“ผมรักทุกคนนะ แล้วก็ไม่รู้สึกเหงาด้วย แต่ที่ไหนสักแห่งมันเหมือนมีเส้นกั้นในฐานะสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่เส้นกั้นในฐานะมนุษย์” – โกะโจ ซาโตรุ Jujutsu Kaisen มังงะตอนที่ 236
ในการ์ตูนโชเน็นเกือบจะทุกเรื่อง ความต้องการจะแข็งแกร่งขึ้นเป็นสิ่งที่เหล่าตัวละครจำนวนมากต้องการจะไปให้ถึง คือการเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกของพวกเขา อาจจะเพื่อเติมเต็มความฝัน เพื่อปกป้องคนที่พวกเขารัก หรือแข็งแกร่งเพียงเพื่อจะแข็งแกร่ง ความแข็งแกร่งเป็นภาพแทนของความทะเยอทะยานและเป้าหมายของคนคนหนึ่ง และมันถูกวางให้เป็นสิ่งที่ดีและไม่มีข้อด้อยอยู่เสมอๆ
อย่างไรก็ตาม โชเน็นกระแสหลักในยุคปัจจุบันจำนวนมากเริ่มตั้งคำถามกับองค์ประกอบต่างๆ ของเรื่อง จะเป็นยังไงถ้าพระเอกมีความฝันที่ตื้นเขินแบบใน Chainsaw Man หรือถ้าตัวเอกแข็งแกร่งอยู่แล้ว เขาจะไปไหนต่อใน One Punch Man ฯลฯ แล้วพอหันมอง Jujutsu Kaisen (มหาเวทย์ผนึกมาร) นั้นมีการบิดองค์ประกอบใดในเรื่องบ้างหรือเปล่า? พระเอกเด็กดี เพื่อนพระเอกสุดหล่อ อาจารย์โคตรขี้โกง ดำเนินเนื้อเรื่องในโรงเรียน ตัวร้ายนักชักใย 500 iq เมื่อมองผ่านๆ แล้วนี่น่าจะเป็นโชเน็นที่จริงใจ ตรงไปตรงมาที่สุดในทุกเรื่องของยุคปัจจุบัน…
แต่ทุกอย่างที่พูดมานั้นเปลี่ยนไปหลังจากไม่กี่ตอนล่าสุด เพราะหนึ่งในคำถามสำคัญที่มหาเวทย์ผนึกมารถามนั้นชัดเจนออกมา ราคาที่ต้องจ่ายของความแข็งแกร่งคืออะไร? ความแข็งแกร่งที่ทุกคนใฝ่หา เมื่อไปถึงแล้วมีอะไรรออยู่? มีถนนที่โรยด้วยกลีบกุหลาบตลอดชีวิต หรือว่าจริงๆ แล้วความเจ็บปวดก็ยังติดตามมาด้วย? วันนี้เราจะลองไปชวนดูความเจ็บปวดของผู้แข็งแกร่งในมหาเวทย์ผนึกมารกัน
*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของการ์ตูนเรื่อง Jujutsu Kaisen*
เกโท สุงุรุ
‘ปัดเป่า กลืนกิน ปัดเป่า กลืนกิน ปัดเป่า และกลืนกิน’
‘เกโท สุงุรุ’ ผู้ใช้คุณไสยระดับพิเศษ เจ้าของอาคมควบคุมวิญญาณคำสาป เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของโกะโจ ซาโตรุ ชายผู้ครั้งหนึ่งเคยยึดมั่นในความคิดที่ว่า ‘อาคมมีไว้เพื่อปกป้องคนที่อ่อนแอ’ ก่อนที่เขาจะเริ่มตั้งคำถามกับความคิดและการกระทำของตัวเอง หลังการทำภารกิจคุ้มกัน ‘เซโชไท’ ในฤดูร้อน ปี 2006 เมื่อไม่ว่าจะกลืนกินคำสาปไปมากเท่าไหร่ แต่พวกมันก็ไม่เคยหมดไปเสียที จนกระทั่งเขาได้พบกับทฤษฎีที่ว่า “คำสาปนั้นเกิดจากมนุษย์ผู้ไร้ไสยเวทเสมอ ดังนั้นถ้ามนุษย์ทุกคนเป็นผู้ใช้วิชาก็จะไม่เกิดคำสาป” และเลือกที่จะก้าวเข้าสู่การเป็นนักสาปแช่งในที่สุด
