ตลอดหลาย 10 ปีที่ผ่านมา มีนักวิชาการ คอลัมนิสต์ นักเขียน นักกิจกรรม นักสิทธิมนุษยชน นักเคลื่อนไหวภาคประชาสังคม ทั้งพูดทั้งเขียนจนปากเปียกปากแฉะ จัดเสวนาไปจนถึงงานประชุมวิชาการกันปาวๆๆ ว่า เพศสภาพและเพศวิถีมีความหลากหลายลื่นไหลไม่ได้มีแค่ผู้หญิงผู้ชาย เพศสัมพันธ์ก็ไม่ได้มีเพื่อให้กำเนิดหรือสืบพันธุ์เท่านั้น ไม่ว่าเพศใดก็สามารถรักกันได้และมีเซ็กซ์กันได้ ไม่ใช่ความเจ็บป่วยหรือความผิดปกติแต่อย่างใด แต่ละปัจเจกบุคคลมีสิทธิเสรีภาพที่จะเลือกว่ามีเพศวิถีเพศสภาพแบบใด
ถ้าย้อนไปก่อนหน้านั้น ในปี 1974 เพศวิถีรักเพศเดียวกันถูกถอดถอนออกจากคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต (The Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders) หลักเกณฑ์การวินิจฉัยความผิดปกติทางจิตซึ่งจัดทำโดยสมาคมจิตเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกา (the American Psychiatric Association) ซึ่งถูกอ้างอิงอย่างกว้างขวางโดยแพทย์ นักวิจัย ผู้ผลิตและผู้ตรวจสอบคุณภาพยาในทางจิตเวช บริษัทประกันภัย นโยบายของรัฐทั้งในสหรัฐอเมริกาและที่อื่นๆ ทั่วโลก ประเทศไทยก็ด้วย
และในปี 1990 องค์การอนามัยโลก (World Health Organization-WHO) ก็ได้ถอดคนรักเพศเดียวกันออกจากกลุ่มผิดปกติทางจิต
คริสเตียนในโลกสากล โบสถ์หลายแห่งมีพัฒนาการมาไกลจนเลิกเชื่อแล้วว่ารักเพศเดียวกันหรือข้ามเพศจะเป็นเรื่องผิดบาป แม้แต่สภาคริสตจักร (United Church of Christ) อันเป็นสถาบันทางศาสนาขนาดใหญ่ของโปรเตสแตนต์เองก็ยอมรับ LGBT หลายองค์กรคริสเตียนร่วมกิจกรรมเกย์ไพรด์ โบสถ์หลายแห่งร่วมเคลื่อนไหวด้านสิทธิคนรักเพศเดียวกันและคนข้ามเพศ บางโบสถ์ก็ก่อตั้งโดยนักกิจกรรมเพื่อสิทธิคนรักเพศเดียวกัน บางแห่งประดับธงสีรุ้งพริ้วไสว
แม้แต่ผู้เปิดตัวว่าเป็นเกย์อย่าง Gene Robinson ก็ได้รับการสถาปนาให้เป็นบิชอพ ตั้งแต่ค.ศ. 2003 แล้ว
ทว่าในปี 2018 สมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนและโรงเรียนเองได้จัดกิจกรรมอบรมหัวข้อ “เลี้ยงลูกอย่างไร ไม่ให้เบี่ยงเบน” โดยศาสนาจารย์ที่สอนจริยธรรมพระคัมภีร์และกิจกรรมยุวชาตรีในโรงเรียนเป็นวิทยากรซึ่งเป็นหัวข้อหนึ่งในกิจกรรมสามัคคีธรรมประจำสัปดาห์ เพื่ออบรมแนวคิดในการเลี้ยงลูกหลาน
โรงเรียนเชิญชวนผู้ปกครองมาร่วมฟังและแลกเปลี่ยนว่าการเบี่ยงเบนทางเพศมาจากสภาพแวดล้อมในวัยเด็ก โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมในครอบครัว ส่งผลอย่างไรต่อชีวิตเยาวชน และ “เราจะป้องกันสิ่งนี้ได้อย่างไร”
