เป็นไปได้ไหม—ว่าเรากำลังอยู่ในสังคมที่สิ้นหวังอย่างยิ่ง ‘สิ้นหวัง’ แต่ไม่รู้ตัว เลยต้องฝากความหวังลมๆ แล้งๆ ไว้กับความสิ้นหวังของการบริหารบ้านเมือง
เมื่อไม่รู้ว่าตัวเองสิ้นหวัง เราจึงหวังพึ่งเคอร์ฟิวว่ามันจะเป็นตัวแก้ปัญหาสารพัดเรื่องได้ โดยเฉพาะปัญหาที่คนบางส่วนของสังคมมองว่ายืดเยื้อ ยาวนาน รกรุงรังสังคม เป็นตัวก่อ ‘ปัญหาสังคม’ ให้กับตัวเอง
แล้วคนเหล่านี้ก็ขนานนามปัญหาเหล่านั้นด้วยคำว่า ‘เหี้ย’ และ ‘แรด’
คนระดับ ‘ผู้หลักผู้ใหญ่’ ในบ้านเมืองจำนวนหนึ่ง มองว่าคนเหล่านี้คือคนดื้อด้านที่ชอบออกไป ‘แรด’ โดยอาการแรดเกิดขึ้นเพราะพ่อแม่ไม่สั่งสอน ทำให้ต้องออกมาร่านจนติดเชื้อ อันเป็นการไป ‘ทำร้ายคนอื่น’
แม้แต่นักเขียนดัง ก็ยังเห็นดีเห็นงามไปกับการประณามคนเหล่านี้ด้วยคำว่า ‘แรด’ และต่อมาก็มีสื่อนำคำว่า ‘แรด’ ไปพ่วงกับคำว่า ‘เหี้ย’
แต่คำถามก็คือ นี่เป็นการเหยียด ‘มนุษย์’ ส่วนหนึ่งที่อยู่ร่วมในสังคมเดียวกับเรา ให้ลดต่ำลงไปเป็น ‘สัตว์’ ที่เราเห็นว่าต่ำกว่าตัวเองหรือเปล่า และการเหยียดคนเหล่านี้ให้ ‘ต่ำ’ กว่าเราในหลายมิติ มันสะท้อนถึงอะไรได้บ้าง
การเหยียดคนว่า ‘แรด’ และ ‘เหี้ย’ นั้น มีนัยทาง ‘ศีลธรรม’ ซ่อนอยู่เต็มตัว คนที่แรดและร่าน ก็คือคนแพศยา ไม่รักดี ไม่รักนวลสงวนตัว โดยคำนี้มีนัยหมายถึงเพศหญิงเป็นหลัก และเป็นข้อถกเถียงทางศีลธรรมเก่าแก่ที่ถกกันมาตั้งแต่ยุควิคตอเรีย ในช่วงแรก การด่าคนว่าแรด ใช้ด่ากลุ่มคนที่ติดเชื้อเพราะออกไปเที่ยวกินดื่ม แต่ในตอนหลัง การใช้คำนี้มีความหมายที่เปลี่ยนไป
ส่วนคำว่า ‘เหี้ย’ ก็มีนัยทางเพศแฝงอยู่อีกเช่นกัน เพราะการด่าเด็กผู้ชายว่า ‘แรด’ นั้น มันไม่เจ็บไม่แสบ และสังคมไทยก็ไม่เคยมองการแรดของผู้ชายว่าเป็นเรื่องแย่อยู่แล้ว ดังนั้นจึงต้องขอ ‘แบ่งแยกเพศ’ ในการด่าเสียหน่อย โดยคำว่าแรด มีนัยด่าพวกสก๊อย ส่วนคำว่าเหี้ย มีนัยเอาไว้ด่าพวกเด็กแว้นซ์
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ทั้งสองคำก็คือการ ‘สำเร็จความใคร่ทางศีลธรรม’ เพื่อสำแดงตนว่าตัวเองมีศีลธรรมสูงส่งกว่า ‘เดนมนุษย์’ เหล่านี้ ที่ไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้สังคมเลย มีแต่สร้างปัญหา โดยบรรลุถึงอาการกระฉูดของธาตุเคลื่อน ณ จุดสุดยอด—ที่การประกาศเคอร์ฟิว
