ย้อนกลับไปประมาณปี 2000 วงการเพลงไทยได้เห็นสาวผมชมพูใส่ชุดดำ ร้องเพลงจังหวะเนิบช้าด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่ก็ยังแฝงความอบอุ่นอยู่ในที ณ ขณะนั้นไม่น่ามีใครในประเทศนี้ไม่รู้จัก ญารินดา บุนนาค
“ตั้งแต่ครั้งที่เราจากกันแสนไกล
เหตุและผลมากมายไม่เคยสำคัญ
เท่ากับความรู้สึกที่ใจของฉันนั้นเก็บให้เธอ”
ท่อนแรกของเนื้อเพลง แค่ได้คิดถึง จากอัลบั้มแรกของเธอเมื่อปี 2001 จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม มันราวกับว่าเธออยากปล่อยให้เนื้อเพลงท่อนนี้ได้ทำงานกับแฟนเพลงอย่างเต็มที่ เพราะตั้งแต่วันนั้นที่เธอออกอัลบั้มแรกกับ GMM Grammy จนได้รับเสียงตอบรับอันมากมายจากแฟนเพลง รวมไปถึงการได้ทัวร์คอนเสิร์ตทั่วประเทศ และหลังจากที่เธอออกอัลบั้มแรกเพียงหนึ่งหรือสองปีเท่านั้น เธอก็หายไปจากซีนของวงการเพลงไป
เหตุผลที่เธอหายไปอาจไม่ได้สำคัญอะไร แต่ความรู้สึกของแฟนเพลงที่ยังคงเก็บไว้ให้เธอเสมอนั้นยังคงเหนียวแน่น จนเธอได้ออกอัลบั้มต่อไปในอีกไม่กี่ปีต่อมา
ปี 2006, ประเทศไทย เราได้ยินเพลงของญารินดากลับมาอีกครั้งบนคลื่นหน้าปัดวิทยุ คราวนั้นเธอกลับมาในบ้านหลังใหม่ที่ชื่อ Smallroom โดยออกเพลงแบบเต็มอัลบั้ม แถมยังคงมีกลิ่นอายของความเป็นญารินดาอยู่แบบเดิมไม่เสื่อมคลาย
แล้วเธอก็หายไปจากวงการเพลงอีกครั้ง
ไม่มีเพลงหรืออัลบั้มใหม่จากญารินดาออกมาอีกเลย
จนกระทั่ง…
ปี 2025, อิมแพ็ค เมืองทองธานี ญารินดาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่ 90’s X 2 Super Concert เธอออกมาร้องเพลงดังอย่าง แค่ได้คิดถึง คนที่อยู่ในงานนั้นคงได้ประจักษ์ด้วยตาตัวเองว่าเสน่ห์ความเป็นญารินดาที่ทั้งสงบแต่ทรงพลังเมื่ออยู่บนเวทีเป็นเช่นไร และวันนี้เราได้มีโอกาสรู้คำตอบของคำถามที่อยู่ในใจมานานกว่ายี่สิบปีแล้วว่า เหตุและผลมากมายที่เธอหายไปนานจนปล่อยให้ทุกคนแค่ได้คิดถึงนั้นคืออะไร
คำตอบ คือเธอไปสวมหมวกหลายๆ ใบในเวลาที่หายไปนั่นเอง
เราได้พูดคุยกับญารินดาอีกครั้งหลังผ่านเวลาไป 20 ปี จากวันที่เราเคยรู้จักเธอครั้งแรกผ่านเสียงเพลง จนในวันนี้ที่เธอไปทำอะไรมาตั้งหลายอย่างทั้งเป็นนักร้อง นักแสดง สถาปนิก และคุณแม่ลูกสอง
เราอยากทราบเหมือนกันว่าหลังจากที่เธอเคยอยู่ในวงการเพลงมาในช่วงยุค 2000 ต้น จนวันนี้ที่เธอกลับไปบนเวทีที่มีคนร่วมร้องเพลงกับเธอกว่าหมื่นคนอีกครั้ง เธอรู้สึกอย่างไร และชีวิตเธอเปลี่ยนไปยังไงบ้าง
ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง
