1. ผู้ป่วย COVID-19 ก่อเหตุฆาตกรรม!
ก่อนวันคริสต์มาสปีเก่าที่ผ่านมา ในสหรัฐอเมริกาเกิดเหตุสะเทือนขวัญเป็นข่าวดังไปทั่ว เมื่อผู้ป่วย COVID-19 ก่อเหตุฆาตกรรมใช้ถังออกซิเจนทุบหัวผู้ป่วย COVID-19 อีกคนเสียชีวิต เหตุเกิดในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของเมืองลอส แอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย มูลเหตุจูงใจเพราะผู้ก่อเหตุรำคาญที่คนตายเอาแต่สวดมนต์ระหว่างการรักษาตัว
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา ผู้ก่อเหตุชื่อนายเจสซี่ มาร์ทิเนซ (Jesse Martinez) อายุ 37 ปี เขาติดเชื้อ COVID-19 ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล โดยขณะรักษาตัวนั้น ด้วยความที่เชื้อ COVID-19 ในอเมริกาแพร่ระบาดมาก ทำให้โรงพยาบาลแต่ละแห่งคลาคล่ำไปด้วยผู้ป่วย COVDI-19 บุคลากรทางการแพทย์ทำงานหนักอย่างยิ่ง โรงพยาบาลหลายแห่งเผยว่าพวกเขาขาดแคลนแพทย์และพยาบาลมารับมือกับวิกฤตโรคระบาดในครั้งนี้ โดยเฉพาะในรัฐแคลิฟอร์เนียและหลายรัฐที่การติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น ทำให้มีความต้องการเจ้าหน้าที่การแพทย์อย่างน้อย 3,000 คนเพื่อมาทำงานชั่วคราวนี้
ความขาดแคลนนี้ถึงขั้นต้องเอาแพทย์และพยาบาลฝึกหัดในมหาวิทยาลัยมาทำงานจริงกันก่อน รวมถึงการเปิดหลักสูตรบุคลากรทางการแพทย์โดยด่วนเพื่อรับมือกับวิกฤต COVDI-19 รวมถึงต้องไปตามพยาบาล หมอที่เกษียณให้กลับมาทำหน้าที่ใหม่ ในรัฐแคลิฟอร์เนียนั้นถึงขั้นต้องเอาบุคลากรทางการแพทย์จากออสเตรเลียกับไต้หวันให้มาช่วยงานกันเลยทีเดียว
โดยบุคลากรการแพทย์ทั้งหมดถือเป็นกลุ่มเสี่ยงกับโรค COVDI-19 มีหลายคนติดเชื้อและเสียชีวิตกันเป็นจำนวนมากจากวิกฤตครั้งนี้
2. ก่อเหตุเพราะรำคาญอีกฝ่ายสวดมนต์
ปัญหาขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ทำให้การดูแลรักษาไม่เพียงพอ โรงพยาบาลต้องเอาคนติด COVID-19 ไปรักษาในห้องเดียวกัน ความโกลาหลเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความเครียด ความกลัวต่อผู้ติดเชื้อทั้งหลาย แน่นอนว่ามันส่งผลให้ ดาวิด เฮอร์นันเดซ การ์เซีย (David Hernandez-Garcia) วัย 82 ปีมีเชื้อสายลาตินต้องมาพักรักษาตัวร่วมห้องกับนายเจสซี่ โดยที่ทั้งสองไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ญาติก็เข้าเยี่ยมไม่ได้เพราะเสี่ยงติดเชื้อ ทั้งสองต้องอยู่ด้วยกันในห้องกันแบบคนแปลกหน้าที่มีความเครียดสูงกลัวตายด้วยกันทั้งคู่
