ได้เป็นไปเพื่อการผูกมิตรหรือสร้างความเท่าเทียม แต่กลับเน้นย้ำความสัมพันธ์แบบรักต่างเพศและอำนาจของผู้ชาย (มิสเตอร์ดูซีบอกว่าผู้ชายเท่านั้นที่รู้เรื่องเพศ ห้ามบอกเรื่องนี้กับผู้หญิง) การเปลี่ยนนามสกุลของมอริสนั้น นอกจากจะมองได้ว่าเป็นการใช้ความสัมพันธ์แบบเพศหลากหลายตอบโต้ผู้ถ่ายทอดแนวคิดรักต่างเพศให้เขาแล้ว (เพราะมองดูเหมือนมอริสแต่งงานกับอเล็ก) ยังเป็นการเชื่อมตัวเองกับชนชั้นอื่น ราวกับว่าตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับอเล็กด้วย ต่างจากการวางตัวเองให้เหนือกว่าตามแบบชายสูงอายุของกรีกและชายหนุ่ม ซึ่งมีลักษณะของครูและศิษย์ ความศักดิ์สิทธิ์ของห้องกรีกจึงดูจะถูกทำลายลง
ในตอนจบของมอริส เราไม่ขอบอกแล้วกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ว่ามันมีลักษณะปลายเปิดที่ไม่ได้สวยงามหรือน่าเกลียดอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ฉากที่พิพิธภัณฑ์บริเตนเป็นฉากที่ทั้งสองได้ปรับความเข้าใจกัน และนำไปสู่ตอนจบแบบที่บอกไป อยากทราบลองไปอ่านหรือชมภาพยนตร์นะคะ
สำหรับคนอังกฤษในศตวรรษที่ 19 พิพิธภัณฑ์เป็นทางเลือกหนึ่งของการผ่อนคลายอย่างมีสาระ จนพิพิธภัณฑ์ต้องเปิดวันอาทิตย์เพื่อตอบสนองค่านิยมนี้ การผ่อนคลายอย่างมีสาระเป็นส่วนหนึ่งของค่านิยมชนชั้นกลางศตวรรษที่ 19 ที่ต้องการให้การพักผ่อนนั้นมีคุณภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและจิตใจ ไม่ใช่การพักผ่อนที่หยาบโลน ไร้แก่นสาร และผิดศีลธรรม แบบที่ชนชั้นแรงงานชอบทำ เช่นการพนัน การเล่นมวยปล้ำ เป็นต้น แต่เราก็รู้ดีว่า การเดินพิพิธภัณฑ์ใหญ่ๆ นานๆ มีป้ายบรรยายเป็นแสนๆ ป้าย ไม่ได้ดีต่อสุขภาพกายและสุขภาพสมองของเราเท่าไรเลย
ที่สำคัญ การมองพิพิธภัณฑ์ว่าเป็นเพียงแหล่งรวมความรู้อย่างเดียวอาจทำให้เรามองไม่เห็นที่มาขององค์ความรู้เหล่านั้น เราอาจไม่ได้เงี่ยหูฟังเสียงอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือเสียงบรรยายของบรรดานักวิชาการ ทำไมศิลปวัตถุเหล่านี้ถึงตั้งอยู่ตรงนี้ มันมาจากไหน ใครมาดูงานศิลปะเหล่านี้บ้าง หรือแม้แต่คำถามง่ายๆ ที่ว่า เรารู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เราเห็นตรงหน้า พิพิธภัณฑ์จึงไม่ได้เป็นที่เก็บความรู้ที่ตายตัว แต่ผ่านการตีความจากคนหลายกลุ่มหลายชั้น แถมยังเป็นพื้นที่แห่งความทรงจำที่กำลังเลือนหายไป
ครั้งหน้า เราอาจลองถามตัวเองบ้างว่า เราได้ยินเสียงอะไร หรือเห็นใครในพิพิธภัณฑ์บ้าง เราอาจจะได้รู้ รู้สึกเข้าใจ และเห็นใจ มากกว่าที่ป้ายบรรยายหลายแสนใบนั้นบอกเรา