เมื่อกิจกรรมถูกประชาสัมพันธ์ออกไปก็ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับผู้ที่เห็นประชาสัมพันธ์อย่างมาก ที่ทางโรงเรียน ‘ความเบี่ยงเบน’ อยู่ นี่ไปอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบใดกัน ไปมุดอยู่รูไหนมาของโลก ราวกับมนุษย์ถ้ำแล้วคบเพลิงยังสว่างไม่พอ เลยมองไม่เห็นอะไร ในสถานศึกษาแท้ๆ ทำไมไม่ใฝ่ศึกษาแสวงวิชา อัพเดทความรู้บ้าง ราวกับว่ายังอยู่ในยุคซื้อขายใบไถ่บาปกันอยู่
และแน่นอน โรงเรียนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ซึ่งก็ควรจะเป็นเช่นนั้น จน ผอ.โรงเรียนต้องร่อนแถลงการณ์ขออภัย แต่ก็เป็นแต่เพียงคำแก้ตัวมากกว่าว่า โซเชียลมีเดียทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง แต่ก็ไม่ได้บอกว่า ‘ความเป็นจริง’ คืออะไร แล้วก็อ้างว่าโรงเรียนมีจุดยืนบนรากฐานของความรักตามหลักคริสต์ศาสนา โดยไม่จำกัดความรักเฉพาะกลุ่ม หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง มีความรักต่อทุกคนทุกเพศทุกวัย ขณะเดียวกันศาสนาจารย์ที่เป็นประธานกลุ่มผู้ปกครองนักเรียนและผู้จัดงานบรรยายในงานนี้ก็ทำหน้าที่โฆษกเร่ให้สัมภาษณ์ตามรายการทีวีแก้ต่างให้กิจกรรมนี้
ในรายการทีวี ‘จั๊ด ซัดทุกความจริง’ ทางช่อง one31 พิธีกรเองก็พยายามช่วยแก้ต่าง บอกกับผู้ชมว่าอย่าด่วนสรุป ทว่ากลายเป็นว่ารายการรีบด่วนสรุปเสียเอง ว่าเป็นกิจกรรมอบรมเพื่อให้พ่อแม่เลี้ยงลูกที่เป็น LGBT ให้อยู่ในสังคมได้ และไม่เกี่ยวข้องกับหลักศาสนา เพราะศาสนาสอนให้รักเพื่อนมนุษย์ ต่อมารายการแฉ ช่อง GMM25 ก็กล่าวว่าเป็นกิจกรรมภายใน ที่เลือกใช้คำว่า ‘เบี่ยงเบน’ เพื่อความเข้าใจทั้งคนจัดงาน คนมาเข้าชมและคนมาบรรยาย ไม่ได้ทำวิจัยมาว่าจะมาสะเทือนใจใคร ไม่คิดว่าจะลดทอนความเป็นมนุษย์ เขากล่าวว่า “รักและเห็นใจ” คนกลุ่มนี้ จึงจัดกิจกรรมนี้เพื่อ “หาสาเหตุ” และ “เพื่อป้องกัน”
แล้วก็เหมือนกับแถลงการณ์ของผอ. โรงเรียน ศาสนาจารย์อ้างหลักศาสนาคริสต์ง่ายๆ ว่ารักทู้กกกกกกกคนนนนนนน…
ปัญหาจึงไม่ใช่การเลือกใช้คำว่า ‘เบี่ยงเบน’ เพื่อให้เข้าใจง่าย หรือความมักง่ายที่เลือกใช้คำนี้ หากแต่เป็นเพดานความคิดมากกว่าที่สะท้อนออกมาผ่านการเลือกใช้คำ
