อันเนื่องมาจากมนุษย์ไม่เหมือนสัตว์ตรงที่สามารถเอากันได้ไม่จำกัดฤดูกาล เพศสัมพันธ์ไม่เท่ากับสืบพันธุ์ที่จะเอากันเพื่อดำรงสายพันธุ์อย่างเดียว มนุษย์จึงมีเหตุผลนานานัปการที่จะมีเซ็กซ์ และการคุมกำเนิดก็เป็นองค์ประกอบสำคัญ เทคโนโลยีที่เรียกว่ายาเม็ดคุมกำเนิดที่ขนาดเล็กๆ ไม่ใหญ่ไปกว่าเล็บมือที่ยังไม่ได้ไปต่อเล็บนั้น ไม่เพียงจะทำให้ยับยั้งการตกไข่ สร้างปราการที่ปากมดลูกป้องกันสเปิร์มเข้าไปผสมกับไข่ได้ ยังสามารถปลดแอกผู้หญิงและยกระดับสถานภาพทางเพศได้อีกด้วยนะเธอ
เรื่องมันเริ่มในอเมริกาเมื่อทศวรรษ 1960 ที่โลกเริ่มรู้จักยาเม็ดคุมกำเนิด ที่เป็นการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพเข้าถึงได้ง่าย และเมื่อมันถูกกฎหมายในช่วง ค.ศ.1970 โครงสร้างทางเพศแบบเดิมก็ค่อยๆ ถูกทลาย จากเดิมที่เชื่อว่า เซ็กซ์ทำให้เพศหญิงเสียหาย เป็นเพศที่เปราะบาง เพราะเธอตั้งท้องได้ ขณะที่เพศชายไม่ต้องแบกรับใดๆ มีเสรีภาพทางเพศมากกว่า ผู้หญิงก็เริ่มมีเสรีภาพทางเพศมากขึ้น พวกเธอไม่ต้องกังวลเรื่องท้อง ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้เรียนต่อ หรือต้องลาออก หยุดงานเพื่อไปเป็นแม่คน เลี้ยงลูกอยู่บ้าน
และที่สำคัญผู้หญิงหลายคนหลายประเทศ รวมทั้งในอเมริกาก่อนหน้านั้น
พวกเธอต้องเผชิญกับความยากลำบากเพราะสภาวะลูกมากรากดก
ที่ทั้งให้เธอเสียสุขภาพร่างกายและปัญหาทางเศรษฐกิจ
การคุมกำเนิดสามารถขยายโอกาสสำหรับผู้หญิงทั้งความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจการศึกษาและสุขภาพ ไม่เพียงพบว่าประชากรหญิงสมัครเรียนสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในระดับมหาวิทยาลัยนับตั้งแต่มียาเม็ดคุมกำเนิด และอัตราการลาออกกลางคันระหว่าง 1969-1980 ก็ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ อัตราหญิงที่ประกอบอาชีพที่ต้องใช้ทักษะก็เพิ่มมากขึ้น พวกเธอประกอบอาชีพแพทย์ ทันตแพทย์ และด้านกฎหมายมากขึ้น ระหว่าง ค.ศ.1970-1990
มากไปกว่านั้นยาคุมยังกลายตัวขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจที่สำคัญ สร้างความเปลี่ยนแปลงในระบบธุรกิจระดับมหภาคของอเมริกา เพราะแม้ผู้หญิงออกมาทำงานนอกบ้านเป็นแรงงานเคียงคู่กับผู้ชายมาตั้งแต่ก่อนจะมียาคุม แต่ค่าจ้างผู้หญิงก็ได้รับน้อยกว่าผู้ชาย เพราะระบบเดิมเชื่อว่าผู้หญิงควรกลับไปเป็นแม่และเมียในบ้านที่เป็นงานหลักมากกว่า อย่างไรก็ตามหลังจากมียาคุม ช่องว่างรายได้ต่อปีระหว่างแรงงานชายกับหญิงก็ลดลงเรื่อย ๆ ในช่วงทศวรรษ 1980 ช่องว่างลดลง 10 % และ 30 % ในทศวรรษ 1990
