1.
“ที่นี่ออสเตรีย ไม่น่ามีอะไรหรอกครับ อาชญากรรมก็ต่ำ เขาคงไปกับสาวน่ารักสักคนล่ะมั้ง”
วิกฤติสภาพอากาศ ที่ทำให้โลกร้อนขึ้น ส่งผลกระทบต่อหิมะในเทือกเขาแอลป์ ซึ่งบางส่วนตั้งอยู่ในประเทศออสเตรียอย่างมาก เพราะมันทำให้ธารน้ำแข็งละลายลงด้วยความเร็วอันน่าหวาดวิตกยิ่งนัก
ประเมินกันว่าเทือกเขาแห่งนี้ อาจจะสูญเสียมวลหิมะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และพืชพรรณซึ่งปกติจะเติบโตได้ดีในพื้นที่เบื้องล่าง ขณะนี้มันกลับโตบนที่สูง จนทำให้พื้นที่ที่เคยปกคลุมด้วยสีขาวโพลนมาหลายพันปี บัดนี้กับกลายเป็นสีเขียวไปอย่างเหลือเชื่อ
อย่างไรก็ดีเพราะภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง มันดันเกิดผลดีต่อครอบครัวหนึ่ง เพราะเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2003 เจ้าหน้าที่รีสอร์ต ซึ่งอยู่ ณ เทือกเขาแห่งนี้ ได้สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เป็นสีเหลืองท่ามกลางหิมะขาวโพลน ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นกองขยะ ซึ่งนักท่องเที่ยวมือบอนสักคน ทิ้งเรี่ยราดไว้ จึงรีบตรงไปหวังจะหยิบทิ้งลงถังขยะ
แต่เมื่อเข้าไปใกล้ เจ้าหน้าที่ก็ถึงกับตกตะลึง เพราะสิ่งดังกล่าว ดันเป็นศพคนที่ถูกแช่งแข็งในหิมะ และสีเหลืองที่เห็นในตอนแรก ก็คือเสื้อกันหนาวนั่นเอง
ทางรีสอร์ตรีบแจ้งตำรวจออสเตรียให้เข้ามาตรวจสอบทันที พวกเขาพบว่าร่างนี้ ถูกฝังอยู่ใต้ธารน้ำแข็งที่ถูกภาวะโลกร้อนหลอมละลาย จนเผยโฉมศพนี้ให้โลกเห็น
เมื่อพลิกร่าง แล้วตรวจดูทุกอย่าง ก็พบบัตรประจำตัวซากกระดูกนี้ จึงสามารถระบุชื่อของผู้เสียชีวิตได้ นี่เป็นชื่อที่ทางการออสเตรียมีข้อมูลบอกไว้ว่าเป็นบุคคลสูญหายมาหลายสิบปีแล้ว พวกเขาเลยดำเนินการแจ้งครอบครัวคนตาย ผ่านการประสานไปยังสถานทูตแคนาดา
ด้วยระยะทางที่ไกลกันกว่า 7 พันกิโลเมตร ครอบครัวสามีภรรยาคู่หนึ่ง ซึ่งแม้จะอยู่ในวัยชรา แต่ทั้งคู่ก็ยังรอคอยด้วยความหวัง และแล้วในที่สุด พวกเขาก็ได้รับแจ้งข่าวร้ายที่คิดและคาดการณ์มาไว้หลายปีแล้ว แม้จะเป็นเรื่องสลด แต่มันก็ทำให้สิ้นสุดคำถามมากมาย หลังจากรอคอยคำตอบมาอย่างยาวนานกว่า 14 ปี
ทุกอย่างจบลง เมื่อปลายสาย พูดออกมาว่า
“เราพบลูกชายคุณแล้ว”
2.
