ผมอ่าน Call Me by Your Name จบพร้อมหัวใจที่พังทลาย ด้วยไม่เพียงเรื่องราวที่เพิ่งได้อ่านไปจะเรียบง่าย หากมันกลับลึกซึ้ง คมคาย ฝังซ้อนไว้ซึ่งอารมณ์ของรักแรกที่ติดค้าง และไม่อาจพ้นผ่าน
ผมไม่เคยรู้จักนวนิยายเรื่องนี้มาก่อนหรอกครับ เพิ่งจะมาเคยได้ยินชื่อเอาก็ตอนที่หนังชื่อเดียวกันจะฉายนี่แหละ และว่ากันตามตรง มันเป็นเพราะผมชื่นชอบ Luca Guadagnino ตัวผู้กำกับของเรื่องอยู่ก่อนแล้วต่างหาก ถึงได้เริ่มสนใจว่า นวนิยายที่ชื่อ Call Me by Your Name เล่มนี้มีอะไรดี ผู้กำกับระดับนี้ถึงได้หยิบขึ้นมาสร้างเป็นภาพยนตร์ มีนักแสดงหนุ่มน่าจับตาอย่าง Armie Hammer มารับบทนำ แถมยังกวาดคำชมเกรียวกราวมาแล้วไม่รู้กี่เวที
ด้วยไม่รู้อะไรมาก่อนเลย ผมจึงเริ่มจากการค้นหาประวัติของผู้เขียน ได้รู้ว่าเขาชื่อ Andre Aciman เป็นนักเขียนชาวอเมริกัน เกิดในอียิปต์ ปัจจุบันเป็นอาจารย์ด้านประวัติศาสตร์วรรณกรรม ประจำมหาวิทยาลัย The City University of New York และเคยมีผลงานเขียนมาแล้วหลายเล่มด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Out of Egypt ซึ่งเขียนขึ้นจากความทรงจำของเขา โดยบอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวชาวยิวในอียิปต์ ที่ต้องดิ้นรนกับประวัติศาสตร์การยื้อยุดทางการเมืองอันแสนซับซ้อนภายในประเทศแห่งนั้น, Harvard Square นวนิยายที่ถ่ายทอดชีวิตของหนุ่มนักเรียนฮาร์วาร์ดชาวยิว ที่ใกล้จะเรียนจบ และเกิดไปพบกับคนขับแท็กซี่อาหรับคนหนึ่งเข้า จนเกิดเป็นความสัมพันธ์ที่มาสั่นสะเทือนความคิดที่เขามีต่ออเมริกา และ Call Me by Your Name นวนิยายเล่มดังของเขาครับ
Call Me by Your Name เล่าเรื่องของ Elio เด็กหนุ่มวัย 17 ที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ ของประเทศอิตาลี เขามีคุณพ่อที่ทำงานด้านวิชาการ และทุกๆ หน้าร้อนเขาจะต้องสละห้องนอนเขาเป็นเวลา 6 สัปดาห์ เพื่อให้แขกของพ่อ ที่มักจะเป็นนักศึกษาซึ่งมาช่วยงานวิชาการให้กับพ่อของเขา แลกกับการได้มาพักร้อนกลายๆ ในอิตาลี แต่แล้วในฤดูร้อนของปีหนึ่ง อาจารย์มหาวิทยาลัยหนุ่มนาม Oliver ก็ได้เดินทางมาพำนักที่บ้านของ Elio ทุกสิ่งควรจะเป็นไปเช่นทุกๆ ครั้ง คือเขาก็แค่ต้องสละห้องนอนของเขา และรอให้เวลา 6 สัปดาห์ผ่านพ้นไป แต่แล้ว Elio กลับพบว่า เขาเกิดความรู้สึกบางอย่างที่ต่างออกไปต่อตัว Oliver ลึกซึ้งอย่างที่ไม่เคยจะเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตของเขา Elio พบว่าตัวเองหมกมุ่นกับการจับจ้อง สอดส่อง และเฝ้านึกถึงอาจารย์หนุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จน ณ จุดหนึ่ง เขาก็แน่ใจว่ามันไม่อาจเป็นความรู้สึกอื่นไปได้นอกจาก ความรัก
Andre Aciman พาเราไปสัมผัสบรรยากาศอันเงียบสงบของเมืองเล็กๆ ในอิตาลีผ่านน้ำเสียงของ Elio ที่ต่างก็ผันผวน และเปลี่ยนแปรไปตามความรู้สึกอันไม่เคยคงที่ของเขา