มันคือการเถลิงโทสะของอำนาจแห่งการควบคุมขั้นสุด ที่คิดว่าจะใช้แก้ปัญหาสังคมได้ทุกอย่าง
แต่ดันลืม ‘คิดให้ครบ’
คำว่าเคอร์ฟิว มาจากศัพท์ Old French ว่า couvre-feu
ซึ่งแปลว่า cover fire หรือจัดการดับไฟเสีย
ในทางกฎหมาย การเคอร์ฟิวเกิดขึ้นโดยกษัตริย์วิลเลียมผู้พิชิต ที่ออกกฎป้องกันไฟไหม้ โดยบอกว่าตะเกียงทุกดวงจะต้องดับให้สนิท เมื่อได้ยินเสียงระฆังตีบอกเวลาสองทุ่ม เพราะสมัยนั้นอาคารส่วนใหญ่เป็นไม้ จึงอาจเกิดไฟลุกลามเผาผลาญได้
เคอร์ฟิวจึงมีนัยถึงการห้ามออกนอกบ้านในยามวิกาล (เพราะพอดับไฟหมดมันก็มืด) และต่อมาก็กลายเป็นคำสั่งของผู้มีอำนาจ ที่จะบังคับให้คนต้อง ‘อยู่บ้าน’ ในบางช่วงเวลา โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุวิกฤต
แต่คำถามที่หลายคนถามกับการประกาศเคอร์ฟิวที่เกิดข้ึนกับสังคมไทยในวันนี้ก็คือ – เราจะเคอร์ฟิวไปทำไม?
การประกาศเคอร์ฟิวในสังคมยุคใหม่ที่คนไม่ได้โง่เง่าเต่าตุ่นตกอยู่ใต้การปกครองของอุ้งเท้าแบบฟิวดัลแล้ว ต้องเป็นการประกาศโดยมีคำอธิบายประกอบ ว่าจะทำไปทำไม และเมื่อประกาศกฎเดียวออกมาใช้ในสังคมที่สลับซับซ้อนมากว่าสมัยก่อนมากแบบนี้ จะมี ‘มาตรการ’ อะไรออกมารองรับคนที่เดือดร้อนโดยสุจริตบ้าง โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้มีชีวิตสอดคล้องกับช่วงเวลาที่เคอร์ฟิวประกาศ โดยต้อง ‘อำนวยความสะดวก’ ให้คนเหล่านั้นได้มีชีวิตปกติด้วย เช่น คนขับรถขนของไปตลาดสดยามค่ำคืนเพื่อให้คนทั้งเมืองมีกินในยามเช้า พวกเขาอาจต้องเจอกับด่านตรวจมากมาย ซึ่งก็อาจเอื้อให้เกิดการทุจริตได้อีก
การประกาศเคอร์ฟิวไปตามความเคยชินตามสำนึกอำนาจนิยมแบบทหารเพราะคิดว่าจะแก้ปัญหา สุดท้ายอาจกลายเป็นการโยนความเดือดร้อนซ้ำลงไปบนความเดือดร้อนร่วมที่มีอยู่แล้วก็ได้
หลายคนตั้งคำถามว่า – เคอร์ฟิวเพื่อให้ทุกคนอยู่บ้านในยามวิกาล แล้วเกี่ยวอะไรกับการระบาดของโรค
