1.
เคอร์ริ รอว์สัน (Kerri Rawson) ไม่เคยลืมเหตุการณ์ในเช้าวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2005 เธอสลับเวรสอนหนังสือเลยได้หยุด ขณะกำลังนอนหลับอย่างสบายใจ ก็มีคนเคาะประตูเรียก เมื่อเปิดประตู ชายตรงหน้าแนะนำตัวเองว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากเอฟบีไอ มันทำเอาเคอร์ริขมวดคิ้วงงหนัก
“คุณรู้จักนักฆ่า BTK ไหมครับ”
ไม่มีใครไม่รู้จักนักฆ่ารายนี้ นี่คือฆาตกรต่อเนื่อง ผู้เขียนจดหมายไปถึงสื่อให้เรียกเขาว่า BTK อันย่อมาจาก Bind, Torture, Kil หรือแปลว่า มัด ทรมานและฆ่า นี่คือนักฆ่าซึ่งก่อเหตุฆาตกรรมคนอย่างโหดเหี้ยมในรัฐแคนซัส สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี ค.ศ.1974-1991 เจ้าหน้าที่ไม่เคยจับกุมตัวเขาได้ ไม่มีใครรู้ว่าผู้ก่อเหตุเป็นใคร มิหนำซ้ำ พอครบรอบ 30 ปีแห่งการก่อเหตุครั้งแรก เขาดันแจ้งสื่อว่าจะกลับมาฆ่าคนอีกด้วย
เคอร์ริตอบว่ารู้จัก เธอจำได้ว่าแม่ของเธอกลัวนักฆ่า BTK อย่างมาก แต่ตอนนี้เธอสงสัยมากกว่า เอฟบีไอมาถามเธอแบบนี้เพื่ออะไร
“เราจับกุมตัวพ่อของคุณในฐานะที่เขาคือนักฆ่า BTK”
นี่คือคำเฉลยแห่งคำถามข้อสงสัยทั้งมวล มันทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนไป จากพ่อแสนดีที่รักลูก เป็นคนดีของชุมชน แต่ภาพเหล่านี้จางหายในทันที เธอคือลูกสาวของฆาตกรต่อเนื่อง
ที่สำคัญตัวเธอนี่แหละมีส่วนทำให้พ่อเธอถูกจับกุมได้ในที่สุด
2.
วันที่ 15 มกราคม ค.ศ.1974 คนร้ายบุกเข้าบ้านในเมืองวิชิต้า รัฐแคนซัส นั่งรอเหยื่อกลับบ้านอย่างใจเย็น ก่อนก่อเหตุฆ่าสามีภรรยาคู่หนึ่ง พร้อมกับลูกของทั้งคู่ในวัยเพียง 9 และ 11 ขวบ ทางลูกชายคนโตกลับมาบ้านตอนเช้าแล้วเจอศพ จึงรีบแจ้งตำรวจ
คดีนี้กลายเป็นข่าวใหญ่สะเทือนอเมริกาทันที มันคือการฆาตกรรม 4 ศพ โดยไม่มีใครทราบเหตุผลว่าคนร้ายลงมือด้วยแรงจูงใจอะไร
3 เดือนต่อมา หญิงสาวคนหนึ่งถูกจับมัดแล้วถูกกระหน่ำแทง น้องชายถูกยิงบาดเจ็บ และให้การรูปพรรณคนร้าย ว่าเป็นชายผิวขาว ตัวใหญ่ ใส่หน้ากาก แต่ไม่มีอะไรคืบหน้ามากกว่านั้น