Aciman พาเราดิ่งลึกไปในความคิดของตัวละครเอกที่เขาสร้างขึ้นอย่างประณีต มีมิติ และละเอียดลออ ราวกับว่าผู้เขียนได้สวมร่างเป็นตัวละครนั้น และพรรณนาจิตใจของเขาให้ผู้อ่านได้รับรู้ไปพร้อมๆ กับเรื่องราวที่ดำเนินไป และเพราะความสมจริงนี้เอง ครับ ก็ยิ่งจะส่งให้ตัว Elio น่าสนใจขึ้น นั่นคือ การที่ตัวละครเอาแต่พร่ำเพ้อและฟุ้งซ่านกับรักครั้งแรกของเขาอย่างไม่คิดจะยับยั้งความคิดตัวเอง ทั้งด้วยไฟฝันและความตื่นตาแห่งวัยรุ่น ก็ยิ่งจะส่งให้ Elio ที่เราสัมผัสนั้นเต็มไปด้วยความความคิดที่สุดจะอลหม่าน ฉวัดเฉวียน และไม่ค่อยจะคงที่สักเท่าไหร่ สารภาพเลยว่า หลายๆ ครั้งผมก็รู้สึกรำคาญเจ้า Elio อยู่เหมือนกัน แต่พอยิ่งอ่านๆ ไป ก็ค่อยๆ พบว่า ภายใต้สภาพอารมณ์ที่พุ่งพล่าน และเตลิดไกลของเขานี่แหละ ที่มันได้จำลองความคิดอันซับซ้อนของมนุษย์ได้อย่างสมจริง
Aciman ประสบความสำเร็จในการสร้างตัวละครหลักที่เราไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าชวนหงุดหงิด หรือรำคาญ นั่นเพราะลึกๆ แล้ว เราก็คล้ายจะเข้าอกเข้าใจ และเอาใจช่วยให้กับไฟรักอันเดือดดาลของเขาได้รับการเติมเต็มเสียที
แม้ Call Me by Your Name จะถ่ายทอดสภาพจิตใจอันแสนจะพุ่งพล่าน หากสภาพแวดล้อมที่โอบอุ้มเรื่องราวของมันไว้กลับสวนทางกับความอลหม่านในจิตใจ
กล่าวคือ กับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายนอกจิตใจของ Elio นั้นดำเนินไปอย่างเนิบนาบ อ้อยอิ่ง และนิ่งช้า แต่ซึ่งมันกลับส่งผลเป็นสภาวะที่น่าสนใจทีเดียวครับ นั่นเพราะการที่เราต้องคอยจัดระเบียบเรื่องราวอยู่สม่ำเสมอ ระหว่างพื้นที่ในหัวของตัว Elio กับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งแห้งแล้ง และขัดแย้งกับจินตนาการของเขาที่รุดหน้าไปไกล
เราอาจเรียก Call Me by Your Name ว่าเป็น meditative novel ก็ได้ครับ ในแง่ที่ตัวนิยายเรียกร้องให้เราคอยครุ่นคิด พิจารณา ดำดิ่งอย่างเชื่องช้า ขณะค่อยๆ ทำความเข้าใจความว้าวุ่นของ Elio และในท้ายที่สุด แม้คุณอาจไม่ถึงกับตกหลุมรัก Elio แต่อย่างน้อยๆ ความผูกพันธ์ต่อตัวเขาที่ค่อยๆ เบ่งบานและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และโดยไม่รู้ตัว คุณก็อาจเผลอถลำดิ่งและรู้สึกร่วมไปกับเด็กหนุ่มคนนี้ ราวสนิทสนมกับเขามาเนิ่นนาน
มันคือนวนิยายที่แสนเนิบช้า ทว่าอัดแน่นด้วยหมัดฮุกที่รัวใส่คุณอย่างสม่ำเสมอ และในขณะที่คุณพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ เฉกเช่นนักมวยที่ยืนรับหมัดโดยไม่ตั้งการ์ด พอรู้ตัวอีกครั้ง คุณก็อาจพบตัวเองนอนพังพาบอยู่กับพื้น ดังที่ผมก็ได้พบตัวเองที่น้ำตาไหลอย่างไม่รู้ล่วงหน้า น้ำตาไหลไปพร้อมหัวใจที่ค่อยๆ พังทลายอย่างช้าๆ และไม่อาจประสานกลับคืน