คำตอบที่ได้รับกลับมาก็คือ – การเคอร์ฟิวเป็นไปก็เพื่อจัดการกับ ‘เหี้ย’ และ ‘แรด’ เป็นหลักใหญ่ ส่วนอ้ายอีคนชั้นกลางที่นั่งๆ นอนๆ ดู Netflix อยู่กับบ้านได้ สั่งอาหาร delivery มากินได้ work from home ได้ ไม่ควรจะเดือดร้อนอะไร จะออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทำไม มือไม่พายเอาเท้าราน้ำหรือ หรือว่าเป็นลูกอีช่างแซะ ถึงได้แซะรัฐบาลอยู่นั่นไม่รู้แล้ว บางคนก็ไปไกลถึงขั้นบอกว่า—การเอาแต่ติแต่แซะแสดงให้เห็นว่าคนติคนแซะนั่นมีปัญหา ทั้งที่ถ้าคิดกลับด้าน—การที่คนต้องติต้องแซะต้องวิพากษ์ อาจเป็นเพราะรัฐกำลังสร้างปัญหาขึ้นมาก็ได้ และการติการแซะ ก็เป็นไปเพื่อสะท้อนให้เห็นปัญหาร่วม
ที่จริงแล้ว ปัญหาเด็กแว้นเด็กสก๊อย (รวมไปถึงปัญหาคนไร้บ้านและคนจน) เคยมีคนทำวิจัยไปมากมายแล้ว ว่านี่ไม่ใช่ปัญหาของ ‘ปัจเจก’ คือไม่ใช่เรื่องความเลวความชั่วของคนแต่ละคนเท่านั้น แต่คนเหล่านี้ ‘ถูกทำให้’ ไม่เหลือความหวังอะไรในชีวิต สังคมไม่มีทางออกให้พวกเขา ไม่ว่าจะในด้านการศึกษา สันทนาการ การจัดพื้นที่สาธารณะ และ ‘โอกาส’ ต่างๆ ในชีวิต แต่ที่ร้ายที่สุดก็คือการถูกกดเหยียดในเชิงเศรษฐฐานะมาตั้งแต่เกิดจนความสามารถในการเลื่อนชั้นทางสังคมแทบจะเป็นศูนย์
มันอาจเป็นปัญหาปัจเจกด้วยก็ได้ แต่ที่ใหญ่กว่า – คือมันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง
แต่แล้วพอเกิดเคอร์ฟิว เราก็กลับลากดึงปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้กลับมาสู่ปัญหาปัจเจกลุ่นๆ พล่อยๆ ง่ายๆ ด้วยการบอกว่านี่เป็นเรื่องของความ ‘แรด’ และความ ‘เหี้ย’ ซึ่งเป็นมิติศีลธรรมส่วนบุคคลที่ต้องถูกจัดการ และอาจถึงขั้นอยากให้คนเหล่านี้ถูกกำจัดด้วยซ้ำไป แบบเดียวกับที่ประธานาธิบดีของบางประเทศออกมาบอกว่าอาจจะใช้มาตรการ ‘ยิงทิ้ง’ คนที่ไม่ปฏิบัติตามเคอร์ฟิว
ถามว่า มนุษย์ถูกเรียกว่าเป็น ‘ปัญหาสังคม’ (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นสังคมไหน – ของใคร) เหล่านี้ เพิ่งมาเป็นตอนเกิดโรคระบาดหรือเปล่า—คำตอบก็คือไม่ใช่, แต่รัฐเองนั่นแหละ ที่ล้มเหลวมาตลอดกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้าใจในความเป็นมนุษย์ ปัญหามันจึงไม่เคยได้รับการแก้ไขให้ถูกจุด
ที่สำคัญไปกว่านั้น เราจะเห็นได้ชัดเลยว่า โรคระบาดคราวนี้มันไม่ได้เลือกชนชั้น ไม่ได้เลือกสถานะ จะเป็นคนร่ำรวย คนชั้นสูงส่ง มีเงินทองมากมายแค่ไหน โรคก็ลุกลามไปถึงได้ คนที่ป่วยมีตั้งแต่ทหารยศสูงๆ ที่เป็นคนนำโรคมาแพร่เป็นคนแรกๆ เซียนมวยที่มีเงินทองแพร่สะพัดอยู่ในสนามมวย กระทั่งถึงนักธุรกิจใหญ่ที่บินไปเจรจาธุรกิจกับคนระดับเจ้าสัวของประเทศ
