1. อาจพูดได้ว่า สงครามโลกครั้งที่สองกลายเป็นช่วงเวลาที่มักจะถูกหยิบมาสร้างเป็นอนิเมชั่นอยู่บ่อยๆ เราคุ้นเคยกันดีกับ ‘Graves of the Fireflies’ หรือ ‘The Wind Rises’ ซึ่งก็บอกเล่าชะตากรรมของตัวละครต่างๆ ที่ชีวิตของพวกเขาได้ไปโยงเกี่ยวกับมหาสงครามครั้งนี้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เช่นเดียวกันกับ ‘In This Corner of the World’ ซึ่งก็หยิบเอาเรื่องราวของคนตัวเล็กๆ ผู้ซึ่งไม่มีบทบาทสำคัญใดๆ ต่อหน้าประวัติศาสตร์ และการมีอยู่ของพวกเขาเหล่านี้ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อชะตากรรมของญี่ปุ่นแต่อย่างใด
2. In This Corner of the World บอกเล่าชีวิตของ ‘ซึสึ’ เด็กสาวไร้เดียงสา ผู้วันๆ ชอบจินตนาการเรื่องต่างๆ นานา และบ้างก็จะระบายความคิดเพ้อฝันเหล่านั้นลงบนกระดาษ ซึสึชอบวาดรูป เก่งกาจจนใครๆ ก็ต่างยกย่องเธอจากทักษะ เก่งถึงขนาดว่าภาพที่เธอแอบวาดให้คนอื่นเคยได้รับรางวัลระดับจังหวัดด้วยซ้ำ แต่แม้จะรู้ตัวว่าตนมีความสามารถ กระนั้นมันก็ไม่เคยได้พาเธอไปวาดบนผืนผ้าใบเฉกเช่นศิลปินใหญ่ๆ แต่เป็นเพียงแค่ในหน้ากระดาษของสมุดจดบันทึก ตามผืนดิน หรือพื้นถนนเท่านั้นที่เธอจะวาดรูปลงไป
ซึสึใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวที่ฮิโรชิม่า แต่แล้ววันหนึ่งก็มีชายหนุ่มซึ่งเธอไม่รู้จักหน้ามาสู่ขอเธอไปเป็นภรรยาของเขา แม้ความคิดว่าอยากปฏิเสธจะเคยผ่านเข้ามาในหัว แต่สุดท้ายแล้วซึสึก็ได้แต่จำยอมเป็นสะใภ้แต่งเข้าบ้านเขา ทั้งยังต้องย้ายตัวเองไปอยู่กับครอบครัวเจ้าบ่ายที่คุเระ เมืองซึ่งเป็นฐานทัพใหญ่ของกองเรือญี่ปุ่น แต่ละวันที่ชีวิตของซึสึดำเนินไป แม้ว่าเธอก็ดูจะปรับตัวเข้ากับครอบครัวใหม่ได้ กระนั้นบ่อยๆ เธอก็นึกน้อยเนื้อต่ำใจที่ชีวิตเธอมักถูกพัดพาไปตามกระแสซึ่งเธอไม่อาจขัดขืน หากเพียงเธอก็ได้แต่กดมันเอาไว้ในใจเพื่อไม่ให้มันพุ่งพลั่งออกมาให้ใครสังเกตเห็น แถมด้วยความที่เมืองคุเระเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางการทหาร เมื่อฝั่งอเมริกันเริ่มส่งเครื่องบินมาบุกโจมตีฐานทัพแห่งนี้ ชาวบ้านก็จำต้องโดนลูกหลงอย่างไม่อาจหลบเลี่ยง ซึสึคิดถึงฮิโรชิม่า คิดถึงเมืองและชีวิตอันสุขสงบซึ่งไม่ต้องทนอยู่กับความไม่แน่ไม่นอนของสงครามอันมีแต่จะนำมาซึ่งความสูญเสียไม่รู้จบนี้
3. เรียกได้ว่า In This Corner of the World ไม่ได้นำเสนอแง่มุมที่ผิดแผกแตกต่างไปจากขนบเดิม มันยังคงนำเสนอให้เห็นความโหดร้ายที่สงครามโลกครั้งที่สองได้กระทบกระทั่งต่อประชาชนซึ่งต้องการเพียงชีวิตอันสุขสงบอย่างในอดีต ในช่วงแรกของหนัง เราได้เห็นช่วงเวลาอันเรียบนิ่งของชีวิตวัยเด็กที่สงครามยังไม่เริ่มต้น และซึสึกับครอบครัวก็ดำเนินชีวิตของตนไปอย่างไม่หวือหวา หากก็มีความสุขดี เธอเดินข้ามทะเลในช่วงน้ำลงเพื่อไปเยี่ยมย่า ได้กินแตงโมฉ่ำหวาน และแต่งชุดยูกาตะสวยๆ ในช่วงหน้าร้อน
