เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ที่ผ่านมานี้ ท่านรองนายกรัฐมนตรี ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพิ่งจะให้สัมภาษณ์ว่า ต่อไปอยากให้เรียกชาว ‘โรฮิงญา’ (Rohinya) ว่า ‘เบงกาลี’ (Bengali) ซึ่งก็น่าประหลาดดีนะครับ เพราะว่าเอาเข้าจริงแล้ว ชาวโรฮิงญา (หรือใครจะถอดเสียงออกมาแล้วสะกดด้วยตัวอักษรไทยว่า ‘โรฮีนจา’ ก็นั่นแหละ หมายถึงพวกเดียวกัน) เขาบอกว่าตนเองไม่ใช่พวกเบงกาลีเสียหน่อย!
อันที่จริงแล้ว คำว่า ‘เบงกาลี’ หมายถึงภาษาตระกูลหนึ่ง ซึ่งสืบรากมาจากตระกูลภาษาอินโดยูโรเปียน ในภูมิภาคของพวกพี่ๆ ในดินแดนภารตะเขา โดยแตกแขนงมาจากภาษาสันสกฤต และค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตามลักษณะท้องถิ่นที่ใช้อยู่แพร่หลายกันอยู่ในดินแดนที่เรียกกันว่า แคว้น ‘เบงกอล’ (Bengal) พูดง่ายๆ ว่า เป็นภาษาท้องถิ่นของดินแดนบริเวณแคว้นที่ว่า และก็จึงไม่ต้องสืบเลยว่าคำว่า เบงกาลี มาจากไหน?
และก็เป็นด้วยเหตุผลที่ว่าจึงพาให้ใครต่อใครที่พูดภาษาเบงกาลี ก็เลยจะถูกเรียกแบบเหมารวมกันไปหมดว่าเป็นพวกเบงกาลีนั่นเอง
แต่พวก ‘โรฮิงญา’ ก็อ้างว่าเขามีภาษาพูดเป็นของตนเองนะครับ ซึ่งก็เรียกว่า ภาษาโรฮิงญา ปัญหาก็คือว่า ภาษาของพวกเขานั้นแตกแขนงมาจากภาษาเบงกาลีอยู่อีกทอด ซึ่งก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับภาษาพม่าเอาเสียเลย นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชาวพม่า เห็นโรฮิงญาเป็นคนนอก หรือคนอื่น คือเป็นใครก็ได้ แต่ไม่ใช่พม่า
ที่ซวยซ้ำ ซวยซ้อน ไปกว่านั้นก็คือว่า พวกโรฮิงญานั้นนับถือศาสนาอิสลาม และถิ่นที่อยู่ ควบศูนย์กลางทางวัฒนธรรมดันไปตั้งอยู่ในดินแดนของหมู่ชาวพุทธ โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณดินแดนอาระกัน (Arakan) หรือที่เอกสารเก่าของไทยมักจะเรียกว่า ยะไข่ ที่ถูกถือว่าเป็นพุทธภูมิที่คร่ำเคร่งที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศพม่า ซึ่งมักจะถูกนำไปอธิบายว่า ความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมความเชื่อนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้ชาวโรฮิงญาถูกปฏิบัติอย่างแทบจะไม่นับเป็นมนุษย์ในดินแดนแถบนั้น
(เอาเข้าจริงนี่ก็เป็นเหตุผลที่ออกจะประหลาด และอันที่จริงแล้วก็ดูออกจะไม่ควรนับว่าเป็นเหตุผลอยู่มากทีเดียว เพราะไม่ว่าจะเป็นความแตกต่าง หรือความหลากหลายใดๆ ก็ไม่ควรจะทำให้ใครสามารถนำมาอ้างได้ว่าอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ไม่เท่ากันนี่เนอะ?)