บ็อบ กับลินดา แม็คเฟอร์สัน (Bob – Lynda MacPherson) มักจะเล่าถึงลูกชาย ดันแคน แม็คเฟอร์สัน (Duncan MacPherson) ว่า เป็นเด็กหนุ่มที่หลงใหลในกีฬาฮอกกี้น้ำแข็ง เขามุ่งมั่น ซ้อมหนัก จนสามารถเข้าไปเล่นในลีกอาชีพของแคนาดาได้ โดยมีสองสามีภรรยาช่วยผลักดันสนับสนุนความก้าวหน้าอยู่เสมอ
แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ปัญหาอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า ทำให้ชายหนุ่มได้เล่นในลีกอาชีพแค่ 2 ปีเท่านั้น จึงตัดสินใจยุติเส้นทางนี้ไว้ ทว่าด้วยความรักในฮอกกี้น้ำแข็ง เขาเลยไปรับงานโค้ชกับทีมสโมสรในสก็อตแลนด์แทน โดยจะขอแวะเที่ยวในยุโรปเสียก่อน
“ลูกเป็นคนทำอะไรเป๊ะมาก เขาจะแจ้งเสมอว่า ตอนนี้อยู่ที่ไหน และทำแบบนี้ประจำ ตอนไปเที่ยวที่นั่น”
วันที่ 12 สิงหาคม ปี 1989 ดันแคนแจ้งพ่อกับแม่ แฟนสาวและเพื่อนสนิทว่า เขาเดินทางไปเล่นสโนว์บอร์ดที่เทือกเขาแอลป์ ณ ประเทศออสเตรีย และนั่นมันดันกลายเป็นครั้งสุดท้ายที่ครอบครัว แฟนสาว และเพื่อนสนิท ได้ยินเสียงเขาผ่านทางโทรศัพท์
1 อาทิตย์ผ่านไป ไม่มีใครได้ข่าวดันแคน กระทั่งสโมสรฮอกกี้น้ำแข็งในสก็อตแลนด์ โทร.เข้ามาหาบ็อบกับลินดาว่า ทำไมลูกชายของเขาถึงไม่ปรากฏตัวเสียที
แม้ระหว่างนั้นสามีภรรยาคู่นี้จะกังวล แต่ก็ยังมองโลกในแง่ดีว่า ลูกคงอยู่ระหว่างเที่ยวเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และไม่ว่างโทร.หาพ่อกับแม่ ซึ่งแม้จะแปลกอยู่สักหน่อย ก็พอทำใจได้
อย่างไรก็ดีพอสโมสรแจ้งมาแบบนี้ บ็อบกับลินดาจึงเก็บข้าวของเดินทางไปไกลกว่า 7 พันกิโลเมตร เพื่อเข้าพบตำรวจออสเตรียทันที
กระนั้นเจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่า ประเทศนี้มีอาชญากรรมที่ต่ำมาก เรื่องร้ายๆ ก็ไม่ค่อยเกิดขึ้น และคิดว่าดันแคนน่าจะติดพันสาวน่ารักสักคนในประเทศนี้กระมัง
“เรามีสาวสวยในออสเตรียเยอะครับผม”
คำพูดของตำรวจ จบลงที่ไม่อาจนำไปสู่การสอบสวนความคืบหน้าอะไรได้เลย สองสามีภรรยาเลยตัดสินใจค้นหาลูกด้วยตัวเอง โดยแจ้งข้อมูลไปยังสื่อแคนาดา ที่ช่วยโหมกระพือข่าว อดีตนักกีฬาฮอกกี้น้ำแข็ง หายตัวไปที่ยุโรป จนทางนักข่าวออสเตรียต้องนำเสนอตาม และนั่นนำไปสู่การช่วยตามหาของพลเมืองในประเทศนี้
กินเวลาไม่กี่วัน โดยไม่มีตำรวจช่วย หนังสือพิมพ์ออสเตรียกับแคนาดา เผยข่าวว่าโรงแรมแห่งหนึ่ง แจ้งข้อมูลพบรถยนต์สีแดง จอดทิ้งไว้ในลานจอดรถ ใกล้กับเทือกเขาแอลป์ โดยมันเป็นรถที่ดันแคนเช่ามา ภายในนั้นกระเป๋าเดินทางยังอยู่ครบ ไม่มีอะไรสูญหาย ไม่มีร่องรอยโดนรื้อค้น
เบาะแสนี้ ทำให้ทั้งคู่ใจชื้นขึ้น และคิดว่าลูกน่าจะอยู่ไหนสักแห่ง ทว่าหลังจากนั้นทุกอย่างก็เงียบลง ไม่มีข้อมูลว่าดันแคนอยู่ไหนในตอนนี้ แต่บ็อบและลินดาก็ไม่ย่อท้อ พวกเขาเดินทางไปกลับระหว่างออสเตรียกับแคนาดา ถึง 14 ครั้งด้วยกัน เพื่อตามหาลูกที่รัก
ถึงกระนั้น ทุกอย่างก็จบด้วยความสิ้นหวัง ไร้ซึ่งความคืบหน้าใดๆ ทั้งสิ้น
จนกระทั่งเกิดภาวะโลกร้อน และธารน้ำแข็งละลาย พวกเขาจึงได้เดินทางไปพบลูกชายอีกครั้ง หลังจากไม่ได้เห็นหน้ากันมานานกว่า 14 ปี แม้ดันแคนจะไม่มีชีวิตแล้วก็ตาม แต่อย่างน้อยพ่อกับแม่ก็ได้เจอเขาแล้ว
หลังพบศพ สื่อมวลชนต่างนำเสนอเหตุการณ์นี้อย่างเกรียวกราว พร้อมคำถามสำคัญ
เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่?
