1
ไม่มีใครไม่รู้จักแอนดี วอร์ฮอล
เขาคือป๊อปไอคอนชื่อดังตลอดกาล ใช่—เขาเป็นศิลปินที่ไม่ธรรมดา และความตายของเขาก็ไม่ธรรมดาด้วยเช่นกัน
2
3 มิถุนายน 1968 ไม่ใช่วันตายของวอร์ฮอล แต่คือวันเฉียดตายของเขา เมื่ออยู่ๆ นักเขียนที่เป็นเฟมินิสต์สายสุดขั้ว หรือ radical feminist คนหนึ่ง ผู้มีนามว่า วาเลอรี โซลานาส (Valerie Solanas) ได้บุกเข้าไปยิงแอนดี วอร์ฮอล ถึงสตูดิโอ
ก่อนหน้านั้นราวหนึ่งเดือน เธอไปหานักเขียนดังอย่าง พอล คราสเนอร์ (Paul Krassner) แล้วขอยืมเงินเขาห้าสิบเหรียญ เชื่อว่า เงินนั้นเธอนำไปซื้อปืนกระบอกที่ใช้ยิงวอร์ฮอล
โซลานาสเคยเขียนหนังสือชื่อ SCUM Manifesto เป็นเหมือนคำประกาศของเฟมินิสต์สายสุดขั้ว ที่มีความเห็นว่า ผู้หญิงคือเพศที่ถูกกดขี่อย่างรุนแรง จนไม่อาจประนีประนอมกับลัทธิชายเป็นใหญ่ได้อีกต่อไป จึงเกิดเป็นเฟมินิสต์ที่เรียกว่า separatist feminist หรือเฟมินิสต์ที่เชื่อว่าผู้หญิงควรต้องแยกไปอยู่รวมกัน และกำจัดผู้ชายทิ้งไปเสีย
ความสัมพันธ์ระหว่างโซลานาสกับวอร์ฮอลนั้นแปลกประหลาด ทั้งคู่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่โซลานาสผู้เกิดในนิวเจอร์ซีย์ได้ย้ายมาอยู่ในนิวยอร์ก และได้พบกับวอร์ฮอล เธอขอให้เขาลงทุนทำละครให้เธอ บทละครของเธอมีชื่อรุนแรงว่า Up Your Ass ซึ่งวอร์ฮอลก็ยินดีทำละครเรื่องนี้ให้ โซลานาสจึงมอบบทให้กับเขา
แต่ต่อมาภายหลัง ด้วยเหตุผลอะไรไม่แจ้ง จู่ๆ โซลานาสก็กล่าวหาว่า วอร์ฮอลทำบทของเธอหายโดยมีเจตนาจะ ‘ขโมย’ บทของเธอไป เธอยืนกรานว่าวอร์ฮอลจะต้องชดเชยเธอเป็นเงิน
ด้วยเหตุนี้ วอร์ฮอลจึงให้เธอมาเล่นหนังของเขา หนังที่มีชื่อว่า I, a Man เพื่อจะได้รับค่าตัวแทนบทละครที่หายไป ซึ่งเธอก็เล่น และถือได้ว่าเป็นคนที่มักคุ้นกับวอร์ฮอลดีพอสมควร
แต่แล้วในวันที่ 3 มิถุนายน 1968 เธอก็เดินเข้ามาหาเขา และยิงเขา พร้อมกับมาริโอ อมายา (Mario Amaya) ซึ่งเป็นคิวเรเตอร์และนักวิจารณ์ศิลปะซึ่งอยู่กับวอร์ฮอลในตอนนั้นพอดี
อามายาได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย แต่วอร์ฮอลได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด หัวใจของเขาหยุดเต้น แพทย์ต้องผ่าหน้าอกของเขา และปั๊มหัวใจเขาหลายครั้งเพื่อกระตุ้นให้หัวใจกลับมาเต้นอีกครั้ง
เหตุการณ์นี้ส่งผลต่อวอร์ฮอลทั้งร่างกายและจิตใจไปจนตลอดชีวิต เขาไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ ว่าเพราะอะไรเหตุร้ายเช่นนี้ถึงเกิดขึ้นกับเขา
โซลานาสไม่ได้เป็นเพียงเฟมินิสต์เท่านั้น แต่เธอยังมีอาการของโรคจิตเภทหวาดระแวงด้วย เธออธิบายการกระทำของตัวเองว่า เป็นเพราะวอร์ฮอล “ควบคุมชีวิตของฉันมากเกินไป”
จะว่าไป นั่นคือการตายครั้งแรกของวอร์ฮอล เพียงแต่เป็นความตายที่ไม่อาจคร่าชีวิตเขาไปได้
ผิดกับความตายครั้งที่สอง กับเหตุการณ์ธรรมดาๆ ที่ไม่น่าจะคร่าชีวิตใครไปได้