วิบากกรรมของความเป็น ‘คนอื่น’ (หรือที่เรียกได้ว่าแทบจะไม่ถูกนับเป็นคน) ของชาวโรฮิงญานั้น ตั้งอยู่บนลัทธิชาตินิยมแบบสุดลิ่มของพม่า ดูง่ายๆ ก็จากกรณีการเปลี่ยนชื่อประเทศของพวกเขานี่แหละ
รัฐบาลทหารพม่า (SLORC, State Law and Order Restoration Council) เปลี่ยนชื่อประเทศอย่างเป็นทางการจาก The Union of Burma หรือที่เรียกแบบไทยๆ ว่า ‘พม่า’ มาเป็น The Union of Myanmar หรือ ‘เมียนมาร์’ ในเวอร์ชั่นภาษาไทย เมื่อปี พ.ศ. 2532 และเปลี่ยนเป็น Republic of the Union of Myanmar ในปัจจุบัน ด้วยเหตุผลที่ว่า คำว่า ‘Burma’ เป็นชื่อเรียกที่ผิดเพี้ยนตามอำเภอใจของชาติเจ้าอาณานิคมอย่าง อังกฤษ เมื่อคราวที่ได้เข้ามาปกครองดินแดนของพวกเขา
แถมยังเชื่อต่อๆ กันมา โดยที่ไม่รู้ว่าใครเริ่มเชื่อเป็นคนแรกด้วยอีกว่า ที่พวกอั้งม้อที่สุดแสนจะชั่วร้ายพวกนั้นมันเรียกผิด เป็นเพราะไปจดบันทึกชื่อประเทศโดยฟังจากสำเนียงชาวพม่าทางใต้ (ซึ่งก็แน่นอนว่า ไม่ใช่พม่ามาตรฐาน หรือเผลอๆ จะเป็นมอญ) หรืออาจจะจดมาจากสำเนียงแถบยะไข่ (ใช่ครับใช่ ถิ่นที่อยู่ของพวกโรฮิงญานี่แหละ) ซึ่งเป็นสำเนียงที่แปร่งแปลกไปจากข้อมูลที่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์อ้างอิงไว้
จารึกหลักหนึ่งของเมืองพุกาม (Pagan) (อารยธรรมเก่าแก่แหล่งสำคัญที่สุดแหล่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของชาวพม่า) ลงศักราชตรงกับ พ.ศ. 1778 มีข้อความระบุไว้เป็นหลักฐานว่าพวกเขาเรียกประเทศของตัวเองว่า ‘เมียนมา’ (Myanma Pyay) มาตั้งแต่เมื่อเฉียดๆ 800 ปีที่แล้วโน่นเลย ซึ่งนี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้มีการเปลี่ยนชื่อประเทศไปเป็น ‘เมียนมาร์’ เมื่อ พ.ศ. 2532 นั่นเอง
หากจะว่ากันอย่างเคร่งครัด การเขียนโดยสะกดว่า ‘เมียนมาร์’ ก็ผิดจากสำเนียงดั้งเดิมอยู่ดี ทั้งๆ ที่เป็นการเขียนตามตัวสะกดตามชื่อประเทศใหม่ ที่รัฐบาล SLORC ประกาศใช้ในภาษาอังกฤษอย่างเป็นทางการคือ ‘Myanmar’ ที่มีเสียง ‘r’ หรือ ‘ร์’ ลงท้ายคำ เพราะถ้าจะเขียนตามรูปศัพท์โบราณอย่างที่เคลมนัก เคลมหนา จริงๆ นั้น มันต้องไม่มีตัว ‘r’ ต่างหาก ดังนั้น ราชบัณฑิตสภาของไทยได้ประกาศให้สะกดชื่อประเทศนี้ว่า ‘เมียนมา’ นั้นจึงถูกต้องตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์แล้วนะครับ แต่ก็ผิดถ้าเทียบจากชื่อประเทศของเขาในปัจจุบันอย่างที่ใช้กันโดยสากลไปแบบงงๆ
(ที่จริงแล้ว คำว่า ‘เมียนมา’ เป็นคำเดียวกับคำว่า ‘พม่า’ หรือ ‘Bama’ ในภาษาพูดของชาวพม่า เวลาพูดเร็วๆ มักแผลงเสียง ‘ม’ เป็น ‘บ’ หรือ ‘พ’ ในภาษาไทย และรวบเสียง ‘เ-ีย’ เป็น ‘-ะ’ เรียกได้ว่า ที่จริงจะใช้คำไหนก็ไม่ผิดเสียหน่อย?)