เดือนธันวาคมปีเดียวกัน หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นได้รับโทรศัพท์ประหลาด อ้างตัวเป็นคนก่อเหตุ 2 คดีนี้ โดยเขาแนบจดหมายไว้ในหนังสือเกี่ยวกับวิศวกรในหอสมุดสาธารณะประจำเมือง โดยมันเป็นจดหมายที่บอกให้สื่อและตำรวจเรียกเขาว่า BTK นั่นจึงกลายเป็นที่มาของชื่อนักฆ่า BTK
โดยจดหมายระบุว่า เขาจะออกล่าอีกครั้ง
ตำรวจพยายามสืบคดี เอาลายมือ ตัวหนังสือมาวิเคราะห์ทุกอย่าง แต่ไม่พบความคืบหน้า 3 ปีผ่านไป นักฆ่า BTK ออกโรงฆ่ารัดคอหญิงสาว โดยขังลูกชายวัย 5 ขวบในห้องน้ำ เด็กมองลอดผ่านประตูเห็นนักฆ่าสวมหน้ากากกำลังรัดคอฆ่าแม่ของตัวเอง
ไม่นานหลังจากนั้น เขาส่งจดหมายไปหาสื่อถามว่า
“จะต้องให้ผมฆ่าอีกกี่ศพ
ถึงจะได้รับความสนใจจากสื่อและประเทศนี้”
ตั้งแต่ปี ค.ศ.1974-1991 นักฆ่า BTK สังหารเหยื่อไป 10 ศพ โดยครั้งหนึ่งเขาเคยไปรอหญิงชราในบ้าน วางแผนจะมัดแล้วฆ่าเธอเสีย แต่ถือเป็นโชคดีสุด ๆ ที่เหยื่อกลับบ้านช้า จนนักฆ่า BTK ทนไม่ไหว หลบหนีจากบ้านมาก่อน โดยทิ้งข้อความไว้ในตู้ไปรษณีย์ว่าเธอเกือบจะถูกเขาฆ่าแล้ว
ตำรวจไม่เคยตามจับนักฆ่ารายนี้ได้ ไม่เคยมีผู้ต้องสงสัย พวกเขานำดีเอ็นเอในจุดเกิดเหตุ ซึ่งมีทั้งอสุจิ ลายนิ้วมือ หลักฐานต่าง ๆ นานามารวบรวม แต่ไม่พบความใกล้เคียงกับระบบข้อมูลแม้แต่น้อย ทุกอย่างมืดแปดด้าน ยังไม่นับรูปแบบการฆ่าที่ดูวกวน ไม่มีเหยื่อเฉพาะ เขาฆ่าเพราะอยากทำ ไม่มีวงจรเวลา บางทีก็ฆ่าถี่ บางทีก็หายไปหลายปี
จวบจนในปี ค.ศ.2004
3.
เมื่อครบรอบ 30 ปีที่นักฆ่า BTK ออกสังหารเหยื่อครั้งแรกในปี ค.ศ.2004 ทางหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่ได้รับโทรศัพท์จากฆาตกร ได้ทำสกู๊ปพิเศษครบรอบเหตุการณ์ดังกล่าว โดยลงท้ายว่านักฆ่า BTK น่าจะตายหรือติดคุกไปแล้วในตอนนี้
ปรากฏว่าฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ไม่ได้ตายหรือติดคุก เขาส่งจดหมาย พร้อมส่งป้ายทะเบียนรถ คนที่เขาฆ่าไปให้สื่ออีกครั้ง พร้อมย้ำว่าจะกลับมาฆ่าคนอีกครั้ง หลังเงียบไป 30 ปี นับเป็นเหตุการณ์สะพรึงขวัญสั่นประสาทคนในเมืองอย่างมาก
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังส่งข้อมูลการก่อเหตุที่มีแต่ฆาตกรและตำรวจเท่านั้นที่ทราบ โดยส่งไปทางแผ่นดิสก์มอบให้สื่อโทรทัศน์ท้องถิ่นด้วย
