สมาคมวิชาชีพสามารถก้าวล่วงการเมืองได้หรือไม่? ไม่เป็นกลางทางการเมืองได้หรือเปล่า?
คำถามนี้เกิดขึ้นกับใครๆ หลายคนในช่วงรอบเดือนที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่ศิลปินผู้แสดงออกทางการเมือง หรือเป็นส่วนหนึ่งขององคาพยพทางการเมือง กลับไม่ได้รับการคุ้มครองจากสมาคมวิชาชีพเท่าที่ควร ไม่มีแถลงการณ์เรียกร้อง หรือแสดงจุดยืนที่ชัดเจน เงียบหายราวกับสายลม
ประเด็นข้างต้นนี้เป็นคำถามที่มีคำตอบอยู่ในตัวแต่แรก เพียงแค่เราทำความเข้าใจถึงต้นกำเนิดของสมาคมวิชาชีพ โดยเฉพาะสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์อเมริกา Director Guild of America (DGA) ซึ่งนับเป็นสมาคมวิชาชีพด้านภาพยนตร์แรกๆ ที่รวมตัวก่อตั้งขึ้นโดยสำนึกในการเป็นสหภาพแรงงานให้แก่คนทำงานภาพยนตร์
Director Guild of America (DGA) ถือกำเนิดขึ้นที่อเมริกาในปี ค.ศ.1936 โดยเป็นการรวมกลุ่มของผู้กำกับชั้นแนวหน้าในยุคดังกล่าวเพื่อปกป้องลิขสิทธิ์ในผลงานและกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ รวมถึงจัดตั้งทีมกฎหมายเพื่อดูแลสัญญาระหว่างสตูดิโอกับผู้กำกับ ปัจจุบันสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์อเมริกานี้มีสมาชิกมากกว่า 18,000 คนทั่วโลก สมาชิกในสมาคมไม่ใช่จำกัดแค่ผู้กำกับ แต่รวมถึงทีมงานใน department ของผู้กำกับทั้งหมด ตั้งแต่ ผู้ช่วยผู้กำกับ, ผู้จัดการกองถ่าย (unit production managers) ผู้จัดการฉาก (stage managers) ผู้กำกับเฉพาะยูนิต (associate directors อาทิ ผู้กำกับคิวบู๊ ฯลฯ) ทีมงานฝ่ายโปรดักชั่นไปจนถึงฝ่ายโลเคชั่น เหล่านี้สังกัดในสมาคมผู้กำกับทั้งสิ้น
การรวมกันเป็นปึกแผ่นของสมาคมผู้กำกับอเมริกา ทำให้เกิดสมาคมผู้กำกับในหลายๆ ประเทศ ที่ทำหน้าที่เป็นหัวหอกในการเจรจากับสตูดิโอผู้ลงทุนสร้างภาพยนตร์ รวมถึงภาครัฐ ในการผลักดันนโยบายด้านภาพยนตร์ พร้อมๆ กันนั้นก็ยังคงเป้าหมายสำคัญในการปกป้องผลประโยชน์ของสมาชิกในสมาคม ผู้กำกับหนังร้อยล้านพร้อมจะออกมาพูดเรียกร้องสิทธิให้ผู้กำกับหน้าใหม่ในสมาคม เพราะถือว่าพวกเขาต้องรักษาผลประโยชน์ร่วมกัน ยิ่งในโลกยุคปัจจุบันการผลิตภาพยนตร์ได้แตกแขนงไปสู่การผลิตละครและซีรีส์ทางโทรทัศน์รวมทั้งสตรีมมิ่งด้วย สมาคมผู้กำกับจึงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการดูแลผลประโยชน์และปกป้องสิทธิของสมาชิกให้ทั่วถึง โดยเฉพาะเรื่องด้านกฎหมาย
หนึ่งในสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ที่มีบทบาทขับเคลื่อนการเมืองและนโยบายอุตสาหกรรมบันเทิงในประเทศอย่างแข็งขันตลอดหลายปีที่ผ่านมา กลับเป็น ‘สมาคมผู้กำกับฟิลิปปินส์’ ประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียนนี่เอง
สมาคมผู้กำกับ vs หน่วยงานจัดเรตติ้ง