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนในประเทศพม่าที่จะชอบใจกับการเปลี่ยนชื่อประเทศครั้งนั้นนัก โดยเฉพาะฝ่ายต่อต้านรัฐบาล SLORC
เพราะพวกเขาเห็นว่ารัฐบาล SLORC พยายาม ‘กลืนชาติ’ ทุกชาติพันธุ์ให้กลายเป็นพม่า ทั้งที่ในความเป็นจริงภายในประเทศพม่ามีผู้คนอยู่หลากเผ่าหลายพันธุ์ ที่สำคัญคือ กระบวนการต่อสู้เพื่อกอบกู้เอกราชจากอังกฤษนั้นสำเร็จได้ด้วยความร่วมมือจากชนเผ่าต่างๆ ไม่ใช่กอบกู้ได้จากฝีมือของชาวพม่าแต่เพียงพวกเดียวเสียหน่อย
การประกาศชื่อประเทศตามชื่อชนกลุ่มหนึ่งในอาณาบริเวณของประเทศนั้น (แม้ว่าจะเป็นกลุ่มชนที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในดินแดนแห่งนั้นก็ตาม) ย่อมผลักชนกลุ่มอื่นไปเป็นคนกลุ่มน้อยไปโดยปริยาย และแน่นอนว่าเมื่อไม่ใช่คนกลุ่มใหญ่ สิทธิเสียงก็มีน้อยไปกว่าคนอื่นเขา ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ มันได้ก่อให้เกิดปัญหาความรุนแรงตามมาด้วย โดยเฉพาะพวกไทใหญ่ในรัฐฉาน, พวกกะเหรี่ยงสารพัดกลุ่ม แต่ที่หนักข้อ และโหดเหี้ยมทารุณมากที่สุดในระยะนี้ก็คือ โรฮิงญา นี่แหละ
นอกเหนือจากความแตกต่างของภาษา ศาสนา และแน่นอนว่าย่อมควบรวมไปถึงประเพณีวัฒนธรรมด้วยแล้ว ประวัติศาสตร์ของชาวโรฮิงญา ที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์แห่งชาติของพม่านี่แหละครับ ที่เป็นหนึ่งในตัวการสำคัญ
เพราะประวัติศาสตร์ฉบับดังกล่าวนั้นอ้างว่า ชาวโรฮิงญา เดิมอาศัยอยู่ในแคว้นเบงกอล ประเทศอินเดีย (นี่แหละที่มาของการถูกผลักให้เรียกว่าเป็น พวกเบงกาลี) ก่อนที่จะอพยพเข้ามาในช่วงที่อังกฤษเข้ามาปกครองเป็นเจ้าอาณานิคมของอินเดียและพม่า พร้อมๆ กับการที่อังกฤษเข้ามาทำสงครามผนวกเอาดินแดนแคว้นยะไข่ หรืออาระกัน และพม่าเข้ามาอยู่ภายใต้อาณานิคมของตนเอง ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2367-2369 เท่านั้นเอง
ในประวัติศาสตร์แบบนี้ ชาวโรฮิงญาก็ตกอยู่ในฐานะของ ‘ผู้รุกราน’ ไม่ต่างไปจากพวกอังกฤษเท่าไหร่หรอกนะครับ แถมยังเข้ามาในดินแดนของพวกเขาได้ เพราะการรุกรานของอังกฤษ ที่นำความชอกช้ำมาสู่ชาติของพวกเขาอีกต่างหาก เล่นอังกฤษคืนไม่ได้ ก็เล่นพวกลูกกระจ๊อกของอังกฤษอย่างโรฮิงญาแทนก็แล้วกัน (ทั้งๆ ที่ยะไข่ในสมัยนั้นยังไม่ใช่ของพม่าเลยนะ!)