แต่มันก็พาแอนดี วอร์ฮอล ให้ต้องพรากจากชีวิต
3
หนังสือพิมพ์ Houston Chronicle พาดหัวว่า
ป๊อปไอคอน แอนดี วอร์ฮอล ตายหลังการผ่าตัดธรรมดาๆ
นิตยสารไทม์ตั้งคำถามว่า ศิลปินป๊อปที่ดังที่สุดของประเทศตายได้อย่างไรในโรงพยาบาลของเมืองใหญ่ที่ก้าวหน้า หลังการผ่าตัดถุงน้ำดีธรรมดาๆ
ข่าวรายงานว่า การผ่าตัดที่เกิดขึ้นกับวอร์ฮอลในวัย 58 ปี คือการผ่าตัดถุงน้ำดี เป็นการผ่าตัดที่เรียกว่า routine surgery หรือการผ่าตัดที่ทำกันเป็นปกติ และความเชื่อนี้ก็ดำรงคงอยู่มายาวนานกว่าสามสิบปี
วอร์ฮอลตายในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 1987 มีรายงานว่า ที่จริงแล้วเขากำลังฟื้นตัวจากการผ่าตัดถุงน้ำดี อาการโดยรวมของเขาดีขึ้นโดยลำดับ แพทย์คาดหมายว่าเขาจะหาย เพราะนี่ไม่ใช่การผ่าตัดใหญ่อะไร แต่แล้วจู่ๆ เมื่อหลับไปในคืนหนึ่ง หัวใจของเขาก็เกิดเต้นไม่เป็นจังหวะ ส่งผลให้เขาเสียชีวิตขณะนอนหลับ
นั่นทำให้เกิดข้อสงสัยมากมาย และในที่สุด ครอบครัวของเขาก็ฟ้องร้องแพทย์และโรงพยาบาลด้วยข้อหาดูแลผู้ป่วยอย่างไม่เหมาะสม ทำให้วอร์ฮอลมีอาการ ‘น้ำเป็นพิษ’ (water intoxication) คือได้รับของเหลวมากเกินไปจนไปคั่งอยู่ตามอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย
มีการชันสูตรร่างของวอร์ฮอล พบว่าตอนเข้าโรงพยาบาล เขามีน้ำหนักตัวแค่ 58 กิโลกรัมเท่านั้น แต่ขณะเสียชีวิต เขามีน้ำหนักตัวสูงถึง 68 กิโลกรัม นั่นคือมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นราว 10 กิโลกรัม โดยครอบครัวของเขาเชื่อว่าเป็นผลมาจากการที่โรงพยาบาลให้สารเหลว (เช่น น้ำเกลือ) แก่วอร์ฮอลมากเกินไป
อาการน้ำเป็นพิษนี้เรียกชื่อได้หลายอย่าง เช่น water poisoning, hyperhydration หรือ overhydration ซึ่งเมื่อร่างกายมีน้ำมากเกินไป น้ำจะเข้าไปคั่งอยู่ตามอวัยวะส่วนต่างๆ รวมถึงสมองด้วย ทำให้สมองทำหน้าที่ตามปกติไม่ได้ ภาวะอิเล็กโทรไลต์ของร่างกายเสียสมดุล สุดท้ายก็เสียชีวิต
4
สามสิบปีหลังการตายของวอร์ฮอล มีการเปิดเผยโดยศัลยแพทย์ที่เป็นนักประวัติศาสตร์การแพทย์อย่าง ดร.จอห์น ไรอัน (John Ryan) บอกว่าที่จริงแล้วการผ่าตัดของวอร์ฮอลไม่ใช่การผ่าตัดธรรมดาๆ
“นี่เป็นการผ่าตัดใหญ่ต่างหาก” ดร.ไรอันว่า เขาบอกด้วยว่า วอร์ฮอลนั้นป่วยหนัก
ดร.ไรอัน นำเสนอผลการค้นคว้าของเขาในการประชุมสมาคมศัลยแพทย์ในปี 2017 ว่า วอร์ฮอลมีปัญหากับถุงน้ำดีมาแล้วเกือบ 15 ปี ทั้งยังมีประวัติคนในครอบครัวป่วยแบบเดียวกันด้วย พ่อของวอร์ฮอลผ่าเอาถุงน้ำดีทิ้งในปี 1928 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่วอร์ฮอลเกิดพอดี