ดูๆ ไปแล้วสุงุรุ ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากอาคมของเขาเสียเท่าไหร่ เมื่อนอกจากเขาจะดูดกลืนวิญญาณคำสาปเพื่อควบคุมพวกมันแล้ว ตัวของสุงุรุเองก็มักดูดกลืนความเอาความคิดและความรู้สึกของผู้คนที่เขาเคยพบเจอมากักเก็บไว้ในความคิดของตัวเอง รวมถึงวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนผลที่ออกมานั้นเกินกว่าที่หลายคนจะคาดคิด
และแม้ว่าท้ายที่สุดเขาเลือกที่จะก้าวเดินออกไปจากทางเดิมที่เขาเคยตั้งเอาไว้ และอาจดูสุดโต่งมากๆ แต่สิ่งหนึ่งที่แย้งได้ยากก็คงเป็นจุดมุ่งหมายของเขาที่ต้องการทำให้โลกปราศจากคำสาปต่างๆ เมื่อการมีอยู่ของคำสาปนั้นเป็นตัวแปรที่ทำให้ผู้ใช้คุณไสยมากมายต้องเสียชีวิตลงไป ไม่ว่าจะเพราะจำนวนของคำสาปที่ไม่เคยหมดไป หรือเพราะเบื้องบนของโลกคุณไสยที่แจกแจงงานเกินความสามารถของผู้รับผิดชอบก็ตาม
โกะโจ ซาโตรุ
‘เพราะนายเป็นโกะโจ ซาโตรุ นายเลยไร้เทียมทาน หรือเพราะไร้เทียมทาน นายเลยเป็นโกะโจ ซาโตรุ ?’
ถ้าให้พูดถึงตัวละครที่ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่งสักตัวจากเรื่องมหาเวทย์ผนึกมาร คนแรกๆ ที่คิดถึงก็คงหนีไม่พ้น ‘โกะโจ ซาโตรุ’ ชายผู้เปรียบเสมือนตัวบัคของเรื่อง ผู้ที่เกิดมาพร้อมกับดวงตาริคุกันและพลังไสยเวทประจำตระกลูโกะโจอย่างมุเกน ที่ทั้งหมดทั้งมวลก็ดูเหมือนจะทำให้ชีวิตของเขาดูมุ่งหน้าสู่จุดสูงสุดได้โดยไม่ลำบาก
แต่เส้นทางชีวิตที่ดูจะได้อะไรมาง่ายๆ ไม่ต้องขวนขวายของเขาก็ไม่ได้สุขสบายอย่างที่เราคิดเสียเท่าไหร่ เมื่อในวันหนึ่งของฤดูร้อน ปี 2006 ที่เขาพลาดท่าให้กับมือสังหารผู้ใช้วิชา ก่อนที่หนึ่งปีให้หลังเหตุการณ์นี้จะนำพาให้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเขาก้าวขาสู่เส้นทางของนักสาปแช่ง
เพราะแข็งแกร่งจึงโดดเดี่ยว แม้ว่าตัวซาโตรุจะไม่ได้เหงาเพราะถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คน ไม่ว่าจะเป็นเหล่าเด็กนักเรียนโรงเรียนเฉพาะทางไสยศาสตร์นครโตเกียวที่เป็นต้นกล้าชั้นดีที่เขาคอยฟูมฟัก หรือเพื่อนร่วมรุ่นและรุ่นน้องที่เหลืออยู่ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาไม่รับรู้ถึงความว้าเหว่อยู่ดี เพราะสุดท้ายก็เหมือนมีเส้นบางๆ ที่คั่นระหว่างเขาและคนอื่น เส้นบางๆ ของความพึ่งพาที่ทำให้ในหลายครั้งเขาต้องทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว
นานามิ เคนโตะ