แต่ในเชิงข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์แล้ว หลักฐานเก่าแก่ที่สุดที่มีคำว่า ‘โรฮิงญา’ ระบุเอาไว้คือ บทความที่เขียนขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 2342 เรื่อง ‘A Comparative Vocabulary of some of the Languages Spoken in the Burma Empire’ ที่แปลเป็นไทยได้ว่า ‘คำศัพท์เปรียบเทียบระหว่างภาษาพูดบางภาษาที่ใช้กันอยู่ในจักรวรรดิพม่า’ ซึ่งเขียนขึ้นโดยนักฟิสิกส์ ที่มีถิ่นฐานอยู่ในสก๊อตแลนด์ แต่เคยไปทำงานด้านธรรมชาติวิทยาในอินเดียอย่าง ฟรานซิส บูชาแนน-แฮมิลตัน (Francis Buchanan-Hamilton, มีชีวิตอยู่ระหว่าง พ.ศ. 2305-2372) ดังข้อความที่ว่า
“ตอนนี้ผมจะเพิ่มเติมถึงอีกสามภาษาพูดที่ใช้กันในจักรวรรดิพม่า ซึ่งเห็นได้ชัดว่าได้รับมาจากภาษาในประเทศของพวกฮินดู (ซึ่งในที่นี้หมายถึง อินเดีย ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับศาสนา) ภาษาแรกพูดกันในกลุ่มของผู้นับถือในพระมะฮะหมัด ที่ตั้งถิ่นฐานมาอย่างยาวนานในอาระกัน คนพวกนี้เรียกตัวเองว่า รูอิงจา (Rooinga) และเป็นชนพื้นเมืองของอาระกัน”
พูดง่ายๆ ว่าชาว ‘โรฮิงญา’ นั้น มีถิ่นฐานอยู่ในยะไข่ หรืออาระกัน มาตั้งแต่ก่อนที่หนังสือเล่มนี้จะพิมพ์ออกมาเมื่อ พ.ศ. 2342 (ก็พี่คนเขียนก็บอกอยู่ชัดๆ ว่า รูอิงจา ในสำเนียงที่ฟังมาเพี้ยนๆ ของของแกเป็นคนพื้นเมืองของอาระกัน) และก็แน่นอนว่า อยู่มาก่อนหน้าที่อังกฤษจะมีอำนาจเหนือประเทศพม่าเมื่อ พ.ศ. 2367 อีกด้วย
ประธานาธิบดีของพม่าคนที่แล้วอย่าง นาย เต็ง เส่ง เคยกล่าวเอาไว้ในทำนองที่ว่า พวกโรฮิงญาไม่ได้ถูกนับรวมอยู่ชนกลุ่มน้อยทั้ง 135 กลุ่มของประเทศพม่า แน่นอนว่าอดีตประธานาธิบดีผู้นี้ไม่ได้บอกว่า มันไม่มีพวกโรฮิงญาอยู่ในโลกเลย การที่รัฐบาลพม่าพยายามเรียกชาว ‘โรฮิงญา’ ว่า ‘เบงกาลี’ หรือ ‘โรงฮิงญา-เบงกาลี’ จึงบอกอยู่เป็นนัยๆ แล้วว่า รัฐบาลพม่าจัดวางอนาคตของชาวโรฮิงญาเหล่านี้เอาไว้อย่างน่าสงสาร และชวนให้สยดสยองถึงเพียงไหน?
ที่สำคัญก็คือ ที่ท่านรองนายกรัฐมนตรี ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ของประเทศเรา ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมาว่าอยากให้คนไทยเปลี่ยนมาเรียก ‘โรฮิงญา’ ว่า ‘เบงกาลี’ แทนนั้น ท่านก็เพิ่งจะให้สัมภาษณ์นักข่าวหลังจากหารือกับ พล.อ. อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญาชาการทหารสูงสุดของพม่า ที่กระทรวงกลาโหมของเรานี่เอง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ต่อจากนี้แล้ว รัฐบาลไทยจะมีท่าทีต่อชะตากรรมที่น่าเวทนาของชาวโรฮิงญาอย่างไร?