เพราะ ‘เบี่ยงเบน’ มีความหมายอย่างเดียวกับ ‘ไม่ใช่จากนี้ถือว่าผิด’ และ LGBT ก็ถือว่าเป็นความเบี่ยงเบนทางเพศ มีเพศสภาพเพศวิถีผิดปกติ เหมือนกับที่กล่าวว่ากิจกรรมนี้ต้องการหาสาเหตุแห่งการเป็น LGBT วินิจฉัยเพื่อหาทางป้องกันไว้ก่อน ราวกับว่า LGBT เหมือน TB SLE เป็นโรคภัยไข้เจ็บต้องหาเหตุแห่งโรค อาการ พาหะ และวิธีแก้ไขรักษา หรือไม่ก็มองว่าอันตราย ภัยพิบัติ อุบัติเหตุ สิ่งชั่วร้ายที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น ไม่ใช่เป็นมนุษย์ขี้เหม็นเหมือนกัน
เพราะถ้าหากเชื่อศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์จริง จะไม่ใช้ความว่าเบี่ยงเบน ไม่หาสาเหตุมาป้องกัน ไม่ต้องมาวิจงวิจัยคำอะไรหรอก ใช้สามัญสำนึกก็คิดเองได้
สำนึกเช่นนี้คือความเกลียดกลัวคนรักเพศเดียวกันและคนข้ามเพศ homophobia และ transphobia ที่สถาบันทางศาสนาได้เข้ามาสร้างความชอบธรรม
กฎหมายที่บัญญัติให้การกระทำรักเพศเดียวกันเป็นอาชญกรรมร้ายแรง หรือ Sodomy law ก็มาจากศาสนาคริสต์ที่สร้างสำนึกการร่วมเพศทางทวารหนักเป็นสิ่งชั่วร้าย Sodomy ก็มาเมืองชื่อ ‘โซโดม’ (Sodom)ในพระคัมภีร์ไบเบิลภาค Genesis ในฐานะเมืองที่ไม่ควรยุ่งเกี่ยวเพราะพฤติกรรมของพลเมือง ครั้งหนึ่งพระเจ้าส่งเทวดา 2 องค์มาพิสูจน์พฤติกรรมอันขาดศีลธรรมของชาวเมืองโซโดม เมื่อชาวเมืองรู้ว่ามีแขกมาเยือนเมืองตนเอง ก็พยายามบังคับขู่เข็ญจะร่วมเพศกับเทวดาทั้ง 2 จนในที่สุดชาวโชโดมก็ถูกพระเจ้าลงโทษด้วยห่าฝนลูกไฟและกำมะถัน จนอาณาจักรล่มสลาย[1]
มีการร่วมเพศมากมายที่ถูกกำหนดให้เป็น ‘โซโดมมี่’ หรือ ‘บาปจากการฝืนธรรมชาติ’ ไม่เพียงแต่การร่วมเพศระหว่างเพศเดียวกัน แต่ยังรวมไปถึงคนร่วมเพศกับสัตว์ การร่วมเพศแบบแตกนอก การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง การแตกนอกเพื่อให้ท้องแต่ไม่ใช่ท่ามิชชันนารีซึ่งได้กลายเป็น ‘อาชญากรรมจากการฝืนธรรมชาติ’ มีบทลงโทษรุนแรงในยุคกลาง[2]เพราะถือว่าเป็นการกระทำลบหลู่พระผู้เป็นเจ้า เป็นการกระทำของผีห่าซาตาน[3]
รูปแบบลงโทษแตกต่างกันไปตามบทกฎหมายท้องที่ เช่นการแขวนคอ ถ่วงน้ำ เผาทั้งเป็น บางพื้นที่ชายรักชายถึงกับถูกตัดสินประหารด้วยการจับแขวนองคชาติแล้วเผาทั้งเป็น และในการเผาชายรักชายบางท้องที่ ศาลบังคับให้ครอบครัวนักโทษเฝ้าดูจนกว่าไฟจะมอด[4]เช่นกฎหมายในเมืองออร์เลอ็องช่วงประมาณ ค.ศ. 1260 ชายที่ร่วมเพศกับเพศเดียวกันจะถูกลงโทษให้ตัดอัณฑะในการกระทำผิดครั้งแรก ถูกตัดองคชาติหากประกอบความผิดเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งความผิดในครั้งที่ 3 จึงถูกประหารชีวิตด้วยการเผาทั้งเป็น ขณะที่ผู้หญิงจะถูกทำให้พิการทุพพลภาพและประหารชีวิต[5]