เรื่องแบบนี้นี่เอง ที่ทำให้คนทั่วไปเกิด ‘ความกลัว’ ขึ้นมาในแบบตื่นตระหนกหรือแพนิกซึ่งสุดท้ายก็ไปกดดันให้สมองดึกดำบรรพ์ของตัวเอง คือ Limbic System หรือสมองส่วนที่ควบคุมกลไก ‘สู้หรือหนี’ มันทำงาน
สมองลิมบิกทำให้เรามองโลกเป็นขาวเป็นดำ มันเป็นสมองที่จำเป็นต่อการอยู่รอดของสัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะตั้งแต่สัตว์เลื้อยคลานขึ้นมาถึงมนุษย์ เพราะในสถานการณ์คับขัน ต้องแยกให้ชัดว่าอะไรเป็นมิตรอะไรเป็นศัตรู
ดังนั้น พอโรคระบาดมันลุกลามมา disrupt ชีวิตคนไม่เลือกที่ ไม่เลือกว่าจะเป็นอีลีตหรือไพร่—คนเหล่านี้ก็เกิดความกลัวขึ้นมา ไม่ได้แค่กลัวโรคเท่านั้น แต่กลัวว่าระบบอีลีต-ไพร่ ที่อุตส่าห์สร้างสมมายาวนานจนตัวเองมี status quo เล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง จะต้องพังทลายลงไปเพราะโรค ดังนั้นจึงต้องพยายามรักษาปราการนี้ไว้ให้ได้
จนในที่สุดก็พานโยนปัญหาไปใส่ ‘คนที่(พวกเขามองว่า)ชั้นต่ำ’ ทั้งหลายในสังคม
ว่าเป็นพวกแรดและเหี้ยเหล่านี้นี่แหละ ที่จงใจจะปล่อยเชื้อโรคร้ายใส่คนอื่น ดังนั้น—จึงต้องพยายามกำจัดคนเหล่านี้ออกไปให้ได้
การเคอร์ฟิวจึงเป็นเรื่องน่าแซ่ซ้องชื่นชมยินดี เพราะในแง่หนึ่ง มันคือการ ‘คัดกรอง’ ตามคตินิยมแบบโบราณยุคที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ว่าคนที่ออกไปอยู่มืดๆ ค่ำๆ ตะคุ่มๆ นั้น ถ้าไม่ใช่พวก ‘เหี้ย’ ที่จะมาจี้ปล้น ก็ต้องเป็นพวก ‘แรด’ ที่จะหลบซ่อนไปเอากันตามสุมทุมพุ่มไม้นอกสายตาผู้ใหญ่แน่ๆ
โลกทัศน์ของคนเหล่านี้จึงหดแคบลงมาเหลือเท่าขนาดของ Limbic System ที่ขังตัวอยู่ตรงกลางของกะโหลกศีรษะ โดยลืมนึกไปว่า ในความสลับซับซ้อนของวิถีชีวิตยุคใหม่ ยังมีคนอีกมากที่ไม่ได้ตกลงไปอยู่ในเบ้าและแบบของวิถีชีวิตคนชั้นกลางเหล่านั้น
และที่ต้องเน้นย้ำเอาไว้ก็คือ ทั้งหมดที่เขียนมานี้ ไม่ได้กำลังจะบอกว่าควรหรือไม่ควรเคอร์ฟิวนะครับ เพียงแต่กำลังจะบอกว่า หากจะเคอร์ฟิว ก็ต้อง ‘คิดให้ครบ’ ด้วยการประกาศมาตรการต่างๆ ออกมาให้เห็นชัดๆ
