“Man is least himself when he talks in his own person. Give him a mask, and he will tell you the truth.”
(มนุษย์เป็นตัวของตัวเองน้อยที่สุดหากเขาพูดในนามของตัวเขาเอง ส่งหน้ากากให้เขา เขาจะบอกความจริงกับคุณ)
ประโยคข้างต้นน่าจะสะท้อนให้เห็นมุมมองบางประการต่อความสัมพันธ์ระหว่างการสื่อสารและความเป็นตัวตนของผู้สื่อสารได้เป็นอย่างดี—โดยไม่ต้องตีความหลายชั้น เราย่อมเข้าใจได้ว่าผู้กล่าวประโยคนี้เชื่อว่า ‘การใส่หน้ากาก’ หรือการปกปิดตัวตนของผู้พูด มีส่วนช่วยสำคัญให้ผู้พูดกล้าหาญมากพอที่จะเปิดเผยความจริงออกมามากกว่าที่เคย
อย่างไรก็ตาม การสวมหน้ากากปิดบังตัวตนก็ไม่ได้เป็นเป็นตัวช่วยในการเปิดเผยความจริงหรือเป็นหลักประกันว่าบุคคลใต้หน้ากากจะพูดความจริงเสมอไป หลายต่อหลายครั้ง การใส่หน้ากากนั้นอาจเป็นไปเพื่อช่วยให้ผู้คนปกปิดตัวตนจากการกระทำสิ่งผิดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดีย
งานศึกษาวิจัยจำนวนหนึ่งเผยให้เห็นว่า การปกปิดตัวตนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนไม่ได้รู้จักคุ้นเคยกันในชีวิตจริงมีพฤติกรรมการสื่อสารที่มีแนวโน้มรุนแรงต่อกันมากขึ้นบนโซเชียลมีเดีย เช่น การใช้ถ้อยคำเสียดสี รุนแรง ด่าทอ (hate speech) และการกลั่นแกล้งกันบนโลกออนไลน์ (cyber bullying) เพราะคิดว่าไม่มีใครสามารถสืบสาวมาถึงตัวได้
และหากผมบอกว่า ประโยค “Man is least himself when he talks in his own person. Give him a mask, and he will tell you the truth.” ที่ยกมา เป็นประโยคอมตะจากงานเขียนของ ออสการ์ ไวลด์ นักเขียนไอริชชื่อดังล่ะ? น่าสนใจว่า ผู้อ่านซึ่งรู้จักนักเขียนชื่อดังคนนี้จะรับรู้และเข้าใจต่อประโยคดังกล่าวเปลี่ยนไปรึเปล่า?
เสรีภาพในการสื่อสาร หรือความรับผิดชอบ
การถือกำเนิดของโซเชียลมีเดียได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการสื่อสารของมนุษยชาติไปโดยสิ้นเชิง จากยุคโบราณที่ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารระหว่างบุคคลหรือการสื่อสารสาธารณะ (ซึ่งน่าจะทำได้มากที่สุดในลักษณะของการป่าวประกาศ) ผู้สื่อสารก็ไม่สามารถปิดบังตัวตนจากผู้รับสารได้เท่าไหร่นัก จนกระทั่งการมาถึงของเทคโนโลยีการสื่อสารรูปแบบใหม่ที่ทำให้นิเวศน์สื่อเปลี่ยนแปลงไป ตั้งแต่การประดิษฐ์แท่นพิมพ์ เรื่อยมาจนถึงการสื่อสารทางสายและการสื่อสารไร้สาย ความสะดวกและช่องทางที่หลากหลายขึ้น จึงทำให้ความสามารถในการปิดบังตัวตนในการสื่อสารของผู้คนมากขึ้นตามไปด้วย
การศึกษาความสัมพันธ์ของการสื่อสารกับการปิดบังตัวตนหรือ ‘ความเป็นนิรนาม’ นั้นมีมาก่อนหน้าการมาถึงของโซเชียลมีเดียหลายทศวรรษ งานวิจัยจำนวนมากให้ข้อค้นพบที่ใกล้เคียงกันว่า การปิดบังตัวตนนำมาซึ่งผลกระทบทั้งเชิงลบและเชิงบวก เช่น ผู้สื่อสารที่ปกปิดตัวตนมีแนวโน้มจะมีความก้าวร้าว ใช้ถ้อยคำที่รุนแรง และแสดงความเหยียดหยามเกลียดชังมากกว่าการสื่อสารแบบเปิดเผยตัวตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสื่อสารบนโซเชียลมีเดียซึ่งผู้สื่อสารมักไม่ได้ปฏิสัมพันธ์ทางกายภาพแบบเดิมกับคู่สื่อสาร การสื่อสารแบบปกปิดตัวตนอาจนำมาซึ่งพฤติกรรมต่อต้านสังคม สูญเสียความยับยั้งชั่งใจ มีความหุนหันพลันแล่น หรือที่แวดวงผู้ใช้โซเชียลมีเดียเรียกกันว่า อาการ ‘หัวร้อน’