แม้จะไม่ได้มีพรสวรรค์ที่โดดเด่นเหนือใครเขา แต่ ‘นานามิ เคนโตะ’ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่ดึงเอาความสามารถของตัวเองมาใช้ได้จนถึงขีดสุด นานามิเป็นรุ่นน้องร่วมโรงเรียนเฉพาะทางไสยศาสตร์นครโตเกียวของโกะโจ ซาโตรุและเกโท สุงุรุ และมีเพื่อนร่วมรุ่นอีกหนึ่งคนคือไฮบาระ ยู ซึ่งจากไปในภารกิจหนึ่งที่พวกเขาต้องไปทำด้วยกันในตอนที่เขาอยู่ปี 2 โดยหลังจากเรียนจบนานามิเลือกที่จะออกจากวงการคุณไสย และไปใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์เงินเดือนธรรมดา
แม้ภายนอกนานามิ เคนโตะจะดูเป็นคนเย็นชาไม่ค่อยสนใจใคร แต่เขาก็เป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง รู้จักวางแผน รวมถึงเอาใจใส่และคิดถึงคนรอบข้างที่เกี่ยวพันธ์กับการกระทำของเขาเสมอ และเพราะชีวิตที่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบของเขานั่นเองได้เหนี่ยวรั้งเขาที่แม้จะโหยหาชีวิตธรรมดา การเกษียณตัวเองแล้วไปนั่งริมทะเลที่มาเลเซีย ต้องเดินวนกลับมาในโลกของผู้ใช้คุณไสยอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะตั้งต้นการกลับมาจากการชั่งน้ำหนักความห่วยแตกของชีวิตมนุษย์เงินเดือนธรรมดากับชีวิตผู้ใช้คุณไสยก็ตาม
อคคตสึ ยูตะ
‘อคคตสึ ยูตะ’ คือตัวเอกก่อนจะมีตัวเอก ธรรมชาติของการเป็นพระเอก 1 Shot นั้นคือการที่การเติบโตในแง่พลังของยูตะนั้นเริ่มจาก 0 ไป 100 เพียงในไม่กี่ตอน ทำให้เขาแทบจะเป็นตัวละครที่ขี้โกงที่สุดในเรื่องเลยก็ว่าได้ ลำพังแค่การมีระดับพลังไสยเวทที่ไม่จำกัดจากการเป็นญาติห่างๆ กับผู้ใช้ไสยเวทระดับตำนานก็โกงมากๆ แล้ว แต่อีกสิ่งที่ทำให้เขาทรงพลังอย่างมากคือวิญญาณร้ายระดับพิเศษที่ผูกติดตัวเขาเอาไว้ โอริโมโตะ ริกะ หรือราชินีแห่งคำสาป
ในเชิงการต่อสู้ ริกะมอบพลังในการลอกเลียนอาคมของผู้อื่นได้ แต่สิ่งที่ทำให้เธอน่ากลัวยิ่งกว่าอะไร คือการที่ริกะนั้นไม่ใช่ใครอื่น นอกจากคนรักวัยเด็กของยูตะนั่นเอง ผ่านความตายที่คาดไม่ถึง คำสัญญาและคำขอร้องของยูตะในห้วงสุดท้ายของชีวิต ทำให้ริกะผูกติดกับยูตะด้วยความรัก คำสาปที่บิดเบี้ยวที่สุด
ไม่ว่าจะคนที่รัก หรือคนที่ต้องการทำร้าย ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้ยูตะได้ ยูตะเป็นคนที่ตัดขาดตัวเองออกจากสังคม กลายเป็นว่าในขณะที่เขาจะเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ความแข็งแกร่งนั้นไม่ใช่จุดจบแต่อย่างใด เพราะเขายังต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตร่วมกับผู้คน หรือแม้แต่เรียนรู้ที่จะปล่อยมือจากใครเมื่อถึงเวลา
เซนอิง มากิ
“ระดับ 4 ตลอดกาล” คือสิ่งที่ ‘เซนอิง มากิ’ ถูกใช้เรียกเสมอมา แม้แต่จากฝาแฝดของตัวเอง ถ้าจะถามว่าใครดวงซวยที่สุดในโลกของโชเน็นเรื่องนี้ มากิคงจะอยู่ลำดับต้นๆ เพราะเธอเกิดมาเป็นผู้หญิง ฝาแฝด และไร้ไสยเวท ทั้งหมดนั้นจะไม่มีผลอะไร หากไม่ได้เกิดมาในตระกูลเซนอิง หนึ่งใน 3 ตระกูลใหญ่ของโลกผู้ใช้ไสยเวท ตระกูลที่มีค่านิยมกดผู้หญิงและไม่นับคนที่ไม่มีไสยเวทเป็นมนุษย์เสียด้วยซ้ำ