ทางปู่การ์เซียซึ่งนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกด้วย จึงทำได้เพียงการสวดมนต์อ้อนวอนกับพระเจ้าฆ่าเวลาระหว่างการรักษาตัวดังกล่าว ซึ่งการกระทำแบบนี้มันสร้างความไม่พอใจให้กับเจสซี่อย่างมาก จนเมื่อถึงเวลา 09.45 น.ในตอนเช้าของวันที่ 17 ธันวาคม เขาจึงได้บรรลุโทสะ คว้าถังออกซิเจนทุบใส่ร่างการ์เซียอย่างแรง ด้วยปริมาณความหนักอึ้งของถังนี้ ส่งผลให้การ์เซียบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ยังมีชีวิตยื้อไปตายในช่วงเช้าของอีกวันถัดมา
การกระทำของเจสซี่ถูกเจ้าหน้าที่แพทย์เข้าคุมตัวและเรียกตำรวจให้เดินทางมาที่โรงพยาบาลทันที ซึ่งเจสซี่เองก็หนีไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว เพราะก็ป่วย COVDI-19 อยู่ (แต่ก็ยังมีแรงยกถังออกซิเจนทุบหัวคนได้) จากการสอบสวนเจสซี่ยืนยันหนักแน่นว่าเขาไม่รู้จักตัวการ์เซียเป็นการส่วนตัว
แต่ที่ลงมือฆ่าเพราะไม่พอใจ
และไม่อาจทนฟังเสียงสวดมนต์
ของอีกฝ่ายได้อีกต่อไปแล้ว
เมื่อโดนจับกุมตัว ก็มีการแถลงข่าวยอมรับว่าเหตุฆาตกรรมนี้สะท้อนปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ที่ไม่แม้แต่จะสามารถสอดส่องผู้ป่วยโควิดได้เพียงพอ และเพราะความที่คนน้อย การระงับเหตุทะเลาะวิวาทจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ตำรวจตั้งข้อหานายเจสซี่ในข้อหาฆาตกรรม ทำร้ายผู้สูงอายุและแจ้งข้อหาก่อเหตุด้วยอาชญากรรมแห่งความเกลียดชัง (Hate Crime) เพิ่มด้วย โดยมีการตั้งวงเงินประกันตัวสูงถึง 1 ล้านยูเอสดอลลาร์ ซึ่งแทบจะหาเงินยื่นประกันตัวได้ยากมา และตัวเจสซี่เองก็ไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร เขาไม่มีแม้แต่เงินจะจ้างทนายความได้ด้วยซ้ำ
คดีนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการฆาตกรรมในโรงพยาบาลช่วง COVDI-19 เพราะในเดือนเมษายนปีก่อน ก็มีเหตุผู้ป่วยหญิงชราอายุมากเดินไปตามโรงพยาบาลแล้วเซจะล้มไปเข้าใกล้ผู้ป่วยหญิงอีกคน ด้วยความกลัวว่าจะติดโควิดและไม่พอใจที่หญิงชราละเมิดกฎบังคับให้ต้องอยู่ห่างกัน ทำให้อีกฝ่ายโมโหจับหัวหญิงชราโขกกับพื้นจนเสียชีวิตมาแล้ว
อย่างไรก็ดีคดีของเจสซี่ถือเป็นครั้งแรกที่ผู้ป่วย COVDI-19 ก่อเหตุฆ่าผู้ป่วย COVDI-19 ด้วยกันเอง เป็นเรื่องที่สร้างความตกตะลึง ไม่เพียงแต่ในอเมริกาเท่านั้น แต่ยังตกตะลึงไปทั้งโลกอีกด้วย
3. Hate Crime จากนี้ไปโลกจะเจอกับการก่อเหตุเพราะเกลียดกันเพิ่มมากขึ้น
ตัวเจสซี่ ผู้ก่อเหตุถูกนำตัวไปคุมขังไว้หลังอาการดีขึ้นจาก COVDI-19 เขาถูกพิจารณาคดีในช่วงสิ้นปีเก่า โดยไม่ได้ถูกนำตัวมาส่งยังศาลเหมือนขั้นตอนปกติเพราะโรคระบาดและเสี่ยงว่าตัวเจสซี่เองอาจจะเป็นคนแพร่เชื้อโรคได้ โทษที่ตัวเจสซี่จะได้รับนั้น มีตั้งแต่ติดคุก 28 ปีขึ้นไปจนถึงจำคุกตลอดชีวิตในเรือนจำของรัฐ