และด้วยยาคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงง่ายนี่แหละ ที่ทำให้ผู้หญิงเริ่มตระหนักได้ว่าตนเองอยู่ในฐานะเจ้าของเนื้อตัวร่างกาย สามารถกำหนดและตัดสินใจตั้งครรภ์ได้ด้วยตนเอง ชะลอการมีลูกหรือเลือกวางแผนจำนวนลูกได้ด้วยตนเอง ”ความเป็นแม่’ จึงไม่ได้เป็นพันธะผูกพันติดตัวมาพร้อมกับอวัยวะเพศเธอมาตั้งแต่กำเนิด หากแต่เป็นเพียงวาทกรรมหรือสิ่งประกอบสร้างทางสังคมที่เธอสามารถจัดการ เลือก เลี่ยงหรือปฏิเสธได้
และที่ผ่านมาพวกเธอก็เห็นแล้วว่าวาทกรรมวาทเวรบอกให้เชื่อว่า ผู้หญิงต้องเป็นแม่คน ต้องแต่งงาน ต้องอยากมีลูก เพื่อทำให้ ‘เพศแม่’ สมบูรณ์นั้น ทำให้ชีวิต เนื้อตัวร่างกายและเรื่องเพศของเธออยู่ภายใต้อำนาจผู้ชาย ถูกจำกัดบริเวณบทบาทความสามารถไว้ภายในบ้าน พึ่งพิงผู้ชาย อยู่ติดที่ ไม่มีโอกาสออกมาทำงานบนพื้นที่สาธารณะ
ยกตัวอย่างง่ายๆ แค่ทศวรรษ 1910-1920 ที่ผู้หญิงออกมาเรียกร้องสิทธิเลือกตั้ง ต้องการโอกาสในการทำงานนอกบ้าน พวกเธอปิดถนนเดินขบวน ก็ยังมีกลุ่มต่อต้านพวกเธอด้วยการเอา ‘แม่และเมีย’ มาเป็นข้ออ้างให้เธออยู่บ้านดูลูก ไม่ออกไปทำงานนอกบ้านหรือยุ่งกับการเมือง
เมื่อมียาคุม ผู้หญิงสามารถออกมาทำงานนอกบ้านได้สะดวกสบายมากขึ้น สามารถใช้ศักยภาพได้เต็มที่ในการแข่งขันในโลกทุนนิยมอุตสาหกรรม หน้าที่การงานไม่ได้ผูกขาดอยู่ที่ผู้ชายอีกต่อไป ไม่มีอุปสรรคในการเติบโตในหน้าที่การงาน ไม่ต้องพะว้าพะวังว่าออกมาทำงานแล้วใครจะเลี้ยงลูก หรือต้องรีบออกจากที่ทำงาน ไปจ่ายตลาดกลับบ้านทำกับข้าว หรือรีบรับลูกกลับบ้าน ดูแลการบ้านงานโรงเรียน แหกขี้ตาตื่นแต่เช้าส่งลูกไปโรงเรียน
การคุมกำเนิดได้ด้วยตัวผู้หญิงเองช่วยให้ผู้หญิง
มีบทบาทอำนาจและเวลามากขึ้น เป็นอีกแรงผลักดันหนึ่ง
ให้เกิดเฟมินิสต์คลื่นลูกที่ 2 ในยุโรปและอเมริกาแห่งทศวรรษ 1960
ยาคุมกำเนิดไม่เพียงจะช่วยยุติยุค Baby Boom ยังเป็นเครื่องมือที่จับต้องได้ที่นำพาไปสู่ยุคให้การเปลี่ยนแปลงและปลดปล่อยทางเพศ
แน่นอนโรมันคาธอลิกออกมาต่อต้านสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ ด้วยหลักการที่ว่าการคุมกำเนิดนั้นเป็นบาป หลายรัฐในอเมริกาช่วงต้นทศวรรษ 1960 ห้ามขายยาคุมกำเนิดแม้แต่คู่แต่งงาน แต่สุดท้ายแล้วสิทธิเนื้อตัวร่างกายย่อมเหนือกว่าความเชื่อและศีลธรรมเฉพาะกลุ่ม กฎหมายอะไรที่มันไปละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชนสุดท้ายมันก็ถูกยกเลิกไปในช่วงทศวรรษ 1970