เช่น – อยากให้คน work from home ก็แล้วหน่วยงานราชการได้ประกาศ ‘สั่ง’ ให้ข้าราชการทั้งหลาย work from home อย่างเป็นทางการหรือยัง คนจะได้ทำงานอยู่บ้าน ไม่ต้องออกไปไหนแล้วรีบกลับก่อนเคอร์ฟิว
เช่น – อยากช่วยคนเล็กคนน้อย ก็แล้วได้ใช้ ‘อำนาจพิเศษ’ ในสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ เพื่อ ‘สั่ง’ ให้เจ้าสัวแห่งธนาคาร ไฟแนนซ์ และบริษัทให้กู้ต่างๆ หยุดดอกเบี้ยอย่างเสมอหน้ากันไปก่อนหรือยัง หรือว่าจะปล่อยให้คนล้ม แล้วผลักคนมากมายเข้าสู่หนี้นอกระบบ ซึ่งจะก่อปัญหาอีกร้อยแปดพันประการ
เช่น – อยากจะระบบสาธารณสุขมีประสิทธิภาพ ก็แล้วรัฐบาลได้ใช้ ‘อำนาจพิเศษ’ ในสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ เพื่อ ‘สั่ง’ เจ้าสัวแห่งวงการโรงพยาบาลเอกชนลดราคาการตรวจโรค หรืออำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น สนับสนุนระบบ Telehealth เพื่อบรรเทาภาระหน้าที่ของบุคลากรสาธารณสุข และผู้คนจะได้ไม่ต้องออกจากบ้านหรือเปล่า
ไม่เลย – เรายังไม่เคยเห็นการประกาศสั่งให้กลุ่มทุนใหญ่ๆ ต้องทำอะไรเพื่อช่วยเหลือผู้คนในยามวิกฤตนี้เลย แต่สั่งได้สั่งดีกับคนที่ถูกมองว่าเป็น ‘เหี้ย’ และ ‘แรด’
กับคนจำนวนมาก ‘ชีวิตปกติ’ ของพวกเขาไม่เป็นปกติมนุษย์ เพราะถูกกดด้วยความเหลื่อมล้ำทางโครงสร้างอยู่แล้ว จนแตกดอกออกผลส่วนหนึ่งมาเป็นเด็กแว้นเด็กสก๊อย (รวมไปถึงกลุ่มอื่นๆ อีกมาก)
แต่เมื่อเกิดเหตุใหญ่ จนทำให้ชีวิตทางสังคมไม่ปกติเพราะมีโรคระบาด ก็เกิดจะมาเรียกร้องให้ ‘ทุกคน’ ต้องช่วยกันแบบเท่าเทียมกัน ราวกับว่าทุกคนมีบ้านอยู่ มีความสามารถในการสมัครสมาชิกเน็ตฟลิกซ์และสั่ง delivery อาหารมากินได้ทุกมื้อกระนั้น
นี่ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากการเรียกร้องให้คนแสดงความรับผิดชอบที่เท่าเทียมกันบนฐานที่เหลื่อมล้ำ
นี่อาจแสดงให้เห็นว่า สังคมไทยไม่เคยคิดให้ครบ ซึ่งอาจสร้างปัญหาใหญ่ต่อเนื่องไปได้อีกมาก
นัยแห่งการเปลี่ยน ‘มนุษย์’ ให้กลายเป็น ‘สัตว์’ ด้วยการเรียกคนบางกลุ่มว่าเป็นเหี้ยและแรด เป็นนัยที่เกิดขึ้นจากจากความสิ้นหวังในรัฐโดยไม่รู้ตัว
แต่ด้วยความคุ้นชินจนต้องค้อมหัวฝากผีฝากไข้ไว้ใต้อุ้งเท้าอำนาจนิยม,
สุดท้ายก็จึงต้องฝากความหวังไว้กับความสิ้นหวัง