ขณะเดียวกัน การปกปิดตัวตนก็นำมาซึงผลกระทบเชิงบวกที่น่าสนใจ เช่น การปกปิดตัวตนเปิดโอกาสให้ผู้สื่อสารกล้าแลกเปลี่ยนถกเถียงในประเด็นที่อ่อนไหวหรือเรื่องที่ในบางสังคมอาจเห็นว่าเป็นเรื่องน่าอับอายที่จะสื่อสารกันมากกว่าเดิม
ในสถานการณ์ปัจจุบันซึ่งเกือบทั้งโลกกำลังเผชิญประเด็นปัญหาเรื่องการแพร่กระจายของข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง (disinformation) และข่าวลวง (fake news) การเปิดเผยตัวตนและการปกปิดตัวตนในการสื่อสารได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของข้อถกเถียงเรื่องจริยธรรมทางการสื่อสาร ในฐานะที่การแสดงตัวตนถือเป็นเครื่องแสดงความรับผิดชอบขั้นต่ำที่สุดของผู้สื่อสารต่อสารที่ตัวเองสื่อ ต่อผู้รับสาร และต่อสังคมด้วย
เสรีภาพในการสื่อสารเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย แต่แม้กระทั่งในสังคมที่ไม่มีการปิดกั้นเสรีภาพทางการสื่อสารเลยก็ตาม การสื่อสารบนโซเชียลมีเดียก็ยังถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีเสรีภาพจริงหรือไม่ ในเมื่อการทำงานของโซเชียลมีเดียแต่ละแพลตฟอร์มถูกออกแบบมาบนพื้นฐานของการสร้างรายได้ให้แก่แพลตฟอร์มจากแสดงข้อมูลและข่าวสารบางอย่างทั้งในรูปแบบของการโฆษณาและรูปแบบอื่นๆ โดยแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียนั้นๆ เป็นผู้มีสิทธิ์ขาดในการกำหนดว่าเราจะสามารถเข้าถึงข้อมูลใดบ้างผ่านอัลกอริธึมที่ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ทราบ
ไม่นับรวมว่าข้อมูลที่เราเห็นยังอาจจะเป็นข้อมูลที่เป็นเท็จ ในยุคที่เทคโนโลยีทำให้การสื่อสารสามารถทำได้อย่างง่ายดาย รวดเร็ว และมีต้นทุนต่ำ ข้อมูลข่าวสารทั้งที่เป็นจริงและเท็จถูกสร้างและสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วจนเกือบเท่ากับความเร็วของแสง จำนวนข้อมูลมากมายมหาศาลทำให้การคัดกรองข้อมูลเท็จออกจากข้อมูลจริงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากขึ้น นอกจากนี้การคัดกรองข้อมูลก็ดูเหมือนจะเป็นการขัดกันทางผลประโยชน์ (conflict of interest) และสวนทางกับโมเดลธุรกิจของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่สร้างรายได้จากการมีอยู่และการกระจายข้อมูลจำนวนมหาศาล นอกเหนือไปจากข้อเรียกร้องที่มีต่อผู้สื่อสารให้รับผิดชอบต่อสารที่ต้องการสื่อด้วยการเปิดเผยตัวตน ประเด็นปัญหานี้จึงนำมาซึ่งการเรียกร้องความรับผิดชอบทางจริยธรรมจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเองอีกด้วย