สมาคมผู้กำกับฟิลิปปินส์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ The Directors’ Guild of the Philippines Inc. (DGPI) อาจเป็นสมาคมผู้กำกับที่ไม่ได้ปรากฏในสื่อหลักของไทยมากนัก ทว่าบทบาทตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาของสมาคมผู้กำกับฟิลิปปินส์ ต่อการเรียกร้องจุดยืนในสิทธิเสรีภาพของงานภาพยนตร์ ความพยายามรื้อระบบและสร้างมาตรฐานอุตสาหกรรมใหม่ ไปจนถึงการต่อสู้เรื่องเรตติ้งกับทางภาครัฐที่ครอบงำสื่อภาพยนตร์มายาวนาน ภายใต้รัฐบาล ประธานาธิบดี โรดีโก ดูเทอร์เต (Rodrigo Duterte) ที่มีนโยบายแข็งกร้าวท้าชนในทุกเรื่อง
Directors’ Guild of the Philippines, Inc. (DGPI) เป็นสมาคมอยู่ในสังกัด Film Academy of the Philippines (FAP) หน่วยงานที่ดูแลศิลปะภาพยนตร์โดยเฉพาะ ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1981 และเป็นหน่วยงานพันธมิตรของ Academy of Motion Picture Arts and Sciences แห่งอเมริกา พันธกิจของ FAP คือการดูแลและให้การสนับสนุนสมาคมวิชาชีพในสังกัด
นอกจาก DGPI ที่ก่อตั้งเพื่อเคลื่อนไหวด้านสังคมและสิทธิเสรีภาพของภาพยนตร์แล้ว ยังมีสมาพันธ์ผู้กำกับภาพยนตร์ Philippine Motion Picture Directors Association (PMPDA) ที่ก่อตั้งโดยผู้กำกับลิโน บรอคคา เมื่อปี ค.ศ.1982 ซึ่ง PMPDA จะรับหน้าเสื่อดูแลงานประกาศเกียรติคุณและรางวัลด้านวิชาชีพต่างๆ มากกว่า นอกจากสมาคมและสมาพันธ์ผู้กำกับแล้ว สมาคมในสังกัด FAP ยังรวมทั้งสมาคมโปรดิวเซอร์, สมาคมผู้กำกับภาพ, สมาคมผู้ช่วยผู้กำกับและโปรดักชั่นเมเนเจอร์, สมาคม editor ฯลฯ
สำหรับสมาชิกใน DGPI นั้นมีทั้งผู้กำกับรุ่นเก๋า-รุ่นใหม่ ทั้งผู้กำกับหนังตลาดและหนังอินดี้ อาทิ ลาฟ ดิอาซ (Lav Diaz) ผู้กำกับหนังอินดี้เจ้าของรางวัลสิงโตทองคำ จากเทศกาลหนังเวนิส เมื่อปี ค.ศ.2016 จากเรื่อง The Woman Who Left พอล ซอเรียโน (Paul Soriano) ผู้กำกับหนุ่มวัย 39 ที่กำลังมาแรง เคยมีผลงานหนังดังเรื่อง Thelma (ค.ศ.2011) และกำลังจะมีผลงานหนังเรื่อง Alter Me ทาง Netflix รวมถึงผู้กำกับ LGBT ชื่อดังของฟิลิปปินส์อย่าง Joselito Altarejos ที่หนังยาวเรื่องแรกของเขาอย่าง The Man in the Lighthouse นำเสนอภาพ LGBT ในฟิลิปปินส์อย่างสมจริง ไม่ใช่ภาพตลกล้อเลียนเหมือนที่เคยปรากฏในหนังตลาดฟิลิปปินส์มาตลอด
กันยายน ค.ศ.2020 สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ฟิลิปปินส์ ออกแถลงการณ์คัดค้านบอร์ดภาพยนตร์และโทรทัศน์ของฟิลิปปินส์ (Movie and Television Review and Classification Board เรียกย่อๆ MTRCB) ที่ต้องการให้มีการ ‘จัดเรต’ ภาพยนตร์และซีรีส์ฟิลิปปินส์ในระบบสตริมมิ่ง เดิม MTRCB เป็นหน่วยงานของรัฐที่ตั้งขึ้นเพื่อดูแลระบบเรตติ้งภาพยนตร์ เดิมระบบเรทติ้งในฟิลิปปินส์อิงจากระบบเรตติ้งในอเมริกา แต่จะมีเรตติ้ง X เพิ่มเข้ามา เป็นเรตใช้แบนหนังต้องห้ามฉาย โดยเงื่อนไขของหนังที่เข้าเรตนี้มีตั้งแต่ห้ามนำเสนอเนื้อหาเหยียดชาติพันธุ์ ห้ามนำเสนอเนื้อหาที่ทำลายความเชื่อมั่นและเสถียรภาพของรัฐบาล จนถึงห้ามให้ร้ายหรือสร้างความเสื่อมเสียเกียรติ แก่บุคคลที่สร้างคุณความดีงามให้แก่สังคม ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และเสียชีวิตไปแล้ว ฯลฯ
ความระแวงว่าอิสระในการผลิตเนื้อหาภาพยนตร์และซีรีส์ให้แก่สตรีมมิ่ง จะทำให้คนทำหนังฟิลิปปินส์สามารถทลาย ‘กฎเหล็ก’ เรตติ้ง X ที่จำกัดเสรีภาพพวกเขามาเนิ่นนานในการทำหนังวิพากย์ปัญหาสังคม การเมือง หรือแม้แต่ประวัติศาสตร์อย่างตรงไปตรงมา ทำให้ MTRCB พยายามจะเข้ามาจัดเรตสำหรับการผลิตภาพยนตร์และซีรีส์ให้แก่สตรีมมิ่ง ด้วยเหตุนี้ทางสมาคมผู้กำกับฟิลิปปินส์จึงได้ออกแถลงการณ์โต้ทันที
“สตรีมมิ่งอย่าง Netflix มีระบบเรตติ้ง คำเตือนเนื้อหาไม่เหมาะสมและระบบควบคุมสำหรับผู้ปกครองแก่บุตรหลานในการรับชมอยู่แล้ว ทางสมาคมจึงไม่เห็นด้วยหาก MTRCB จะเข้ามาควบคุมเนื้อหาและจำกัดอายุผู้ชมอีก เรายังเชื่อว่าการตั้งคณะกรรมการคัดกรองภาพยนตร์และซีรีส์สำหรับสตรีมมิ่งนี้ จะเป็นผลเสียต่อการผลิตคอนเท้นท์เสรีภายในประเทศ ทำลายพัฒนาการของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ซ้ำเติมเราในช่วงเวลาวิกฤต (COVID-19) เช่นนี้ด้วย
“ในช่วงยุคสมัยที่โลกหมุนเร็วและเปิดกว้าง
อย่าคิดปิดกั้นกันเองเลย”
แถลงการณ์ของสมาคมผู้กำกับนี้ได้รับแรงสนับสนุนทั้งจากดาราชื่อดังและนักการเมืองอาทิ เท็ดดี้ ลอคซิน (Teddy Locsin) ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ที่ออกมาถล่ม MTRCB ว่า “เลิกทำตัวคร่ำครึขวางโลกได้แล้ว มันน่าละอาย” (Enough already with displaying ignorance. It’s embarrassing)
สมาคมผู้กำกับ Vs องค์กรอิสระโดยรัฐ
อุตสาหกรรมภาพยนตร์ฟิลิปปินส์นั้นมีการจัดตั้งองค์กรอิสระอย่าง Film Development Council of the Philippines (FDCP) ขึ้นเพื่อทำหน้าที่ดูแลด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฟิลิปปินส์ เป็นตัวกลางระหว่างรัฐกับสมาคมวิชาชีพในอุตสาหกรรม โดยปณิธานขององค์กรนี้ตั้งไว้ว่ามุ่งหวังพัฒนาเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการศึกษาเพื่อช่วยในการพัฒนาภาพยนตร์ฟิลิปปินส์ทั้งในและต่างประเทศ
ทว่าในช่วงวิกฤตโรคระบาด COVID-19 องค์กร FDCP ได้ออกมาตรการควบคุมการถ่ายทำภาพยนตร์ ละคร และรายการโทรทัศน์ในฟิลิปปินส์ ภายใต้ชื่อ ‘Clarificatory Guidelines on the FDCP-DOH-DOLE Joint Administrative Order No. 2020-001 on the Health and Safety Protocols on the Conduct of Film and AV Production Shoots.’