การที่มากิไร้ไสยเวทในระดับที่ไม่อาจเห็นคำสาปได้นั้น เกิดจากธรรมชาติของการเป็นฝาแฝดในจักรวาลนี้ ไม่ใช่เพียงการเป็นคนหน้าเหมือนกัน แต่เป็นคนคนเดียวกันที่ถูกแยกออกเป็นสอง ในกรณีนี้คือมากิและไม ในขณะที่ไมได้รับอาคมการประกอบร่าง ที่ทำให้เธอสร้างวัตถุขึ้นมาได้ มากิได้รับข้อผูกมัดสวรรค์ ในการไม่มีอาคมและไสยเวทแต่ได้รับพรสวรรค์ทางกายมาแทน ซึ่งพรสวรรค์ของทั้งคู่ต่างไม่อาจไปถึงจุดสูงสุดได้ เนื่องจากตามกฎของโลกนี้ เธอทั้งคู่นับเป็นเพียงครึ่งคนเท่านั้น
ความเกลียดชังจากแฝดน้องที่คิดว่ามากิทิ้งให้เธออยู่ในตระกูลแย่ๆ นี้คนเดียว และการแปะป้ายจากโลกทั้งใบที่เรียกว่าเธออยู่ระดับต่ำสุดเสมอมา และโลกที่สาปให้เธอเกิดเป็นเพียงครึ่งคน มีไม่กี่หนทางเท่านั้นที่เซนอิง มากิจะสามารถแข็งแกร่งได้ และสิ่งที่เธอแลกไปคือไม่กี่สิ่งที่เธอรักในโลกนี้
มุตะ โคคิจิ
เกิดมาในโลกผู้ใช้คุณไสย ถ้าบอกว่าผู้ไร้พลังไสยเวทคือคนที่ซวยที่สุด แล้วคนที่เกิดมาพร้อมพลังไสยเวทมหาศาลคือคนที่โชคดีอย่างงั้นหรือ?
แต่เมื่อมองไปที่ ‘มุตะ โคคิจิ’ เขาดูจะไม่ใช่คนที่โชคดีอย่างที่เราคิดเสียเท่าไหร่ เพราะเขาเป็นอีกคนหนึ่งที่เกิดมาพร้อมกับข้อผูกมัดสวรรค์ แต่ต่างจากมากิที่ไร้ไสยเวท มุตะ โคคิจิเกิดมาพร้อมพลังไสยเวทมหาศาล โดยแลกกับการที่เขามีผิวที่บางมากจนไม่อาจถูกแสงได้ (แม้กระทั่งแสงจันทร์ก็ยังทำให้ผิวหนังไหม้ได้) ไร้ซึ่งแขนขวา และร่างการท่อนล่างไร้ความรู้สึก ทำให้เขาต้องเข้าเรียนในโรงเรียนไสยศาสตร์นครเกียวโตในฐานะของ ‘เมกะมารุ’
และเพราะความผูกพันธ์ รวมถึงความต้องการที่อยากออกไปใช้ชีวิต ไปเรียนกับเพื่อนๆ ในโรงเรียนไสยศาสตร์นครเกียวโต นั่นเองก็ทำให้มุตะ เลือกที่จะติดต่อ ทำข้อผูกมัด และขายข้อมูลของฝั่งโรงเรียนไสยศาสตร์แก่พวกวิญญาณคำสาป เพื่อที่เขาจะได้ให้วิญญาณคำสาปที่มีพลังในการแปรเปลี่ยนธรรมชาติ เปลี่ยนร่างกายของเขาให้กลับมาเป็นเหมือนคนทั่วไป แม้ว่าในวาระสุดท้ายเขาจะไม่ได้นำร่างกายของตัวเองไปเจอเพื่อนๆ ในโรงเรียนไสยศาสตร์นครเกียวโตก็ตาม
อามาไน ริโกะ
แหวกแนวจากการคนอื่นๆ ในลิสต์ ‘อามาไน ริโกะ’ ไม่ใช่คนที่มีพลังอำนาจเหนือมนุษย์ หรือความสามารถในการต่อสู้ที่สูงส่ง เป็นเพียงเด็กนักเรียนมัธยมธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ภายนอก อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส เธอเป็นหนึ่งในบุคคลที่สำคัญที่สุดในโลกนี้ เพราะเธอคือร่างหล่อเลี้ยงดาว เด็กสาวที่เมื่อถึงวัยต้องสละชีพตัวเองเพื่อคงไว้ซึ่งความปลอดภัยของโลกผู้ใช้ไสยเวท