คราวนี้เจ้าหน้าที่แกะหลักฐานอย่างดี ใช้เวลาเกือบปีตามรอยทุกอย่าง จนปี ค.ศ.2005 พวกเขาตรวจวงจรปิด พบรถจิ๊ปต้องสงสัยขับมาจอดทิ้งกล่องนี้ไว้ ซึ่งภายในบรรจุข้าวของคนตาย นี่กลายเบาะแสแรกในคดีนี้
เบาะแสที่ 2 นักสืบนำแผ่นดิสก์มานั่งตรวจสอบ ภายในบรรจุเรื่องราวการฆาตกรรม พวกเขาพบว่า ดิสก์แผ่นนี้มีการลบข้อมูลบางอย่างก่อน แล้วมีการเซฟข้อมูลใหม่ทับลงไป เมื่อค้นข้อมูลที่ถูกลบ ก็เจอข้อมูลเกี่ยวกับโบสถ์แห่งหนึ่ง ตำรวจตรวจสอบที่ตั้งโบสถ์ เจอชื่อประธานโบสถ์คนดังกล่าว เจ้าหน้าที่ไล่ติดตามไปบ้าน ก็พบรถจิ๊ปที่คล้ายกับรถต้องสงสัยจอดอยู่
แค่นี้ยังไม่เพียงพอจะออกหมายจับใครได้ แต่มันมีน้ำหนักพอให้นักสืบสงสัยและตัดสินใจขยายวงกว้าง พวกเขาตรวจสอบข้อมูลของชายคนนี้ อายุใกล้เคียงกับตอนนักฆ่า BTK อาละวาด ตรวจสอบครอบครัว ก่อนจะพบว่าชายคนนี้มีลูกสาวทำงานสอนหนังสือ และเธอไปตรวจมะเร็งปากมดลูกอยู่เป็นประจำ
ตอนนั้นตำรวจสรุปว่า เราไม่สามารถเก็บดีเอ็นเอจากชายต้องสงสัยได้ แต่เราอาจจะสามารถขอดีเอ็นเอจากลูกสาวได้ถูกต้องตามกฎหมาย จากการที่เธอไปตรวจมะเร็งในคลีนิก เมื่อตรวจสอบไม่พบว่าการกระทำนี้คือการละเมิดความเป็นส่วนตัวแล้ว เจ้าหน้าที่จึงทำการขอหมายจากศาล เพื่อขอดีเอ็นเอของเคอร์ริ รอว์สันไปตรวจทันที
เมื่อได้ดีเอ็นเอมา ก็เอาไปเทียบกับดีเอ็นเอของฆาตกร BTK ปรากฏว่ามีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก แน่นอนว่าเคอร์ริยังไม่เกิดตอนฆาตกรต่อเนื่องคนนี้ก่อเหตุครั้งแรก
ดังนั้นคนที่มีดีเอ็นเอใกล้เคียง
และเหมาะสมจะเป็นนักฆ่า BTK สุด
ก็อาจเป็นพ่อของเธอ
ตำรวจขอหมายจับจากศาล และเข้าคุมตัวพ่อของเคอร์ริ ขณะกำลังขับรถไปทำงาน เมื่อนำตัวไปตรวจดีเอ็นเอ ก็พบว่ามันตรงกับดีเอ็นเอของนักฆ่า BTK เมื่อตำรวจบอกว่าพวกเขาจับกุมชายคนนี้ได้อย่างไร ผู้ต้องหาถึงกับสบถมาว่า
“ไอ้แผ่นดิสก์เวรนั่น! มันเล่นผมเข้าให้แล้ว”
31 ปีแห่งการไล่ล่า ในที่สุด ทั้งโลกก็รู้ว่า เดนนิส เรเดอร์ (Dennis Rader) ชายที่มีครอบครัวสุดอบอุ่น ภรรยาสุดน่ารัก พ่อของลูก 2 คน หัวหน้ากลุ่มลูกเสือ ประธานโบสถ์ท้องถิ่นคือนักฆ่า BTK สุดโหดเหี้ยม
4.