และไม่จำเป็นที่ชายรักชายต้องร่วมเพศทางทวารหนักกันถึงจะมีความผิด เพียงแค่อมอวัยวะเพศ ผลัดกันใช้มือให้แก่กัน หรือเอาอวัยวะเพศถูไถ โดยไม่ว่าจะสำเร็จความใคร่หรือไม่ก็ตาม ศาลก็สามารถตัดสินให้ประหารชีวิตหรือเนรเทศได้[6]
เพราะฉะนั้นมันจะเด๋อมากๆ ถ้าจะออกมาพูดอะไรคลิเช่ๆ ว่า เราไม่ได้เหยียด LGBT เพราะศาสนาสอนให้รักทุกคน ยิ่งอ้างไปถึงพระคัมภีร์ว่าสอนให้รักเพื่อนมนุษย์แม้กระทั่งขันที ยิ่งเด๋อ ราวกับว่าไม่เคยเรียนประวัติศาสตร์โลก ไม่รู้จักสงครามครูเสด ไม่รู้จักสงครามสามสิบปี (ค.ศ. 1618 – ค.ศ. 1648) ที่ตีกันเพราะความขัดแย้งระหว่างโปรเตสแตนต์และโรมันคาทอลิก จนฉิบหายวายป่วงไปทั่วยุโรป คนตายเป็นเบือกว่า 10 ล้านคน
บางทีที่ขบวนการเคลื่อนไหวสิทธิ LGBTQ ในไทยสื่อสารไปไม่ถึงคนกลุ่มนี้ จนถูกมองว่า LGBTQ มัวแต่สื่อสารกันเอง ทะเลาะกันเอง ภูมิใจกันแอง ไม่ใช่เพราะขาดเครื่องมืออันทรงพลังหรือทำงานยังไม่มากพอหรอก หากแต่มันก็มีบางกลุ่มบางคนบางสถาบันที่ตั้งใจปิดตัวเองจากโลกที่แห่งความเป็นจริงที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย เหมือนกับที่กิจกรรมอบรมเลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้เบี่ยงเบนเป็นกิจกรรมปิด
สำหรับ LGBT ที่เติบโตมาในชุมชนเช่นนี้ก็จะสมาทานสำนึก homophobia และตกอยู่ในสภาวะรังเกียจตัวเอง รังเกียจเพศวิถีของตัวเอง (internalized homophobia) เชื่อว่าตนเองเลือกเกิดไม่ได้ ถ้าเลือกเกิดได้จะไม่เกิดมาเป็นคนรักเพศเดียวกัน เท่าที่ทำได้ก็คือร้องขอความเห็นใจ ให้สังคมเจียดความเมตตา ในฐานะผู้ที่มีคุณค่าความเป็นมนุษย์น้อยกว่าชายหญิงรักต่างเพศ
กิจกรรมนี้จึงจัดได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ความล้มเหลวของระบบการศึกษาและเพสศึกษาของสถานที่นั้นๆ เหมือนที่ศาสนาจารย์คนเดิมที่จัดกิจกรรมบอกว่า เพื่อนแกสมัยเด็กๆ เป็น LGBT ตามแฟชั่น เพราะหากลุ่มเพื่อน ไปจนถึงความล้มเหลวในการทำความเข้าใจโลกและเป็นมิตรกับเพื่อนบ้าน ทั้งๆ ที่โรงเรียนเองก็อยู่แถวสีลม ที่ได้รับการยอมรับจากสากลว่าเป็นเมืองหลวงเกย์โลก ราวกับว่าโรงเรียนไม่ได้ปฏิสังสรรค์ทำความรู้จักชุมชนนอกรั้วโรงเรียนเลย
อย่างไรก็ตามกระแสวิพากษ์วิจารณ์และกระบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาสังคมก็ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนขึ้นมาบ้าง แต่ไม่ใช่เพราะพวกเขาและเธอเรียนรู้ถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หากแต่เพื่อป้องกันตนเองไม่ให้ถูกมองว่าเป็น homophobia