จากข่าวฆาตกรรมสุดโหดนี้และการตั้งข้อหา Hate Crime แก่เจสซี่ จุดประเด็นให้สังคมหันมาตระหนักในเรื่องการก่อเหตุเพียงแค่เราไม่ชอบ (ถึงขั้นเกลียด) อะไรบางอย่างในตัวอีกฝ่ายขึ้นมา โดยสหรัฐอเมริกาได้รวบรวมข้อมูลว่า ในรอบปีที่ผ่านมาพวกเขาเผชิญหน้ากับอาชญากรรมแห่งความเกลียดชังสูงมาก สำหรับนิยามการก่อเหตุลักษณะนี้ คือการก่อเหตุที่ผู้กระทำไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวกับเหยื่อเลย แต่ลงมือเพราะความไม่ชอบ ไม่พอใจ ในตัวของเหยื่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสีผิว เชื้อชาติ หรือลักษณะบางอย่างในตัวเหยื่อ เช่น เพศ หรือช่วงอายุเป็นต้น
โดยในปี ค.ศ.2019 ทางเอฟบีไอเปิดเผยว่า อาชญากรรมแห่งความเกลียดชังได้เพิ่มสูงขึ้นในสังคมอเมริกันถึง 7,314 เคส โดยคาดว่าตัวเลขคดีลักษณะนี้น่าจะสูงกว่านี้ เพราะยังมีเหยื่ออีกหลายคนที่ไม่ได้แจ้งตำรวจถึงการถูกก่อเหตุ โดยสถิติในปี ค.ศ.2020 ในขณะนี้ยังไม่มีการเผยแพร่ แต่คาดว่าก็คงจะสูงไม่ใช่น้อยเช่นกัน
ปัญหาของอาชญากรรมแห่งความเกลียดชังนั้น เพิ่มสูงขึ้นส่วนหนึ่งจากลัทธิกลุ่มขวาจัดคลั่งผิวขาวที่ดูจะมีบทบาท ในการเป็นกลุ่มองค์กรที่รวมตัวกันเผยโฉมต่อสังคมแบบไม่ต้องปิดบังอะไรกันอีกแล้ว ยิ่งประธานาธิบดีตกกระป๋อง อย่างโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) แทบจะไม่ค่อยเอ่ยปากประณามเพราะถือว่าเป็นฐานเสียงตัวเอง ยิ่งทำให้คนกลุ่มนี้ได้ใจมากยิ่งขึ้น (ดูจากการบุกรัฐสภาล่าสุดก็ได้)
และมันทำให้อคติในใจผู้คนที่ซุกซ่อน
ยามบ้านเมืองปกติได้เผยโฉมออกมา
และนำไปสู่การก่อเหตุไปทั่ว
ถึงตรงนี้เราไม่มีข้อมูลว่าตัวเจสซี่นั้นเป็นคนผิวสีใด เพราะทางการไม่ได้เปิดเผยข้อมูลผู้ก่อเหตุ แม้แต่รูปถ่ายของคนฆ่ากับเหยื่อก็ไม่มี แต่การแจ้งข้อหาก่อเหตุเพราะความเกลียดชัง ตามข้อมูลของเอฟบีไอนั้นพบว่าการก่อเหตุในข้อหานี้ร้อยละ 57.6 ผู้ก่อเหตุจะมีอคติต่อเหยื่อในเรื่องเชื้อชาติมากที่สุด
คดีฆาตกรรมนี้จึงสะท้อนปัญหาหลายอย่างในสังคมอเมริกัน ซึ่งการก่อเหตุเพราะเราไม่ชอบอีกฝ่ายนั้นเป็นปัญหาลุกลามไปยังหลายพื้นทั่วโลกด้วย อย่างในสหราชอาณาจักร ก็มีกรณีการทำร้ายร่างกายหญิงสาวบนรถเมล์ โดยกลุ่มวัยรุ่นเด็กชายเพียงเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเลสเบี้ยน
หรือในเยอรมันนั้น ทางการกำลังปวดประสาทอย่างมากกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารที่มีการสะสมความเกลียดชังผู้อพยพ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มาช่วยส่งเสริมระบบเศรษฐกิจเยอรมันให้อยู่รอด (เหมือนแรงงานพม่าที่มาทำงานในไทย) ความเกลียดชังกลุ่มผู้อพยพเชื้อสายอาหรับนี่เอง ทำให้เจ้าหน้าที่ของเยอรมันหลายคนรวมกลุ่มและฟื้นฟูแนวคิดนาซีขึ้นมา มีการวางแผนจะสังหารทนายความหรือนักสิทธิมนุษยชนที่ช่วยเหลือผู้อพยพอีกด้วย