ปัญหาหลักๆ ที่ทาง DGPI แย้งทาง FDCP คือข้อกำหนดให้ต้องส่งรายละเอียดในการถ่ายทำทั้งหมด (บท/แผนงาน/ทีมงาน ฯลฯ) ให้แก่ทาง FDCP ร่วมกับทาง กระทรวงแรงงาน (Department of Labor and Employment (DOLE) และกระทรวงสาธารณสุข (the Department of Health (DOH) ภายใน 7 วันก่อนถ่ายทำ ผู้ฝ่าฝืนจะมีโทษปรับและจำคุก มีผลควบคุมทั้งการถ่ายทำภาพยนตร์ ละคร ซีรีส์ และรายการโทรทัศน์ ในรายละเอียดดังกล่าวทาง DGPI เห็นว่าการให้สิทธิ FDCP เข้ามา ‘ตรวจสอบ’ บทและอื่นๆ ก่อนการถ่ายทำ มีสิทธิที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตการถ่ายทำดังกล่าว จะเป็นการนำไปสู่การควบคุมเนื้อหาและเสรีภาพของผู้กำกับภาพยนตร์ หรือซีรีส์ แม้กระทั่งงานคอนเทนต์ออนไลน์ (โฆษณาจนถึงภาพยนตร์และซีรีส์ที่ฉายทางสตรีมมิ่ง)
“เราเห็นว่ามาตรการดังกล่าวของ FDCP จะทำให้พวกเขามีอำนาจในการก้าวก่ายงานโปรดักชั่นและความคิดสร้างสรรค์ของผู้กำกับ การจะออกมาตรการใดๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์โดยรวม ควรได้รับคำปรึกษา หรือรับรองจากคนในอุตสาหกรรมทุกๆ ตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับ, นักแสดง หรือโปรดิวเซอร์ จนถึงทีมงาน ไม่ใช่แค่ให้อำนาจ FDCP ออกมาตรการตามใจชอบ องค์กรไม่ได้เป็นตัวแทนของบุคลากรในวงการภาพยนตร์แต่อย่างใด”
“ซ้ำร้ายสถานการณ์ขณะนี้ วงการภาพยนตร์ฟิลิปปินส์ได้รับผลกระทบหนักอยู่แล้วจากสถานการณ์ในปัจจุบัน หากยังมีความพยายามทางรัฐหรือหน่วยงานใดเข้ามาแทรกแซงการทำงานในอุตสาหกรรม จะเป็นการซ้ำเติมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฟิลิปปินส์เข้าไปอีก จากเดิมที่เราต้องคอย ‘รายงาน’ ให้แก่รัฐ ถ้าหากจะต้องขยับเพดานไปสู่การถูก ‘ตรวจสอบ’ ไปจนถึง ‘ควบคุม’ ผ่านองค์กรอิสระของรัฐแล้ว ก็นับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสิทธิและเสรีภาพในการนำเสนอศิลปะภาพยนตร์ ในนามสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ฟิลิปปินส์ เราขอปฏิเสธมาตรการควบคุมการถ่ายทำที่ออกโดย FDCP”
“As the film industry struggles to get back on its feet, the DGPI reiterates that it opposes any form of additional agency intrusion on productions. Not during a pandemic. Not ever. The slippery slope from ‘reporting’ to ‘monitoring’ to ‘controlling’ is steep and dangerous to freedom of expression. The DGPI says NO to FDCP Advisory 06.”
