น้องตาย ใครผิด?
น่าจะเป็นคำถามที่อยู่ในใจของใครหลายคนที่ติดตามข่าวยีราฟ 2 ตัวของสวนสัตว์แห่งหนึ่งหลุดออกจากกรงรถบรรทุกขณะเคลื่อนย้ายให้ลุ้นกันจนใจหายใจคว่ำ ทั้งมีจักรยานยนต์ชนไปตัวหนึ่ง และพบตัวที่สองเป็นซากในบ่อบัวในที่สุด
แต่นี่เป็นคำถามที่ตอบได้ยากยิ่ง หลังจากผ่านขั้นตอนขออนุมัตินำเข้าและเคลื่อนย้ายจากกองคุ้มครองพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญา (ในกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช) และด่านตรวจสัตว์ป่าเรียบร้อยแล้ว [1] การเคลื่อนย้ายสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ป่าที่มีต้นทางมาจากต่างประเทศ ยังต้องทำอย่างรัดกุมแน่นหนา รวมทั้งได้รับการตรวจสอบจากกรมปศุสัตว์อีกชั้นหนึ่ง และตามกฎหมายยังต้องมีสัตวแพทย์ติดตามทีมเคลื่อนย้ายไปควบคุมดูแลอีกต่างหาก (ทั้งสำหรับสัตว์ที่ต้องวางยาสลบระหว่างการเคลื่อนย้ายนั้น สัตวแเพทย์ยิ่งจำเป็นต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันปัญหาฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น เช่น หัวใจ และการหายใจ เป็นต้น)
ผู้มีประสบการณ์สูงในการขนย้ายสัตว์ป่าทางบกหลายท่านให้ความเห็นว่า ยังประหลาดใจว่าเกิดเหตุการณ์ยีราฟหลุดได้อย่างไร ในเมื่ออุปกรณ์และพาหะขนย้ายสำหรับสัตว์ขนาดใหญ่อย่างยีราฟนั้นมีความแข็งแรงแน่นหนามาก และยีราฟไม่น่าจะยืนอยู่ตัวเปล่าแต่มีการจับบังคับ (restaint) นอกเหนือไปจากคอกขนย้ายอยู่อีก
สำหรับการจัดการหน้างานหลังจากเกิดเหตุนั้น ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านที่กล่าวมาได้ให้ความเห็นว่า ทางทีมสัตวแพทย์ในพื้นที่ได้ทำดีที่สุดแล้วในขณะนั้น ซึ่งเป็นเวลาโพล้เพล้อันทำให้การจัดการต่างๆ ลำบากมากยิ่งขึ้น
ด้วยรูปร่างขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก และสรีรวิทยาเฉพาะตัวของยีราฟ ทำให้การคำนวณปริมาณยาสลบหน้างานยากมากต่อการกะระดับการสลบและระยะเวลาสลบที่ต้องการ นอกจากนั้น การจราจรที่วุ่นวายทั้งรถยนต์และจักรยานยนต์นอกจากจะเป็นอันตรายทั้งต่อสัตว์และทีมงานช่วยเหลือแล้ว ยังทำให้สัตว์ต่ืนเตลิดมากกว่าเดิม
ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ของระบบขนส่ง เช่น ลักษณะคอกเหมาะสมกับสภาพสัตว์และชนิดพันธุ์ของสัตว์ มีการควบคุมอุณหภูมิ ป้องกันแดด ลม และเสียงมากเพียงใด รวมไปถึงระยะเวลาการขนส่งที่เหมาะสม ฯลฯ ทำให้ยากจะสรุปได้ชัดเจนในเวลาอันสั้นว่าเรื่องน่าเศร้าที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะสาเหตุใด

ยีราฟเพศผู้วัยรุ่นสองตัว อุทยานแห่งชาติอารูชา แทนซาเนีย, โดย สิริพรรณี สุปรัชญา
เรายังต้องมีสวนสัตว์อีกไหม?
จากการตามหา ‘น้อง’ ที่หลายคนทั้งขำทั้งเอ็นดู กลับกลายเป็นเรื่องราวของความเศร้าในบ่อบัวภายในไม่กี่วันถัดมา จนทำให้เกิดกระแสต่อต้านสวนสัตว์ ติดแฮชแทก #BanZoos ขึ้นในโซเชียล หลายคนโควตคำพูดว่า “เมื่อฉันยังเด็ก ฉันรักสวนสัตว์เพราะฉันรักสัตว์ แต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ฉันเกลียดสวนสัตว์เพราะฉันรักสัตว์” (As a kid, I loved zoos because I loved animals. As an adult, I hate zoos because I love animals.)