ทางตำรวจออสเตรีย เจ้าของพื้นที่ ถือว่าพอพบศพดันแคนแล้ว ก็สามารถตัดรายชื่อไม่ใช่คดีคนหายอีกต่อไป ยิ่งพบข้าวของอุปกรณ์การเล่นสโนว์บอร์ด ตรวจดีเอ็นเอยืนยันได้ชัวร์ว่าคืออดีตนักกีฬาฮอกกี้จริง จึงสรุปแบบรวดเร็วว่า ดันแคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ล้มหัวฟาดพื้น ก่อนไถลกลิ้งลงไปในช่องธารน้ำแข็ง โดนหิมะปกคลุม ทำให้ซ่อนเร้นอำพรางศพโดยธรรมชาติ นานกว่า 14 ปี เป็นอันปิดคดีได้แล้ว
อย่างไรก็ดี เพราะมันเป็นคดีใหญ่ในแคนาดา จึงมีคนสงสัยมากมายว่า ข้อสรุปของตำรวจออสเตรียมันง่ายและหยาบไปไหม จึงทำให้เกิดนักสืบและทีมนิติเวชสมัครเล่น รวมถึงผู้เชี่ยวชาญมากมายร่วมชันสูตรแบบละเอียด กินเวลายาวนานกว่า 8 ปี
ในที่สุดพวกเขาก็พบว่า การเสียชีวิตของดันแคน ไม่เป็นดังที่ทางการออสเตรียสรุปไว้ เพราะทางผู้เชี่ยวชาญเริ่มเห็นอะไรบางอย่างผิดปกติ และสันนิษฐานเอาว่า
“เขาน่าจะถูกฆาตกรรมมากกว่า”
3.
ทางทีมนิติเวชจากอเมริกาและแคนาดา ซึ่งเจียดเวลาทำงาน มาร่วมกันตรวจสอบศพดันแคน รวมถึงนักสืบสมัครเล่นทั้งหลายต่างเดินทางไปดูสถานที่จริง และส่งข้อมูลกันในโลกออนไลน์ มีการเขียนบทความ ออกหนังสือ ตั้งข้อสงสัยสารพัด
นี่จึงทำให้หลักฐานของปริศนานี้ปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ แม้จะใช้เวลานาน แต่ในที่สุดเหล่าทีมสืบสวนเริ่มมีข้อสรุปว่า การที่ดันแคนประสบอุบัติเหตุขณะเล่นสโนว์บอร์ดนั้น อาจจะเป็นไปได้ เพราะมีร่องรอยกระดูกหักหลายแห่ง บ่งชี้เขาบาดเจ็บสาหัสมากจากการล้มกระแทกพื้น
อย่างไรก็ดีพอพิจารณา ที่ตัวเครื่องเล่นสโนว์บอร์ด และร่างของผู้เสียชีวิต ตรงกระดูกที่ขาขวา กลับพบร่องรอยคมมีดตัดจนขาด รองเท้ามีรอยของมีคมเฉือนเข้าให้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่หิมะจะทำให้เกิดแผลรุนแรงแบบนี้ได้
แผลต้องสงสัยนี้ ทำให้ทีมนิติเวช ตรวจสอบข้อมูลจุดพบศพอีกครั้ง โดยจุดที่ธารน้ำแข็งละลายและเผยให้เห็นร่างดันแคนนั้น ไม่ใช่จุดที่จะมีใครไปเล่นสโนว์บอร์ดได้ แสดงว่าเขาต้องล้มกลิ้งลงมาอย่างแรง จนกระเด็นมาที่จุดนี้ ซึ่งมันก็อาจเป็นไปได้ หากเราใช้ความเร็วสูงมาก
แต่แผลจากของมีคมที่เฉือนขาจนขาดนั้น มาจากไหนกันเล่า
ทีมสืบสวนของแคนาดา เดินทางไปที่จุดเกิดเหตุ พวกเขาตรวจสอบบริเวณโดยรอบ แล้วก็พบรถตักหิมะขนาดใหญ่ เจ้าหน้าที่จึงเช็กยานพาหนะนี้แบบละเอียด ถึงขั้นดูตัวตัก ซึ่งมีคมมีดไว้ใช้โกยหิมะ พอเอาไปตรวจสอบกับแผลของดันแคน ก็พบว่าเป็นของมีคมชนิดเดียวกัน
เจ้าหน้าที่ดูระยะทางที่รถขับผ่านเพื่อโกยหิมะ เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเล่นสกีกันได้ ก่อนหวนไปดูสภาพศพอีกครั้ง พบว่าแม้จะมีรอยแผลถูกตัดออกจากกัน แต่ดันแคนไม่ได้เสียชีวิตทันที เขาตายจากการจมอยู่ใต้กองหิมะต่างหาก