ข้อเรียกร้องทางจริยธรรมที่สังคมมีต่อโซเชียลมีเดีย ทำให้โซเชียลมีเดียเรียกร้องกลับมายังผู้ใช้งานอีกทอดหนึ่ง เราจึงได้เห็นปรากฏการณ์ที่โซเชียลมีเดียหลายแพลตฟอร์มเริ่มพยายามที่จะให้ผู้ใช้เปิดเผยชื่อและนามสกุลจริง บางแพลตฟอร์มมีเงื่อนไขให้ผู้ใช้งานต้องยืนยันตัวตนโดยเอกสารที่ระบุตัวตน เช่น บัตรประจำตัวประชาชน เสียก่อนจึงจะใช้งานได้ นำไปสู่ข้อสงสัยใหม่เรื่องความเป็นส่วนตัว ว่าข้อมูลที่เราใช้เพื่อยืนยันความมีตัวตนของตัวเองนั้นถูกเก็บรักษาอย่างไร และจะแน่ใจอย่างไรว่าข้อมูลของเราจะไม่ถูกนำไปใช้เพื่อหาประโยชน์ในทางอื่น
ในสภาวะเช่นนี้ การแสดงตัวตนและการปกปิดตัวตนถูกผลักให้กลายเป็นคู่ตรงข้ามที่ต้องเลือก เมื่อการแสดงตัวตนนั้นสัมพันธ์กับการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมที่ผู้คนพึงกระทำ ขณะที่การปกปิดตัวตนก็เกี่ยวเนื่องถึงเสรีภาพในการสื่อสารที่ผู้คนพึงมี
สำหรับประเทศไทย ภาครัฐมีความคิดเรื่องความรับผิดชอบในการสื่อสารด้วยการเปิดเผยตัวตน และแสดงออกด้วยการออกกฎหมายที่มีโทษรุนแรงต่อผู้นำเข้าข้อมูลที่รัฐถือว่าเป็นข้อมูลอันเป็นเท็จ รวมทั้งมีการออก พ.ร.บ. ความมั่นคงไซเบอร์ฯ ซึ่งให้อำนาจรัฐในการตรวจสอบ โดยในกรณีเร่งด่วน เจ้าหน้าที่จะสามารถใช้อำนาจโดยไม่ต้องขอหมายจากศาล รวมทั้งสามารถสอดส่องผู้ต้องสงสัยได้ในแบบเรียลไทม์
การบังคับใช้ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และ พ.ร.บ. ความมั่นคงไซเบอร์ฯ เหล่านี้ นำไปสู่ความกังวลในหลายเรื่อง เช่น การกลั่นแกล้งเพื่อหวังผลทางการเมือง การล่าแม่มด การละเมิดความเป็นส่วนตัว ข้อมูลส่วนบุคคล ตลอดจนเสรีภาพในการสื่อสาร เนื่องจากอำนาจในการตีความว่าข้อมูลไหนเป็นความ ‘จริง’ หรือ ‘เท็จ’ ตามกฎหมายดังกล่าวเป็นอำนาจของคนบางกลุ่มเท่านั้น การกำกับดูแลของรัฐไทยด้วยการใช้กฎหมายจึงถูกตั้งคำถามถึงความเป็นธรรมและความเท่าเทียมในการบังคับใช้ และส่งผลต่อแนวโน้มในการปกปิดตัวตนของคนในสังคมภายใต้ช่องทางการสื่อสารต่างๆ
จากการเป็นนิรนามสู่ความ somebody
เป็นความจริงที่ว่า ประสิทธิผลของการสื่อสารของบุคคลที่มีทุนทางวัฒนธรรมและทุนทางสังคมที่ต่างกันย่อมมีความไม่เท่าเทียมกัน เพราะตัวตน ชื่อเสียง ชาติกำเนิด การศึกษา หน้าตา อันเป็นทุนทางวัฒนธรรมและทุนทางสังคมของบุคคลนั้นส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของผู้สื่อสารและการรับรู้ของผู้ฟัง
ตรงกันข้ามกับความเป็น ‘นิรนาม’ ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับการไม่มีต้นทุนทางวัฒนธรรมและต้นทุนทางสังคมใดๆ ในหลายสังคม รวมทั้งสังคมไทย บ่อยครั้งเราพบว่า ‘สาร’ ที่ต้องการสื่อนั้นอาจยังไม่สำคัญเท่ากับว่า ‘ใครเป็นผู้สื่อ’ และกลับกลายเป็นว่าทุนทางวัฒนธรรมและทุนทางสังคมของผู้สื่อสารนั้นได้รับการประเมินว่ามีคุณค่าและความสำคัญเหนือกว่าตัวสาร