คาดการณ์กันว่าอาชญากรรมแห่งความเกลียดชังนี้ จะเป็นแรงจูงใจในการก่อเหตุฆาตกรรมมากยิ่งขึ้นในโลกทุกวันนี้อย่างแน่นอน เพราะการระบาดของ COVID-19 ยิ่งทำให้คนในสังคมเกิดความตื่นกลัว ภายใต้กระแสของข่าวปลอมมากมาย หากใครปั่นว่าโรคระบาดเหล่านี้เกิดจากคนชาติพันธุ์อื่น มันก็อาจเป็นไฟลามทุ่งที่จะทำให้เกิดเหตุอาชญากรรมอย่างรุนแรงมากยิ่งขึ้นก็เป็นได้
4. คุกแหล่งแพร่ระบาดของ COVID-19
คุกในอเมริกา สถานที่คุมขังเจสซี่ในช่วงการแพร่ระบาดนี้ถือเป็นแหล่งกระจายเชื้อโควิดที่สูงมาก ประมาณการณ์กันว่า 1 ใน 5 ของนักโทษในเรือนจำของรัฐจะติดเชื้อโควิด ซึ่งสูงกว่าระดับปกติโลกภายนอกทั่วไปถึง 4 เท่าด้วยกัน บางรัฐนั้น นักโทษครึ่งต่อครึ่งต่างติด COVID-19 ด้วย
โดยในช่วงวิกฤตโรคระบาดนี้ มีนักโทษในเรือนจำถึง 275,000 คนแล้วที่ติดเชื้อ และมากกว่า 1,700 คนที่เสียชีวิต การแพร่กระจายของเชื้อดำเนินไปอย่างรวดเร็วมาก ไม่มีแม้แต่แนวโน้มว่าจะลดลงเลยด้วยซ้ำ
“ตอนผมเข้าคุกในข้อหากัญชานั้น นักโทษในเรือนจำรัฐแคนซัสติดเชื้อถึง 5 พันกว่าคน สูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศ มันเหมือนผมถูกตัดสินประหารชีวิตเลย ผมเห็นคนตายจากโรคนี้ต่อหน้าต่อผม พวกเขาล้มลงไปแล้วไม่อาจลุกขึ้นยืนได้อีก” เสียงจากนักโทษคนหนึ่งที่ต้องพักรักษาตัวถึง 6 อาทิตย์กว่าจะพักฟื้นหายดีจาก COVID-19
วิกฤตความเลวร้ายในเรือนจำครั้งนี้ ไม่รู้ว่าตัวนายเจสซี่ซึ่งก่อเหตุฆาตกรรมมา จะเป็นอย่างไรกับโลกหลังกำแพง แม้เขาจะมีความผิด แต่คุกก็ไม่ควรเป็นลานประหารที่เลวร้ายโดยเพชฌฆาต COVID-19 แบบนี้เลย
5. สรุป
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นจากคดีฆาตกรรมหนึ่ง ที่เปิดเปลือยปัญหา COVID-19 ที่แพร่ระบาดอย่างรุนแรง จนไม่อาจดูแลเอาใจใส่ผู้ป่วยได้อย่างทั่วถึง ทำให้เกิดความเครียด จนเกิดการก่อเหตุดังกล่าว ซึ่งมันได้เผยถึงปัญหาอคติต่อคนที่แตกต่างไม่เหมือนเรา จนเกิดการเหยียดลดทอนความเป็นคนของอีกฝ่าย และเป็นส่วนหนึ่งในการก่อเหตุฆาตกรรมจากความเกลียดชังส่วนตัวของผู้ก่อเหตุที่มีต่อตัวเหยื่อ ที่สำคัญมันยังเผยความเลวร้ายของระบบเรือนจำที่อาจทำให้นายเจสซี่ผู้ก่อเหตุอาจมีโอกาสกลับมาติด COVID-19 อีกครั้งด้วย
จากที่กล่าวมาทั้งหมด มันคือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุฆาตกรรมหนึ่ง ที่เผยให้เห็นปัญหามากมายที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข เรื่องราวเหล่านี้อาจทำให้เราต้องมาคิดใหม่เกี่ยวกับคดีฆาตกรรมว่ามันอาจเป็นเรื่องปลายเหตุที่ซ่อนด้านมืดของสังคมอีกมากมายไว้ และหากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกวิธี เราก็คงจะได้เห็นคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นแบบนี้อยู่เรื่อยไป…