ที่สำคัญก็คือ หนึ่งเดือนก่อนการเสียชีวิต วอร์ฮอลป่วยหนักมาก แต่วอร์ฮอลเป็นคนที่มีนิสัยกลัวโรงพยาบาล เขาจึงไม่ยอมรักษาอย่างจริงจัง ครั้งหนึ่ง วอร์ฮอลไปพบกับศัลยแพทย์ชื่อดังที่รักษาพระเจ้าชาห์แห่งอิหร่านมาแล้ว แต่วอร์ฮอลกลับวิงวอนขอร้องให้มีการรักษาที่บ้านแบบไม่ผ่าตัด เขาถึงขั้นบอกกับแพทย์ว่า ไม่ว่าจะต้องใช้เงินทองมากมายแค่ไหนเขาก็จะให้ ถ้าเพียงแต่เขาจะไม่ต้องผ่าตัด
ในอีกด้านหนึ่ง ก็คล้ายวอร์ฮอลรู้ตัว—ว่าหากผ่าตัดแล้ว เขาจะไม่ได้กลับมาอีก
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุด อาการของวอร์ฮอลก็หนักหนามากขึ้นเรื่อยๆ จนเขาต้องยอมผ่าตัด แพทย์ที่ผ่าเอาถุงน้ำดีของวอร์ฮอลออกมาบอกว่า ถุงน้ำดีของเขาแทบไม่เหลือชิ้นดีแล้ว เพียงตัดออกมา มันก็ย่อยสลายเป็นผุยผง
ดร.ไรอันพบว่า ในช่วงเดือนก่อนหน้านั้น วอร์ฮอลดื่มน้ำและกินอาหารน้อยมาก จนร่างกายของเขาขาดน้ำและผ่ายผอม ร่างกายของเขายังได้รับผลกระทบจากการถูกยิงเมื่อหลายสิบปีก่อน เขาไม่เคยฟื้นตัวจากการถูกยิงครั้งนั้นเต็มที่เลย ต้องใช้เวลานานแสนนานกว่าจะค่อยๆ ดีขึ้นทีละเล็กละน้อย วอร์ฮอลมีปัญหาในการกินและกลืน กล้ามเนื้อหน้าท้องของเขาก็ฉีกขาด ทำให้เขามีอาการไส้เลื่อนขนานใหญ่ด้วย เขาต้องสวมเข็มขัดพิเศษเพื่อไม่ให้ไส้เลื่อนเลื่อนลงมามากเกินไป
เมื่อต้องผ่าตัดถุงน้ำดี แพทย์จึงซ่อมแซมผนังของช่องท้องเขาเพื่อป้องกันไส้เลื่อนไปด้วยพร้อมกัน การผ่าตัดเป็นไปด้วยดี พยาบาลเข้าไปตรวจดูอาการของเขาในราวตีสี่ ทุกอย่างยังคงปกติดี แต่ในอีกสองชั่วโมงให้หลัง พยาบาลพบว่าเขานอนหน้าเขียว ไม่ตอบสนองอะไร และการพยุงชีพทุกอย่างก็ล้มเหลว
เขาตาย
แอนดี วอร์ฮอล ตาย
ผลการชันสูตรระบุว่า สาเหตุการตายคือหัวใจหยุดเต้น
5
หากนี่เป็นการผ่าตัดธรรมดาๆ ง่ายๆ แอนดี วอร์ฮอล ก็ไม่ควรจะตาย
แต่หากนี่คือการผ่าตัดใหญ่ที่ซับซ้อน ยากลำบาก เพราะสภาพร่างกายของเขาไม่พร้อมต่อการผ่าตัด การตายของวอร์ฮอลก็อาจไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดที่มีเงื่อนงำมากจนเกินไปนัก โดยเฉพาะหากคิดว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้เพราะผลพวงหลังการผ่าตัด
แต่เรื่องนี้ต้องใช้เวลาถึง 30 ปี กว่าจะคลี่คลายและแก้ไขความเข้าใจของครอบครัวและผู้คนทั่วไป
สจ๊วร์ต เรดมอนด์ วอลช์ (Stewart Redmond Walsh) แพทย์อีกคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญการเสียชีวิตหลังผ่าตัด ตั้งข้อสังเกตว่าการตายของวอร์ฮอลนั้นเกิดขึ้นเพราะร่างกายที่เจ็บป่วยอยู่แล้วต้องมาพบกับการผ่าตัดใหญ่ จึงอาจสร้างความเครียดให้อวัยวะต่างๆ ได้ โดยเฉพาะหัวใจ ดร.ไรอันบอกว่า โอกาสที่วอร์ฮอลจากตายหลังการผ่าตัด มีอยู่ราว 4.2%
ใช่—ฟังดูไม่มากนัก แต่ก็มากพอที่จะทำให้วอร์ฮอลเข้าไปอยู่ในกลุ่มของผู้จากไป
เขาเคยรอดชีวิตมาแล้วครั้งหนึ่งจากการยิง
แต่ในครั้งนี้ แอนดี วอร์ฮอล ไม่อาจรอดพ้นความตายไปได้
เขาเคย ‘โกงความตาย’ มาแล้วครั้งหนึ่ง นี่คือความตายที่สอง และครั้งนี้ มัจจุราชก็ไม่ปล่อยให้ตัวเองพลาด