ถ้าจะมีกิจกรรมประเภทสอนผู้ปกครองและครูบาอาจารย์ที่เป็น Homophobe อย่างไรไม่ให้โลกแคบหรือมีอคติทางเพศ คงได้แต่ตอบให้ปล่อยมนุษย์พวกนั้นอยู่ในวงปิดน่ะดีแล้ว ไม่ได้บอกว่ามนุษย์กลุ่มนี้ควรถูกจำกัดบริเวณ หากเพียงแต่พื้นที่ปิดนั้นอาจจะเป็นหลุมหลบภัยที่เหลือแห่งสุดท้ายของพวกเขาและเธอในโลกที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางเพศและมีพลวัติ ไม่ได้มีแค่ผู้ชาย ผู้หญิง รักต่างเพศเท่านั้น เพราะมนุษย์กลุ่มนี้ก็มีแนวโน้มลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ และพอๆ กับที่ความเชื่อเช่นนี้นับวันยิ่งกลายเป็นความตื้นเขินโลกแคบ ล้าหลัง
เพื่อเอาตัวรอดของคนกลุ่มนี้กับโลกใบแคบของเขาและเธอ ก็จะมักอ้างว่าฉันก็มีเพื่อนที่เป็น LGBT เหมือนกันนะแต่ก็เพื่อเอา LGTB เป็นตัวประกันไม่ให้ถูกประณามว่าจิตใจคับแคบเท่านั้น เพราะทันทีลูกตัวเอง เลือดเนื้อเชื้อไขตนเองเป็น LGBT ขึ้นมาก็ดิ้นๆ จะเป็นจะตาย ต้องจัดกิจกรรมหาทางป้องกันแก้ไขกับโรงเรียนเพื่อสอดส่องควบคุมและ ‘รักษา’ ลูกตัวเองในเวลาที่ไม่ได้อยู่กับที่บ้าน แล้วก็ไปยืมคำว่า ‘สิทธิ’ และ ‘เสรีภาพ’ มาใช้บ้างเพื่อปกป้องตนเองเชิงขอความเห็นใจว่า ตนเองก็มีสิทธิเสรีภาพที่จะเลี้ยงลูกให้มีเพศสภาพตรงตามเพศกำเนิด ทั้งที่การพยายามกีดกันไม่ให้ลูกได้เลือกเพศสภาพเพศวิถีของตนเองก็เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพลูกที่เลวร้ายไม่ต่างอะไรไปจากการคลุมถุงชนในโลกที่ทุกคนมีสิทธิเลือกที่รักและร่วมรักกับใคร
และถ้าหากเชื่อว่าการเที่ยวไปตีตรา LGBT หรืออัตลักษณ์บุคคลอื่นที่ไม่เหมือนกับตนว่าเบี่ยงเบนเป็นสิทธิอย่างหนึ่งที่พึงกระทำได้ มนุษย์กลุ่มนี้ก็ต้องรับมือให้ได้กับกระแสโต้กลับก็แล้วกัน แล้วก็ขอให้พระเจ้าคุ้มครองด้วยนะ
อ้างอิงข้อมูลจาก
[1] Michael Carden, Sodomy: A History of a Christian Biblical Myth (Bible World) (Sheffield: Equinox, 2004) pp. 16-18.
[2] Byrne Fone, Homophobia: A History (New York: Picador, 2001) pp. 140-141.
[3] Eric Berkowitz, Sex and Punishment: Four Thousand Years of Judging Desire (London: Westbourne, 2012) pp. 136-137.; William G. Naphy, Sex crimes: from Renaissance to Enlightenment (Gloucestershire: Tempus, 2004) pp. 103-105
[4] Eric Berkowitz, pp. 135-136.
[5] Byrne Fone, p.143.
[6] William G. Naphy, Sex crimes: from Renaissance to Enlightenment (Gloucestershire: Tempus, 2004) pp. 118-119.