ทีมแพทย์นิติเวช ใช้เวลาหลายเดือน ก่อนได้ข้อสรุปว่า ดันแคนอยู่ระหว่างฝึกเล่นสโนว์บอร์ด หลังจากมาพักที่รีสอร์ต ณ เทือกเขาแอลป์ได้ประมาณอาทิตย์หนึ่ง
โดยเขาได้เล่นมันตามประสานักกีฬา แต่ในวันเกิดเหตุ ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่าพายุเริ่มแรงมากขึ้น ทำให้แทบไม่มีใครออกไปเล่นสกีกันเลย ระหว่างฝึกฝนอย่างเอาจริงเอาจังอยู่นั้น เขาเกิดพลาดท่า ไถลสโนว์บอร์ดจนล้มไปกองกับพื้นอย่างรุนแรง มีอาการบาดเจ็บสาหัส ถึงกับช็อก แต่ยังไม่สลบ พอมีสติ และระหว่างดิ้นรนเพื่อหาทางเอาตัวรอด กินเวลาหลายนาที เขาก็ได้ยินเสียงบางอย่าง จึงหันไปเห็นรถตักหิมะขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนเข้ามา
“เจ้าตัวคงคิดว่า มีคนมาช่วยเราแล้ว”
ระหว่างที่เขยิบร่างกายอย่างปวดร้าว ไปใกล้ๆ รถคันนั้น ปากกำลังตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ แต่เพราะหมอกที่หนา และเจ้ายานพาหนะยักษ์นั้น ก็ส่งเสียงดัง จนคนขับไม่มีทางได้ยินเสียงมนุษย์คนไหน ในบริเวณดังกล่าวได้
ขณะชายหนุ่มพยายามกระเสือกระสนคลานเข้าไปใกล้ๆ โดยหวังว่าโชเฟอร์จะเห็นและหยุดรถ เพื่อช่วยเหลือ แต่เจ้าตัวเครื่องตักได้เฉือนเข้ากับร่างของดันแคนอย่างจัง ทำเอาขาเขาขาด และลำตัวแหว่ง จากคมมีดนี้ เช่นเดียวกับเครื่องเล่นสโนว์บอร์ด
ระหว่างนั้น ทางโชเฟอร์รถได้หยุดเครื่องลง เพราะรู้สึกได้ว่าที่ตักสัมผัสอะไรบางอย่าง เมื่อลงไปดูก็พบกับร่างดันแคน
ถึงตรงนี้มีสมมุติฐานน่าสนใจ 2 จุดด้วยกัน อย่างแรกคือ คนขับดื่มเหล้าขณะทำงาน จนมีอาการเมา เลยไม่ทันสังเกตเห็นดันแคน และนั่นมีโทษถึงขั้นถูกไล่ออกจากงานได้เลย
หรืออีกข้อสังเกตหนึ่งคือ ทางคนขับรถตักหิมะ ก็ช็อกตกใจเหมือนกัน เพราะไม่คิดว่าจะมีใครอยู่ตรงนั้น ด้วยความกลัวว่าจะถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม จึงคิดจะทำอะไรบางอย่างขึ้น
แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน ผลก็คือผู้ก่อเหตุตัดสินใจลากร่างดันแคนที่บาดเจ็บสาหัส แต่ยังมีชีวิตอยู่ เอาขึ้นรถ แล้วนำไปทิ้งที่ธารน้ำแข็ง จุดปลอดตาคน หวังว่าจะไม่มีใครเห็น แล้วฝังร่างที่ยังมีลมหายใจ ปล่อยเขาตาย ณ ที่ตรงนั้น อย่างโหดเหี้ยมและเลือดเย็นอย่างมาก
หากโลกไม่ร้อน หิมะไม่ละลาย เราก็คงไม่รู้ว่าได้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น ณ เทือกเขาแอลป์แห่งนี้
พลันที่ทางนิติเวชแคนาดาแถลงเรื่องนี้ออกมา ตำรวจออสเตรียได้โต้ว่า จากการสืบสวนของพื้นที่ ยืนยันว่าดันแคนตายเพราะอุบัติเหตุ เป็นอันปิดคดีได้ นั่นจึงทำให้ครอบครัวของดันแคน ไม่เคยรู้เลยว่าคนขับรถตักหิมะในวันดังกล่าว คือใครกันแน่
มันเลยกลายเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้