หากเราเป็น nobody ซึ่งมีทุนทางวัฒนธรรมและทุนทางสังคมน้อย สิ่งที่เราสื่ออาจจะไม่ได้รับความสนใจ แต่หากเราเป็น somebody ในสังคมแล้วล่ะก็ แม้จะเงียบเฉยไม่สื่อสารใดๆ ผู้คนยังอาจจะพากันตีความว่าความเงียบเฉยนั้นเป็น ‘สาร’ บางอย่าง ทั้งที่ในความเป็นจริงอาจไม่มีอะไรเลยก็ได้
แต่ ‘ความนิรนาม’ มีข้อดีอย่างน้อยสองประการ
ประการแรกคือ ผู้สื่อสารที่เลือกจะเป็นนิรนามสามารถปกป้องตัวเองจากอันตรายจากการสื่อสารได้ และประการที่สองคือ ผู้รับสารจะสามารถตัดตัวตนของผู้สื่อสารออกไปและสนใจที่ ‘สาร’ อย่างแท้จริง ไม่ปล่อยให้ทุนทางวัฒนธรรมและทุนทางสังคมของผู้สื่อสารมาบดบังคุณค่าที่แท้จริงของตัวสาร
โซเชียลมีเดียมีคุณสมบัติบางประการที่แตกต่างจากการสื่อสารในรูปแบบเก่า (ซึ่งผมเคยพูดถึงในบทความก่อนหน้า) คือสามารถใช้เป็นช่องทางในการสร้างทุนทางสังคม และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถสร้างตัวตนใหม่ที่อาจจะไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงขึ้นมาได้ ผู้ใช้สามารถสร้าง ผลิตซ้ำ และเผยแพร่คอนเทนต์เข้าสู่โซเชียลมีเดียได้อย่างง่ายดาย และทำให้ผู้ใช้สามารถกลายเป็น somebody (หรือที่เรียกกันในภาษาปัจจุบันว่า celebrity หรือ influencer) ในสังคมได้ง่ายขึ้น โดยที่ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะใช้ชื่อนามสกุลจริง หรือเลือกที่จะใช้นามแฝงในฐานะร่างอวตารหรือร่างทรงดิจิทัลก็ย่อมได้
ยิ่งไปกว่านั้น โซเชียลมีเดียไม่เพียงแต่เอื้อให้ nobody กลายเป็น somebody ได้ง่ายขึ้น แต่ยังเอื้อให้ความเป็นนิรนามหรือบุคคลนิรนามกลายเป็น somebody ได้ด้วย จะเห็นได้จากการที่บุคคลนิรนามผู้ปกปิดตัวตนหลายกลุ่มได้กลายมาเป็น somebody ทางโซเชียลมีเดียมากมาย ทั้งในลักษณะของเฟซบุ๊กเพจ เช่น มิตรสหายท่านหนึ่ง วิวาทะ ไข่แมว อีเจี๊ยบเลียบด่วน โดยในปัจจุบัน หลายคนที่เคยเป็นนิรนามจำนวนหนึ่งก็ได้หลุดออกจากการปิดบังตัวตนมาสู่การเผยตัวตนและเป็น somebody ในที่สุด เช่น จ่าพิชิต ขจัดพาลชน แห่งเพจ drama-addict
อย่างไรก็ดี ผมพบว่าในบรรดา nobody ที่กลายมาเป็น somebody ทั้งหลาย เพจ มิตรสหายท่านหนึ่ง มีความน่าสนใจและมีความแตกต่างจากนิรนามอื่นๆ เป็นอย่างมาก เพราะได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ที่ก้าวข้ามความเป็น somebody ไปอีกระดับ คือ การสร้างวัฒนธรรมสื่อสารแบบ “มิตรสหายท่านหนึ่ง” ขึ้นมา
ปรากฏการณ์ “มิตรสหายท่านหนึ่ง”
เพจ มิตรสหายท่านหนึ่ง ได้เลื่อนไหลจากความเป็น nobody ไปสู่ความเป็น somebody และนำไปสู่ปรากฏการณ์ที่ไกลกว่านั้น ปรากฏการณ์ “มิตรสหายท่านหนึ่ง” คือปรากฏการณ์การแพร่ขยายของแนวคิดการสื่อสารแบบปกปิดตัวตนโดยมีเพจ มิตรสหายท่านหนึ่ง เป็นจุดเริ่มต้นและเป็นแบบอย่าง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังของการสื่อสารแบบนิรนามของ nobody อย่างชัดเจน