เรเดอร์เกิดในครอบครัวปกติธรรมดา เป็นเด็กเงียบๆ แต่ตอนวัยรุ่นเขาพบความซาบซ่านจากการมัดมือตัวเอง แล้วแกล้งแขวนคอให้ตัวเองค่อยๆ หมดลมหายใจ มันเป็นความพึงพอใจอย่างมาก นอกจากนี้เขาจะตัดรูปหญิงสาวที่พบในนิตยสาร แล้วจินตนาการทางเพศว่าเขาจับพวกเธอมัดไว้ นับเป็นจินตนาการที่กว้างไกล และแปลกกว่าคนอื่น
เมื่อเรียนจบเรเดอร์ไปทำงานในกองทัพอากาศ แล้วออกมาทำงานบริษัทรักษาความปลอดภัย นั่นทำให้เขาเรียนรู้เรื่องระบบรักษาความปลอดภัยในบ้าน เขาสามารถปลดล็อกและงัดเข้าไปรอเหยื่อได้อย่างสบายใจ
3 ปีก่อนลงมือฆ่า เขาแต่งงานกับเจ้าหน้าที่บัญชีของร้านสะดวกซื้อ หลังไปออกเดตด้วยกัน 2-3 ครั้ง เขาแต่งงานกันในปี ค.ศ.1971 จากนั้นในปี ค.ศ.1974 เคอร์ริยังไม่เกิด พ่อของเธอก็ลงมือฆ่าคนเป็นครั้งแรก
“ก่อนอื่นเลย ผมไม่เคยรัดคอใครมาก่อนในชีวิต นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้ทำจริงๆ” เรเดอร์ให้การในชั้นศาล “ผมไม่รู้ว่าจะต้องกดน้ำหนักแรงแค่ไหน ผมเลยเอาหมอนกดหน้าซะ ตอนนั้นยังไม่ได้ใส่หน้ากากอะไรหรอก แน่นอนว่าถ้าปล่อยให้ใครรอดมีชีวิตไป ก็คงจำหน้าผมได้แน่”
ดังนั้นเรเดอร์จึงตัดสินใจฆ่าพวกเขาเสีย
เรเดอร์ไม่เคยเรียกคนที่ถูกเขาสังหารว่าเหยื่อ แต่เขาใช้คำว่าโปรเจ็กต์แทน
หลายครั้งหลังก่อเหตุ เขาจะช่วยตัวเองไปด้วย แต่ไม่เคยข่มขืนเหยื่อ การฆ่าทำให้เขาสุขสม ได้สมหวังกับภาพแฟนตาซีในหัว ไม่เพียงเท่านั้น เรเดอร์ยังหยิบข้าวของใช้ส่วนตัวเหยื่อติดไม้ติดมือไปด้วยเสมอ โดยเฉพาะกางเกงใน เพื่อเป็นของที่ระลึกจากการสังหาร
เมื่อตำรวจค้นบ้าน พวกเขาพบข้าวของเหล่านี้เก็บไว้อย่างมิดชิด นอกจากนี้ยังพบภาพเรเดอร์ใส่หน้ากาก จับตัวเองมัด เอาข้าวของเหยื่อมาประกอบฉาก บางทีก็เอาเสื้อผ้าเหยื่อมาใส่ แล้วถ่ายรูปตัวเองเซลฟี่เก็บไว้ด้วย
“ทำไมผู้ชายอย่างผม สมาชิกโบสถ์ พ่อที่รักครอบครัว ถึงทำสิ่งเหล่านี้นะเหรอ” เรเดอร์ให้สัมภาษณ์สื่อ
“ก็ผมอยากให้ทั้งชุมชน ทั้งอเมริกาและทั้งโลกรู้ไง ว่ากูคือฆาตกรต่อเนื่อง”
5.