อย่างไรก็ตาม ยาคุมกำเนิดเองก็เป็นประเด็นที่เฟมินิสต์โจมตี เพราะในทศวรรษ 1970 เฟมินิสต์บางกลุ่มเริ่มตั้งคำถามกับการคุมกำเนิดนี้แล้วว่า ต่อให้มันเป็นเครื่องมือในการปฏิวัติสตรี แต่มันก็ยังเป็นผลผลิตของสังคมชายเป็นใหญ่อยู่ดีที่เข้ามาควบคุมชีวิตและอวัยวะเพศของผู้หญิง ที่การคุมกำเนิดถูกผลักภาระให้เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้หญิง ไม่ใช่หน้าที่ของผู้ชายเท่าๆ กัน เช่นเดียวกับที่วิชาชีพวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์และอุตสาหกรรมยายังคงถูกควบคุมโดยผู้ชาย
อันที่จริงยาคุมเกิดขึ้นได้เพราะผู้หญิง แต่เครดิทตกเป็นของผู้ชายมากกว่า Margaret Sanger (1879-1966) เฟมินิสต์และพยาบาลชาวไอริช – อเมริกันในนิวยอร์ก เธอเป็นนักต่อสู้เคลื่อนไหวสิทธิสตรีการคุมกำเนิด ทั้งนี้เพราะแม่ของเธอมีลูกถึง 11 คน และมีสถานภาพยากจน เธอเห็นแม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการให้กำเนิดลูกหลายครั้งจนในที่สุดแม่เธอก็ตาย เธอก่อตั้งองค์กรวางแผนครอบครัว Brownsville Clinic ในปีค.ศ. 1917
การเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิเสรีภาพในการคุมกำเนิดของเธอกลายเป็นอาชญากรรมจนเธอต้องรับโทษเข้าคุก 30 วัน และเมื่อ Sanger พบว่าฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ของเพศหญิงมีส่วนสำคัญในการควบคุมภาวะไข่ตกในสัตว์ได้ เธอก็กระตือรือร้นที่จะใช้ฮอร์โมนนี้คุมกำเนิดมนุษย์ จึงติดต่อ Gregory Pincus นักชีววิทยาชื่อดัง เพื่อประดิษฐ์ยาเพื่อคุมกำเนิด แต่อีตา Pincus ก็ไปชักชวน John Rock ผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบพันธุ์และการเจริญพันธุ์ไปวิจัยทดลองผลิตยาคุมกำเนิดขึ้นมากัน 2 คน โดยมี Katharine McCormick นักชีววิทยาแม่หม้ายเศรษฐีนีคอยสนับสนุนทางการเงิน ผลปรากฏคือ Gregory Pincus และ John Rock กลายเป็นบุคคลสำคัญของเทคโนโลยีทางการแพทย์ในครั้งนี้มากกว่า Margaret Sanger และ มี Katharine McCormick
มากไปกว่านั้นยาเม็ดคุมกำเนิดนี้ยังถูกตั้งข้อสงสัยในขณะนั้นว่า หากรับยาคุมไปเรื่อยๆ จะมีผลข้างเคียง ส่งผลร้ายต่อสุขภาพพวกเธอภายหลังหรือไม่? เพราะในช่วงแรกที่ยาคุมกำเนิดนี้ออกสู่ตลาด การศึกษาผลข้างเคียงยังไม่ชัดเจนและมีคุณภาพนัก มีผู้หญิงบางคนที่ใช้ยานี้ได้รับความทุกข์ทรมานจากการอุดตันของเลือด เพราะฮอร์โมนในยาไปเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือด และหากมองจากจุดยืนในปัจจุบัน กระบวนการในการผลิตยาขณะนั้นก็ไม่ผ่านหลักเกณฑ์จริยธรรมการวิจัย เพราะมีทั้งการแอบทดลองแจกยากับผู้หญิงยากจนในเปอร์โตริโกที่ต้องการหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ และหญิงที่มีบุตรยากในบอสตัน