หนังเก่งกาจในการเลือกเปิดเรื่องราวด้วยภาพวันวานอันแสนสุขอย่างอ้อยสร้อย เลือกปล่อยให้เวลาหลายสิบนาทีไหลเลื่อนไปอย่างเอื่อยเฉื่อยขณะที่ภาพอดีตอันแสนหวานค่อยๆ ซึมลึกเข้าสู่ความทรงจำของคนดูไปพร้อมกับการได้สนิทสนมกับตัวซึสึอย่างช้าๆ อาจกล่าวได้ว่า ซึสีในวัยเด็กนั้นถูกนำเสนอภาพออกมาเหมือนการ์ตูนสั้นจบในตอน เป็นตัวละครที่ยังไม่มีมิติทางชีวิตที่ซับซ้อน และมองทุกอย่างด้วยรอยยิ้มหวาน แต่ครั้นเมื่อเธอเติบโตขึ้นพร้อมๆ กับสงคราม ความไม่สลับซับซ้อนที่ว่าก็ค่อยๆ แตกสลายไปกับมิติของตัวละครที่มากขึ้นตามความร้ายกาจของสถานการณ์ที่ดำเนินไป ถือเป็นการไต่ระดับตัวละครที่ไล่เรียงไปกับระนาบของประวัติศาสตร์ได้อย่างชาญฉลาด ด้วยเพราะในขณะที่ตัวซึสึเปิดเผยความปวดร้าวในจิตใจมากขึ้น ก็คล้ายว่าสถานการณ์ของสงครามก็ยิ่งจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นตามๆ กัน
4. In This Corner of the World เล่าเรื่องสงครามผ่านมุมมองของผู้หญิง ในแง่ที่มันเลือกจะถอดเอาเรื่องราวทางการเมืองส่วนใหญ่ออกไป มันไม่บอกเล่าให้คนดูได้รู้ว่า ณ ขณะนั้น ญี่ปุ่นกำลังรับมืออยู่กับสงครามในพื้นที่ไหน ไม่บอกว่ากองทัพเลือกจะเดิมเกมด้วยกลยุทธ์ใด นั่นเพราะมันไม่ใช่สิ่งซึ่งผู้หญิงทุกคนในช่วงสมัยนั้นจะได้รู้ เช่นนั้นแล้วปัญหาของสงครามที่ตัวซึสึรับรู้จึงเป็นไปในทางของการต้องแบ่งสันปันส่วนอาหาร การต้องขุดหลุมหลบภัยไว้ที่บ้าง หรือการสูญเสียคนรู้จักไปโดยที่ตัวเองไม่อาจทำอะไรได้ แค่เพียงรับข่าว รับรู้ และดิ้นรนกับชีวิตต่อไป
ซึสึเป็นตัวละครที่มีลักษณะเป็น passive คือเป็นตัวละครซึ่งตั้งรับต่อผลลัพธ์ของเหตุการณ์โดยที่เธอไม่อาจยื่นมือเข้าไปบิดเปลี่ยนมันแต่อย่างใด เธอได้แต่มองคนที่รักต้องก้าวเข้าสู่กงเกวียนของสงครามโดยไม่อาจทักท้วง ทำได้เพียงให้ความมั่นใจว่าเธอจะรอคอยอยู่ข้างหลัง คอยดูแลบ้านจนกว่าเขาจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
5. การต่อสู้ของผู้หญิงในเรื่องนี้คือการจัดการกับอารมณ์อันพุ่งพลั่งภายในใจ ต่อสู้กับความรู้สึกไร้ค่าที่ตัวเองไม่อาจทำอะไรได้เมื่อสงครามคือพื้นที่ของเพศชาย ไม่เพียงแค่ซึสึเท่านั้นที่ต้องรับมือกับความพิพักพิพ่วนในจิตใจนี้ แต่ยังรวมถึงพี่สะใภ้ของเธอซึ่งถูกตัดขาดจากลูกชายและสามี หรือกระทั่งแม่สะใภ้ของเธอซึ่งสามีก็ทำงานให้กับกองทัพ แต่สำหรับพวกเธอแล้ว แม้สงครามจะนำมาสู่ความยุ่งยากสาระพัด หากกระนั้นก็ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่พวกเธอจะด่าประนามสงครามออกมาตรงๆ
จุดนี้เองที่หนังนำเสนอมุมมองและทัศนคติของผู้หญิงระหว่างสงครามออกมาอย่างตรงไปตรงมา ด้วยการที่มันไม่เอากรอบคิดปัจจุบันเข้าไปสวมทับและผลิตออกมาเป็นหนังต่อต้านสงครามทื่อๆ เห็นได้จากในฉากท้ายๆ ซึ่งมีการประกาศทางวิทยุโดยจักรพรรดิฮิโรฮิโตะเองว่าญี่ปุ่นได้ยอมแพ้ต่อสงคราม ซึ่งแทนที่ซึสึจะดีใจว่าในที่สุดมันก็จบลง กลับกลายเป็นว่าเธอทรุดตัวลงกับพื้น และร้องไห้ไม่หยุดด้วยความไม่พอใจที่ประเทศแพ้สงคราม ด้วยแม้ว่าการปะทะกันด้วยอาวุธและลูกกระสุนอาจสิ้นสุดลงแล้วจริง หากทว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่สูญเสียไประหว่างช่วงเวลาเหล่านั้นล่ะ สุดท้ายแล้วก็เหลือแต่ความว่างเปล่างั้นหรือ
น้ำตาของซึสึในฉากนั้นในทางหนึ่งมันคือความเสียใจต่อความพ่ายแพ้ของประเทศ แต่ก็เช่นกันที่มันก็คือการตอกย้ำต่อความเล็กจ้อยของตัวเองซึ่งได้แต่โอบรับเพียงความสูญเสีย และไม่เคยสร้างความเปลี่ยนแปลงใดๆ เฉกเช่นที่เธอเคยทำได้ผ่านภาพวาดที่เปี่ยมความฝัน ความหวัง และจินตนาการของเธอ

คาลิล พิศสุวรรณ