ทั้งนี้คำแถลงของออสเตรีย ทำให้ทางโลกออนไลน์คาดการณ์ว่า สาเหตุที่พวกเขาไม่ต้องการให้รื้อฟื้น หรือตรวจสอบว่าเป็นคดีฆาตกรรม ก็เพราะมันอาจจะส่งผลเสียต่อการท่องเที่ยวและภาพลักษณ์ประเทศได้ รวมถึงการทำงานของตำรวจที่ปล่อยปละละเลยคดีนี้มานานหลายสิบปี ทั้งหมดจะนำไปสู่รอยด่างพร้อยให้กับดินแดนแห่งนี้
นี่จึงไม่นำไปสู่การรื้อฟื้นการสอบสวนของตำรวจออสเตรียแต่อย่างใด
แม้ทางบ็อบกับลินดาจะตัดสินใจฟ้องศาลยุโรป เพื่อเรียกร้องสิทธิ์ให้กับลูกชายสุดที่รัก แต่ทางผู้พิพากษาก็เห็นควรให้เป็นไปตามบทสรุปของตำรวจออสเตรีย
นั่นทำให้คดีนี้เป็นอันสิ้นสุด แม้ทางแคนาดา และสื่อมวลชนที่ไปทำข่าวจะเชื่อว่าดันแคนถูกฆาตกรรม และถูกละเลยจากออสเตรียก็ตาม
แต่มันก็ไม่นำไปสู่การหาตัวฆาตกรในเหตุการณ์นี้แต่อย่างใด
4.
ภายหลังการหายตัวไปของดันแคน บ็อบกับลินดาไม่เคยกลับเข้าไปสนามฮอกกี้น้ำแข็งอีกเลย จวบจนมีข่าวพบร่าง มีข้อมูลสรุปการเสียชีวิตของลูก ทั้งคู่จึงตัดสินใจกลับไปดูกีฬานี้อีกครั้ง หลังจากห่างเหินมานานหลายสิบปี
อย่างไรก็ดีความเจ็บปวดที่ไม่ได้รับความยุติธรรม ยังปรากฏอยู่ในใจของทั้งสองเสมอมา พวกเขาเสียใจที่ทางการออสเตรียไม่ได้ดำเนินการอะไรต่อ ไม่ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ นับตั้งแต่เกิดเรื่องมาจนถึงทุกวันนี้ แถมยังไม่มีทีท่าจะเปลี่ยนมุมมองต่อคดีนี้เลย
ลินดายอมรับว่าเธอเหนื่อยมากกับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับลูกชายสุดที่รัก และไม่รู้เหมือนกันว่าอนาคตต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร แต่เธอคิดว่าทางการออสเตรียคงจะไม่มีวันรื้อฟื้นเหตุการณ์นี้มาสอบสวนใหม่
“มันคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแน่ เพราะมีคนมากมายที่ร่วมโกหกปิดบังเต็มไปหมด”
ทุกวันนี้สองสามีภรรยานำร่างดันแคนมาฝังที่แคนาดาแล้ว เพื่อนฝูงหลายคนยังคิดถึง เพราะอดีตนักกีฬาฮอกกี้รายนี้ เป็นที่รักแก่ทุกคน มีประวัติความสะอาด น่าเสียดายหัวใจเศร้าที่ต้องมาจบชีวิตลงก่อนวัยอันควร
เรื่องราวของดันแคนจึงมีแต่คนพูดถึงมากมาย และยังอยู่ในความทรงจำของบ็อบกับลินดาเสมอมา
แม้จะผ่านความปวดร้าวมาตลอดหลายปี แต่สามีภรรยาก็ยังเชื่อว่า ในอนาคต ฆาตกรที่ทำกับลูกเธอจะได้รับการเปิดเผย และหากมันยังมีชีวิตอยู่ ก็คงจะต้องถูกดำเนินคดี
และถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง ก็คาดว่าทางการออสเตรียจะสำนึกผิดในสิ่งที่ทำกับทั้งสองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ลินดาบอกกับนักข่าว ด้วยสีหน้าหมองตรม แต่ดวงตายังมีความเชื่อมั่นว่า
“ฉันกับสามีหวังไว้นะ สักวันหนึ่ง จะมีใครบางคน กล้าก้าวออกมารับผิดชอบ ต่อการจากไปของลูกชายเราเสียที”
อ้างอิงจาก