สมาคมผู้กำกับ Vs กองทัพ
นอกจากการยืนยันในสิทธิและเสรีภาพของผู้กำกับ การโต้แย้งหน่วยงานและองค์กรอิสระของภาครัฐที่มีความพยายามจะเข้ามาแทรกแซง กำกับ และควบคุมการผลิตภาพยนตร์โดยนโยบายต่างๆ แล้ว สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ฟิลิปปินส์ยังมีความแข็งแรงมากพอที่จะออกแถลงการณ์เพื่อประณามการกระทำของคนในกองทัพ ที่พยายามบิดเบือนว่ามีการฉายภาพยนตร์ในโรงเรียนเพื่อปลุกระดมให้นักเรียน-นักศึกษาเข้าร่วมกับคอมมิวนิสต์ล้มล้างรัฐบาลประธานาธิบดีรอดริโก ดูเออเต้ (เอ คุ้นๆ นะมุกคอมมิวนิสต์นี้)
กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.2018 เมื่อนายพลคาลิโต กัลเวซ จูเนียร์ และ พลจัตวา แอนโตนิโอ ฟาร์เลด จูเนียร์ (Antonio Parlade Jr.) ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบกฝ่ายยุทธการแห่งกองทัพฟิลิปปินส์ (Armed Forced of the Philippines (AFP) กล่าวหาว่ามีมหาวิทยาลัยนับสิบแห่งในมานิลา ที่จัดฉายภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาวิพากย์กฎอัยการศึกในยุคประธานาธิบดีเผด็จการ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส (Ferdinand Marcos) (ที่ประกาศกฎอัยการศึกในฟิลิปปินส์ยาวนานนับสิบปี ตั้งแต่ปี ค.ศ.1972-1981)
ภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเข้าข่ายดังกล่าวมีถึง 40 เรื่อง โดยทั้งสองนายพลระบุว่า การจัดฉายภาพยนตร์เหล่านี้มีขึ้น เพื่อปลุกปั่นให้นักศึกษาเชื่อว่าการปกครองประเทศในยุคประธานาธิบดีดูเออเต้นั้น คล้ายคลึงกับยุคสมัยมากอส และจะนำมาสู่การล้มล้างรัฐบาลในปัจจุบัน เลยเถิดถึงขั้นเป็นการโฆษณาชวนเชื่อให้นักศึกษาเข้าร่วมขบวนการคอมมิวนิสต์อีกด้วย
หลังเกิดการกล่าวหาเช่นนี้ขึ้น DGPI ได้ออกแถลงการณ์ประณามนายพลทั้งคู่ผ่านทาง official page ของสมาคมว่า
“เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ.2018 CNN ฟิลิปปินส์ได้นำเสนอข่าวว่ามีผู้ช่วยเสนาธิการทหารบกฝ่ายยุทธการแห่งกองทัพฟิลิปปินส์ ได้ให้สัมภาษณ์ว่าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งฟิลิปปินส์ (CPP) ได้มีการใช้การฉายภาพยนตร์การเมืองวิพากย์ยุคเผด็จการมาคอสในพื้นที่มหาลัย เพื่อหาแนวร่วมนักศึกษาเข้าร่วมพรรค”
ทางสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ฟิลิปปินส์ได้ขอประณามคำกล่าวอ้างดังกล่าวว่า เป็นความพยายามให้ร้ายป้ายสีการฉายภาพยนตร์การเมืองในสถานที่สาธารณะและสถานศึกษา ให้เข้าข่ายผิดกฎหมาย สร้างความเข้าใจผิดแก่สาธารณชน
ในสภาวะทางการเมืองเช่นนี้ การที่ตัวแทนกองทัพบกฟิลิปปินส์กล่าวอ้างดังกล่าว ไม่ได้เป็นอันตรายเพียงแค่ภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการเมืองเท่านั้น แต่ยังคุกคามเสรีภาพในการแสดงออกของภาพยนตร์ทุกเรื่องด้วย
ภาพยนตร์เป็นเครื่องมือสำคัญ
ที่จะทำนุบำรุงประชาธิปไตย