และด้วยเทคโนโลยีการคุมกำเนิดพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ สำหรับคนที่กลัวจะหลงลืมกินยาเม็ดคุมกำเนิด (oral contraceptive pill) อีกทางออกที่ช่วยพวกเธอคือการไปฝังยาคุมกำเนิด (contraceptive Implant) ใต้ผิวหนังบริเวณใต้ท้องแขนด้านที่ไม่ถนัด ซึ่งก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรยาวประมาณ 3 เซนติเมตรเอง คุณหมอบอกว่าขนาดเท่าไม้จิ้มฟันแบบกลม ๆ เอง
การฝังยาคุมช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้นาน 3-5 ปี แล้วแต่ชนิดของยา เรียกได้ว่าฝังครั้งเดียวสบายใจไปอีกนาน พอๆ กับระยะเวลาเรียนปริญญาตรี โท หรือ เอก จะไปเรียนต่อระดับใดก็ไปฝั่งใหม่ได้เรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตามวาทกรรมวาทเวรรักนวลสงวนตัวก็ไม่ได้หายไปพร้อมกับยุค baby boom ผู้หญิงที่คุมกำเนิดยิ่งไปฝังยาคุม ยิ่งถูกตีตรา ไม่ใช่หาว่าเธอขี้ลืมจนไปต้องฝังแทนกินยาคุม แต่ไปด่านางจะแรดนางจะร่าน หลายผัว สำส่อน ใจง่าย ทำตามฝรั่งไม่รักศักดิ์ศรีกุลสตรีไทย
อันที่จริงการที่จะมีใครสักคนตัดสินใจด้วยตนเองเลือกวิธีคุมกำเนิดตามที่สะดวก หรือเดินไปให้หมอฝังยาคุมให้ มันก็คือการรับผิดชอบต่อตัวเองและคนรอบข้าง ในกรณีที่เธอไม่พร้อมที่จะท้องแต่พร้อมที่จะมีเพศสัมพันธ์อันเป็นเรื่องปรกติธรรมดาชีววิทยาธรรมชาติมนุษย์ และนี่ก็คือเนื้อตัวร่างกายของพวกเธอเอง มีสิทธิเสรีภาพและอำนาจจัดการและตัดสินใจด้วยตัวเธอเอง มันคือสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ของพวกเธอเองล้วน ๆ เลย มดลูกรังไข่ช่องคลอดก็ของเธอเอง ไม่ได้ไปกองบนหัวหรือหนังหน้าใครให้หนักเปล่า ๆ
การต่อต้านโจมตีใครก็ตามที่จะเข้าถึงการคุมกำเนิดหรือกีดกันการเข้าถึงความรู้การคุมกำเนิดก็เป็นแต่เพียงการรักษาโครงสร้างทางเพศแบบเก่าที่เต็มไปด้วยสำนึกชายเป็นใหญ่และการกดขี่ทางเพศ และมันจะยิ่งไม่ฉลาดเข้าไปอีกหากหาทำเอาอุดมการณ์ชาตินิยมมาจับกับเรื่องฝังยาคุม
มันก็ไม่เกี่ยวหรอกว่าฝังยาคุมคือทำตัวเป็นฝรั่ง เพราะการคุมกำเนิดมันไม่ได้ถูกผูกขาดอยู่ที่ชาติพันธุ์ใดหรือประเทศใด หากแต่เป็นเรื่องสากลและสิทธิมนุษยชน
ดังนั้นหากต้องมีใครสักคนสมควรไปคุมกำเนิด คนที่ออกมาด่าวัยรุ่นหญิงฝังยาคุมนี่แหละสมควรได้รับการคุมกำเนิดมากที่สุดละ จะได้ไม่เอาความคิดเช่นนี้ส่งต่อไปให้ลูกหลาน
อ้างอิง