ตอนเราอายุ 14 ปีเราทำอะไรอยู่? ชีวิตวัยรุ่นของเราเต็มไปด้วยความฝัน เพื่อนฝูง และมุมมองต่อโลกที่สดใส แต่วัย 14 ของริโกะนั้นถูกเลือกให้เธออย่างไม่ได้ ไร้เพื่อน ความรับผิดชอบต่อโลกทั้งใบ การโดนกลุ่มการเมืองหัวรุนแรงตามฆ่า และถึงจะรอดชีวิตยังไงก็ยังต้องสูญเสียตัวตนของตัวเองไป เพื่อที่จะให้ร่างของเทนเงน ผู้เป็นเสาหลักของความปลอดภัยผู้ใช้ไสยเวทย์คงอยู่ต่อไปได้
ซ้ำร้าย ในไม่กี่วันสุดท้ายในชีวิตของเธอ เธอถูกจับพลัดจับผลูให้อยู่กับคนสามคนที่ทำให้เธอรู้สึกรักการมีชีวิตของเธอขึ้นมา รักมากพอที่จะจับมือกับพวกเขาแล้วหนีความรับผิดชอบนั้นไปให้ไกลได้ การเกิดมาพร้อมหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่สำคัญ บางทีก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าอิจฉานัก
ฟุชิงุโระ โทจิ
นักฆ่าเลือดเย็น แมงดาดูดเงินผู้หญิงไม่เลือกหน้า ทอดทิ้งครอบครัวของตัวเอง ฯลฯ ในห้วงเวลาที่เราพบเจอ ‘ฟุชิงุโระ โทจิ’ ครั้งแรก แทบจะมองไม่ออกเลยว่าคนคนนี้จะมีแง่มุมไหนที่จะเป็นผู้เป็นคนได้ อย่างไรก็ตาม การได้เรียนรู้เกี่ยวกับอดีตของเขาก็ทำให้เราได้รู้ที่มาที่ไปของความไม่เอาอะไรเลยของผู้ชายคนนี้ คนที่ถูกผลักออกจากครอบครัวของตัวเองอย่างหนักเช่นเขา ก็อาจนำความเย็นชานั้นส่งต่อให้คนอื่นๆ ได้โดยไม่ได้ตั้งใจ
เกิดมาในตระกูลเซนอิงแต่ไร้พลังไสยเวทโดยสิ้นเชิง ฟุชิงุโระ โทจิคือขั้นกว่าของมากิ ในขณะที่มากิไม่อาจเห็นคำสาปได้หากไม่ใส่แว่น การไร้พลังโดยถึงที่สุดของโทจิทำให้เขามองเห็นคำสาปผ่านประสาทสัมผัสที่พุ่งสูงขึ้นเหนือมนุษย์แทน ยิ่งไปกว่านั้น การไม่มีพลังอะไรเลยทำให้เขากลายเป็นมนุษย์ล่องหนสำหรับผู้ใช้ไสยเวท ความล่องหนนั้นๆ เชื่อมโยงไปกับเรื่องราวของเขา เพราะแม้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกคนหนึ่ง ตระกูลที่ให้ความสำคัญกับไสยเวทมากๆ อย่างตระกูลเซงอินผลักไสเขาออกไป และเขาเองก็หนีอออกมาเพื่อแต่งงานกับหญิงคนหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนนามสกุลของตัวเอง
ตลอดชีวิตการเป็นนักฆ่าและการหลอกเอาเงินคนเพราะถูกทอดทิ้งจากครอบครัว ใจไม่สนโลกของโทจิกลับได้รับความอบอุ่นจากหญิงคนสุดท้ายที่เขาเพิ่งทิ้งไป งานสุดท้ายของเขาพาเขามาอยู่บนทางแยก วางมือจากทุกสิ่ง แล้วเดินไปหาครอบครัว หรือจะล้างแค้นสังคมที่ไม่ใยดีเขา แล้วต่อสู้กับผู้ใช้ไสยเวทที่ทรงพลังที่สุด
บางครั้งบาดแผลในอดีตก็ลึกเกินไป และกว่าจะเห็นหนทางที่ดีกว่า มันก็สายเกินแก้เสียแล้ว