ภาพยนตร์ไม่ได้เพียงแต่มีหน้าที่สร้างความบันเทิง หรือเผยแพ่วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของชาติเท่านั้น แต่ภาพยนตร์ยังเป็นกระจกสะท้อนให้คนในชาติได้เห็นถึงสังคม ทั้งด้านที่เปี่ยมด้วยมนุษยธรรมและไร้ซึ่งมนุษยธรรม ภาพยนตร์จึงเป็นส่วนสำคัญในการสร้างชาติในยุคสมัยใหม่เช่นนี้
เพียงเหตุผลข้อนี้ ก็เพียงพอที่เราจะต้องเรียกร้องให้สังคมให้ความสำคัญกับภาพยนตร์ ปกป้องเสรีภาพของศิลปะภาพยนตร์และตัวศิลปินไว้อย่างถึงที่สุด
ในทางเดียวกัน ภาพยนตร์ก็เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะนำพาให้เยาวชนและนักศึกษาเกิดความคิดอ่าน ให้พวกเขาค้นหาความรู้ ความเชื่อ กล้าที่จะพูดคิดและแสดงจุดยืนอย่างที่พวกเขาเชื่อว่าจะนำพาสังคมประชาธิปไตยให้ดียิ่งขึ้นไปอีก
ช่วงเวลาอันเปราะบางเช่นนี้ ในยามที่ความจริงถูกบิดให้ผิดเพี้ยน ภาพยนตร์จึงเป็นเครื่องมือสำคัญยิ่งที่จะแสดงให้เห็นว่ายังมีเสรีภาพในการแสดงความคิดและเชื่อออกมาอยู่ ขอให้ผู้กำกับภาพยนตร์จงกล้าหาญพอจะเปล่งเสียงความคิดที่มีออกไป ศิลปะจะไม่เงียบเฉย เราสมาคมผู้กำกับฟิลิปปินส์ขอสนับสนุนให้สถานศึกษาต่างๆ มุ่งมั่นในการจัดฉายภาพยนตร์การเมืองเพื่อการศึกษาต่อไป และในท้ายสุด เราขอฝากถึงผู้กำกับภาพยนตร์ทุกท่าน ไม่ว่าพวกท่านจะอยู่ฝั่งขั้วการเมืองใดก็ตามแต่ ขอให้พวกท่านจงสร้างภาพยนตร์ด้วยความคิดความเชื่อที่มี ที่จะเป็นประโยชน์แก่สังคมต่อไป
ส่งท้าย
ผู้เขียนเชื่อว่าสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไม่ว่าจะชาติใดในโลกนั้น แรกเริ่มตั้งพันธกิจเดียวกันคือ เพื่อปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของสมาชิกในสมาคมเหนือสิ่งอื่นใด เพราะผู้กำกับภาพยนตร์ก็นับเป็นศิลปินประเภทหนึ่ง ศิลปินที่ต้องการอิสระทางความคิด อิสระทางการแสดงออก อิสระทางการจะสร้างสรรค์ผลงานตามความเชื่อของตน
การต่อสู้ของสมาคมผู้กำกับฟิลิปปินส์นั้น เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการยืนหยัดต่อความถูกต้อง ต่อคุณค่าของศิลปะ ต่อคุณค่าของคนในฐานะมนุษย์ที่มีเจตจำนงเสรีและอุดมการณ์หล่อเลี้ยงชีวิต ยังมีการต่อสู้ในทำนองนี้อีกมากมายจากหลายประเทศที่มีสมาคมผู้กำกับและหน่วยงานภาพยนตร์ที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะในประเทศเกาหลีใต้ อังกฤษ ฮ่องกง หรือแม้แต่ไต้หวัน
เพราะภาพยนตร์สำหรับคนทั้งโลกไม่ใช่แค่ความบันเทิงชั่วครู่ยาม แต่เป็นตราประทับทางประวัติศาสตร์ที่จะทำให้คนรุ่นลูก-หลาน เข้าใจตัวคนทำเอง ว่าเคยเป็นคนแบบไหน มีความเชื่อและศรัทธาพอที่คนรุ่นหลัง จะนับถือหรือพูดถึง สมควรถูกประเมินคุณค่าหรือเปล่า?
อ้างอิงข้อมูลจาก
https://www.facebook.com/notes/directors-guild-of-the-philippines-inc-dgpi/dgpi-board-of-directors-public-statement-10042018/10160979032915374/