ความเป็น “มิตรสหายท่านหนึ่ง” ได้แพร่หลายไปสู่ผู้ใช้งานทั่วไป จนกระทั่งได้กลายมาเป็นวัฒนธรรมการสื่อสารแบบใหม่ในโซเชียลมีเดีย โดยผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียหันมาผลิตซ้ำ ส่งต่อ หรือ ‘แชร์’ คอนเทนต์ในฐานะ “มิตรสหายท่านหนึ่ง” โดยไม่ระบุที่มาจากตัวบุคคลจริง ปรากฏการณ์นี้ทำให้เกิดการก้าวข้ามข้อจำกัดเดิมของการสื่อสารในโซเชียลมีเดีย จากการที่ผู้ผลิตคอนเทนต์แรกเริ่มต้องการเปิดเผยตัวตนเฉพาะกับผู้ที่อยู่ในแวดวงของตน แต่ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนต่อสาธารณะในวงกว้าง จึงจำกัดการเปิดเผยตัวเฉพาะกับผู้ที่อยู่ในแวดวงของตนอย่างจำเพาะเจาะจง อนุญาตให้มีเฉพาะกลุ่มเพื่อนในเฟรนด์ลิสต์หรือผู้ติดตามเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงคอนเทนต์ได้ ผู้จะนำคอนเทนต์นั้นไปเผยแพร่ต่อจึงต้องผลิตซ้ำคอนเทนต์และระบุที่มาในนาม “มิตรสหายท่านหนึ่ง”
ปรากฏการณ์ “มิตรสหายท่านหนึ่ง” นี้ ทำให้คอนเทนต์ต่างๆ สามารถแพร่หลายไปได้มากกว่าเดิมโดยที่เจตนารมณ์ในการปกปิดตัวตนของผู้สร้างคอนเทนต์แรกเริ่มยังคงอยู่ นอกจากนี้ ความเป็น “มิตรสหายท่านหนึ่ง” ยังได้ตัดความเชื่อมโยงระหว่างคอนเทนต์หรือสารกับตัวตนของผู้สร้างคอนเทนต์หรือผู้สื่อสารออกไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้ผู้รับสารหันมาให้ความสนใจเฉพาะที่ตัวสารหรือตัวคอนเทนต์เท่านั้น โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าปรากฏการณ์ “มิตรสหายท่านหนึ่ง” นี้ได้สร้างวัฒนธรรมการสื่อสารรูปแบบใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมไทย จากที่แต่เดิมดูจะให้ความสำคัญกับตัวตนของผู้สื่อสารมากกว่าสารที่ผู้สื่อสารต้องการสื่ออยู่เสมอ
เราควรให้ความสำคัญกับตัวสารมากกว่าตัวตนของผู้สื่อสาร และสำหรับสังคมที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย 99.99% ประชาชนไม่ควรต้องมีความหวาดกลัวที่จะแสดงความคิดเห็น เพราะการแสดงความคิดเห็นเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและเป็นมาตรฐานขั้นต่ำสุดที่สังคมประชาธิปไตยพึงมี
อ้างอิงข้อมูลจาก
- McCallman, T. (2019). “The shadow in the comments section: Revealing anonymous online users in the social media age.” Campbell Law Review, 41 (1), 225-252.
- Zimbardo, P. G. (1969). “The human choice: Individuation, reason, and order versus deindividuation, impulse, and chaos.” Nebraska Symposium on Motivation, 17, 237-307.
- Suler, J. (2005). “The online disinhibition effect.” International Journal of Applied Psychoanalytic Studies, 2 (2), 184-188.
- Peddinti, S. T., Ross, K. W., & Cappos, J. (2014). On the Internet, nobody knows you’re a dog: A Twitter case study of anonymity in social networks. In Proceedings of the Second ACM Conference on Online Social Networks. New York, NY: ACM. pp. 83-94.