ทุกวันนี้ เราอาจกล่าวได้ว่า ‘สวนสัตว์’ แบ่งได้เป็น 2 ลักษณะคร่าวๆ คือ สวนสัตว์แบบ zoo และแบบ zoological park
สวนสัตว์อย่างที่เราเข้าใจกันทั่วไปคือ zoo ที่มีสัตว์ในกรงไว้เพื่อโชว์ เพื่อความบันเทิง เน้นไปที่ความน่ารักหน้าตาดีของสัตว์ดาราไม่กี่ตัว โชว์ ‘ความสามารถ’ ที่ไม่ใช่ความสามารถตามธรรมชาติของสัตว์โดยไม่ได้ให้น้ำหนักคุณค่าทางการศึกษาใดๆ บางแห่งมีการเพาะพันธุ์สัตว์เพื่อส่งขายใต้ดินอย่างลับๆ และที่อยู่ของสัตว์มักไม่เป็นไปตามหลักการเลี้ยงที่ดี ไม่มี enrichment (การส่งเสริมพฤติกรรมตามธรรมชาติ) ให้สัตว์มากเท่าที่ควร บางครั้งมีการเปิดเพลงหรือประกาศเสียงดังเป็นระยะเวลานานต่อเนื่องซึ่งเป็นการกระทำที่ละเลยต่อสวัสดิภาพสัตว์
ส่วน zoological park มักเปิดพื้นที่เพียงส่วนน้อยให้เข้าชม มีการแสดงสัตว์บ้างโดยเน้นถึงธรรมชาติของมันเพื่อสร้างความเข้าใจ ส่วนที่อยู่ของสัตว์มักมี enrichment ที่เหมาะสมกับธรรมชาติของสัตว์ชนิดนั้นๆ (ซึ่งเอาเข้าจริง คนที่ไปดูมักไม่ชอบเพราะมีสุมทุมพุ่มไม้ ขอนไม้ โพรง ฯลฯ บังมุมถ่ายรูป) บางแห่งมีการเพาะพันธุ์สัตว์ป่าร่วมกับทางรัฐเพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ซึ่งข้อนี้สำคัญมาก เพราะวิธีเลี้ยงจะต่างกับการเพาะเพื่อเพิ่มจำนวนเฉยๆ อย่างสิ้นเชิง (อ่านเรื่องการอนุรักษ์แบบนอกถิ่นที่อยู่อาศัย หรือ ex situ conservation เพิ่มเติมได้ที่, https://thematter.co/thinkers/wildlife-welfare/95345)
สวนสัตว์ในประเทศไทยทั้งแบบ private และ public นั้นไม่ใช่ว่าใครอยากจะจับสัตว์มาใส่กรงแล้วเก็บเงินคนดูก็ทำได้ แต่ต้องมีการขอใบอนุญาตเสียก่อน
ส่วนสวนสัตว์ที่ได้คุณภาพมาตรฐาน มีการจดทะเบียนถูกต้อง และได้รับการยอมรับจากสมาชิกสมาคมสวนสัตว์และอควอเรี่ยมโลก (World Association of Zoos and Aquariums, WAZA) องค์การที่เป็นศูนย์รวมสัตวแพทย์และผู้เชี่ยวชาญสัตว์ป่าชนิดต่างๆ จากทั่วทุกมุมโลกนั้น มีสวนสัตว์เปิดเขาเขียวเป็นแห่งแรกของประเทศไทย (และเป็นแห่งแรกของอาเซียนทีได้รับการยอมรับจาก WAZA) และสวนสัตว์อื่นๆ ในสังกัดองค์การสวนสัตว์อีก 4 แห่ง ที่ได้รับการยอมรับเป็นสมาชิกในภายหลัง คือ สวนสัตว์ดุสิต สวนสัตว์เชียงใหม่ สวนสัตว์นครราชสีมา และ สวนสัตว์สงขลา [2]
หลายคนอาจไม่ทราบ แต่สมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่าประเทศไทย หรือ WCS ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สนับสนุนงานวิจัยเพื่อการอนุรักษ์เสือโคร่งอินโดจีน และมีการทำงานร่วมกันกับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าในกลุ่มป่าตะวันตก (Western Forest Complex) อย่างเข้มข้นจนสามารถยกระดับการลาดตระเวนเชิงคุณภาพ หรือ SMART Patrol ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ ห้วยขาแข้ง เขาสนามเพรียง อุ้มผาง และทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตกและด้านตะวันออก ให้เป็นผลงานระดับแนวหน้าของโลกได้นั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของของ Wildlife Conservation Society ที่มีต้นกำเนิดมาจากสวนสัตว์ Bronx Zoo ในเขตบรองซ์ของมหานครนิวยอร์กนั่นเอง