เคอร์ริ รอว์สันต้องเปลี่ยนชื่อตัวเอง และย้ายที่อยู่นานหลายสิบปี กว่าจะทำใจออกมาเปิดเผยเรื่องราว เขียนหนังสือบอกเล่าความจริง เธอไม่เคยรู้ว่าพ่อจะเป็นคนแบบนี้ ชายคนนี้คือคนดีในชีวิตเธอมาก แต่เมื่อมานึกดู พ่อก็อาจเป็นฆาตกรต่อเนื่องสุดโด่งดังคนนี้ได้ ด้วยพฤติกรรมบางอย่างที่ครอบครัวไม่เคยสังเกตเช่น ครั้งหนึ่งพ่อทะเลาะกับน้อง แล้วตรงเข้าบีบคอลูกชายคนสุดท้อง ทำเอาคนทั้งบ้านช็อก เพราะไม่เห็นพ่อมีพฤติกรรมแบบนี้มาก่อน
ความน่ากลัวคือพ่อของเธอ ออกไปฆ่าคนเป็นปกติ ครั้งหนึ่งพ่อพาเคอร์ริกับน้องไปเข้าค่ายลูกเสือ ขณะที่ทั้งสองหลับ พ่อก็ออกไปสังหารรัดคอเหยื่อ แล้วกลับมาหาลูกๆ ราวกับออกไปทำธุระธรรมดาๆ เท่านั้น
เรื่องสุดสยองก็คือเหยื่อของนักฆ่า BTK รายหนึ่งเป็นเพื่อนบ้านกับครอบครัวเคอร์ริ หลายคืนเธอจะตื่นมากรีดร้องเพราะกลัวนักฆ่า BTK พ่อจะมาปลอบแล้วบอกว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับครอบครัวนี้เด็ดขาด ตอนนั้นเธอคิดว่ามันคือการปลอบใจธรรมดา แต่สุดท้ายมันคือความจริง
ชายที่ไปงานรับปริญญาลูกสาว ส่งตัวลูกสาวให้เจ้าบ่าว อยู่ในช่วงสำคัญของชีวิตจะกลายเป็นนักฆ่าสุดโหดได้
เมื่อแม่ทราบข่าวก็ถึงกับช็อก ครอบครัวไม่เคยเป็นเหมือนเดิม หญิงสาวโต้แย้งคำครหาว่าครอบครัวเธอรู้เห็นเป็นใจให้พ่อออกไปฆ่าคน โดยยืนยันว่าถ้ามีหลักฐานแม้เพียงนิดว่าพ่อเธอเป็นนักฆ่า ทั้งครอบครัวจะรีบแจ้งตำรวจทันที แต่นี่พ่อไม่เคยทำอะไรแบบนั้นแม้แต่นิดเดียว เขาเหมือนคนปกติมาก
เคอร์ริใช้เวลาหลายปีในการบำบัดความปวดร้าวนี้ ตอนมีลูกสาวคนแรก ก็เคยเขียนไปเล่าให้พ่อฟังว่าเธอท้องแล้ว ก่อนจะตัดสินใจยุติการคุย จนเมื่อลูกถามถึงคุณตา เธอจึงตัดสินใจระบายเรื่องราวออกมา
ขณะนี้พ่อของเธอติดคุกตลอดชีวิต ไม่มีโอกาสลดโทษอีก เคอร์ริบอกว่าเธอพยายามก้าวเดินมีชีวิตต่อไป “เพราะพ่อตายไปจากครอบครัวเรานานแล้ว นับตั้งแต่ถูกจับในวันนั้น”
ลูกสาวของนักฆ่า BTK บอกว่า ทีแรกเธอไม่พอใจตำรวจมากที่เอาดีเอ็นเอเธอไปด้วยวิธีนี้ แต่ก็เข้าใจว่า เจ้าหน้าที่ต้องรีบใช้ในการไขคดี และที่สำคัญเมื่อได้ฟังคำรับสารภาพของพ่อ ก็ยิ่งทำให้เธอให้อภัยเจ้าหน้าที่มากยิ่งขึ้นว่า
“พ่อรับสารภาพว่าวันที่ถูกจับนั้น กำลังตามเหยื่อรายหนึ่งอยู่พอดี เขาตั้งใจที่จะกลับมาก่อเหตุอีกครั้งจริงๆ”
ข้อมูลอ้างอิง