ปัจจุบัน Wildlife Conservation Society มีสวนสัตว์ในสังกัดทั้งหมด 4 แห่งและอควอเรี่ยมอีกหนึ่ง ซึ่งรายได้ส่วนหนึ่งของ WCS ก็มาจากค่าเข้าชมสวนสัตว์ในสังกัด และ 38% ของรายจ่ายในแต่ละปีถูกใช้ไปกับโปรเจกต์งานอนุรักษ์ต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยดังที่กล่าวมาแล้ว (โดยมี 48% ของรายจ่ายทั้งหมดเป็นค่าดูแลสวนสัตว์ในสังกัด) [3]
องค์การสวนสัตว์ของไทยก็มีผลงานที่โดดเด่นในระดับโลกเช่นกัน อย่างโครงการอนุรักษ์เสือลายเมฆ และโครงการการปล่อยนกกระเรียนพันธุ์ไทยคืนสู่ธรรมชาติจากที่เคยหมดไปแล้ว ซึ่งในปัจจุบันจัดว่าเป็นผู้นำด้านการอนุรักษ์นกกระเรียนพันธุ์ไทยที่ทั่วโลกต่างมาศึกษาเพื่อนำองค์ความรู้ไปปรับใช้ในประเทศตัวเอง
(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการอนุรักษ์ต่างๆ ขององค์การสวนสัตว์ เพิ่มเติมได้ที่, http://www.zoothailand.org/more_news.php?c_id=19)

“ละมั่ง” หรือ Eld’s deer ชนิดย่อย Panolia eldii thamin ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง, โดย สิริพรรณี สุปรัชญา ประเทศไทยเรายังมีละมั่งชนิดย่อย P. e. siamensis ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ห้อยท้ายว่า “siamensis” แต่กลับสูญพันธุ์ไปแล้วจากธรรมชาติของประเทศไทย และถูกนำกลับมาได้อีกครั้งด้วยฝีมือขององค์การสวนสัตว์
ดังนั้น ถ้าหากจะบอกว่า I hate zoos. แล้วล่ะก็ ไม่สู้บอกว่า I hate bad zoos. จะตรงประเด็นมากกว่า
แต่ในขณะเดียวกัน ตามคอมเมนต์ในคลิป/ภาพสัตว์ป่าที่ถูกเลี้ยงอย่างผิดกฎหมาย เช่น นาก, นางอาย, เหยี่ยว, ฯลฯ หรือแม้แต่ที่ถูกกฎหมาย อย่างคาเฟ่สัตว์แปลกต่างๆ กลับมีความเห็นมากมายที่แสดงออกในเชิงว่าสัตว์ตัวนั้นช่างน่ารักน่าเลี้ยง โดยที่บางส่วนก็เป็นคนเดียวกันกับที่ต่อต้านสวนสัตว์นั่นเอง ทั้งๆ ที่การเลี้ยงในลักษณะนี้ เป็นการหาประโยชน์จากสัตว์ป่าโดยตรงที่วัดมาตรฐานการเลี้ยงดูไม่ได้ยิ่งกว่า zoological park หรือ zoo เสียอีก
ซึ่งการเลี้ยงดูสัตว์ป่าที่ดีนั้น ไม่ได้มีรายละเอียดเพียงแค่การกินอิ่มนอนหลับ แต่ต้องใช้หลักสวัสดิภาพสัตว์ เช่น Five Freedoms และ Five Domains [4] เป็นเกณฑ์วัดผลโดยมีงานวิจัยตามหลักวิทยาศาสตร์รองรับ
การเข้าใจเอาเองว่า “น้องมีขนมให้กิน มีคนเล่นด้วยลูบไล้ให้ความรัก ทำไมถึงจะเลี้ยงไม่ดีล่ะ?” เป็นการตัดสินสวัสดิภาพของสัตว์โดยเอาแต่ตัวเองเป็นที่ตั้ง มากกว่าจะเข้าใจและใส่ใจถึงธรรมชาติของสัตว์ชนิดนั้นอย่างแท้จริง
อ้างอิงข้อมูลจาก
[1] รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอนและวิธีการปฏิบัติในการนำเข้า ส่งออก หรือนำผ่านของด่านตรวจสัตว์ป่า, http://portal.dnp.go.th/Content/citesdnp?contentId=1337
[2] http://www.zoothailand.org/ewt_news.php?n_id=234
[3] WCS Annual Report 2019, https://www.wcs.org/about-us/literature/annual-reports
[4] https://www.researchgate.net/publication/332702490_WSAVA_Animal_Welfare_Guidelines