ตอนนี้พี่เป็น Co founder ของบริษัทสถาปัตย์ที่ชื่อ Imagery Objects เป็นบริษัทออกแบบ รับทำงานสถาปัตย์ ทำหมดเลยทั้งงานสเกลเล็ก สเกลใหญ่ เมื่อก่อนรับงาน commercial เยอะ แต่ก็อาจจะเพราะช่วงหลังนี้พี่เคยเป็นอาจารย์สอนหนังสือด้วยและเป็นแม่แล้วด้วย ตอนนี้ก็เลยมีงานออกแบบโรงเรียนและสนามเด็กเล่นมากขึ้น ทำพวก playground ในโรงเรียน ในสวน อันนี้ก็เป็นงานหลักในตอนนี้
แล้วงานอื่นล่ะ
จริงๆ งานแสดงก็ยังรับอยู่ ตอนนี้ก็มีเรื่อง MOUSE ที่ออนแอร์อยู่ที่ช่อง True แต่อย่างงานดนตรีก็เลิกทำไปเลยตั้งแต่มีลูก พอมีลูกแล้วชีวิตเราต้องจัดลำดับความสำคัญใหม่ เราไม่สามารถไปทัวร์คอนเสิร์ตหรือกลับบ้านตี 1 ตี 2 ได้แล้ว และอาจจะเพราะว่าตอนนี้มาประจำที่หัวหินด้วย มันไม่ได้มีสถานที่ มีเวลา มีเพื่อนๆ ที่จะสามารถนัดกันมาทำเพลงได้แบบเรื่อยๆ บ่อยๆ ที่นี่ ก็เลยหยุดไป ไม่ได้ทำ
ทั้งรับงานแสดงทั้งทำงานสถาปนิกไปด้วย รู้สึกเครียดไหม
(คิดสักครู่) รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากกว่าที่มีโอกาสได้ทำอะไรหลายๆ อย่างที่ตัวเองรัก จริงๆ ก็ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วที่เรียนไป เขียนเพลงไป เล่นดนตรีไป คือตั้งแต่ไหนแต่ไรก็ทำอะไรหลายๆ อย่างมาพร้อมกันตลอด เลยอาจจะชินก็ได้นะที่ต้องทำหลายอย่างพร้อมกัน พี่มองว่ามันเป็นเรื่องของเวลาและโอกาสที่ทำให้เราได้ทำทุกอย่างตรงนี้
เคยมีคนบอกไหมว่าเราควรโฟกัสแล้วเลือกทำแค่อย่างเดียว
มีเหมือนกัน มีช่วงหนึ่งที่เหมือนคิดว่าต้องเลือกแล้วว่าต้องทำเพลงแค่อย่างเดียว เป็นศิลปินอย่างเดียว หรือต้องไปเรียนสถาปัตย์ จังหวะมันคือว่าตอนนั้นพี่เซ็นสัญญาว่าจะเป็นศิลปินที่แกรมมี่ แต่พี่ก็สอบติดที่มหาวิทยาลัยด้วย ตอนนั้นก็เหมือนว่าเราต้องเลือกว่าจะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง
แล้วพี่เลือกอะไร
ตอนนั้นคิดว่าไหนๆ ก็สอบติดแล้วก็ไปเรียนหน่อยก็แล้วกัน เลยบินไปเรียนที่อเมริกาอยู่ 1 ปี พอจบปี 1 ก็ดรอป แล้วกลับมาออกอัลบั้ม แล้วก็ทัวร์คอนเสิร์ตอยู่ประมาณ 1 ปี พอเราได้ทำในสิ่งที่เราชอบในตอนนั้นแล้ว เราก็กลับไปเรียนต่อ แล้วก็ยาวเลย คือเรียนยาว แต่ระหว่างเรียนก็เขียนเพลงไปด้วย เล่นดนตรีกับเพื่อนไปด้วยนะ แล้วค่อยกลับมาออกอัลบั้มอีกครั้งกับ Smallroom
ทั้งหมดนี้พี่ตัดสินใจเองทั้งสิ้น
ใช่นะ คุณพ่อคุณแม่ให้ตัดสินใจเองเลย พี่ก็ตัดสินใจแบบนั้น ก็เลยบอกว่าตัวเองโชคดีมาตลอดว่าได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบมาตลอด มันคือจังหวะและโอกาส
เป็นมายังไงถึงได้กลับมาขึ้นเวทีคอนเสิร์ตในปีนี้
ตอนแรกก็ว่าจะไม่ขึ้นนั่นแหละ เพราะเราก็ห่างเวทีมานาน สนิมกินแล้ว รู้สึกสงสัยในตัวเองว่าจะทำได้หรอ แต่กลับมาตัดสินใจว่าจะขึ้นเวทีก็เพราะลูกเลย
ทำไมล่ะ
พอลูกรู้ว่าเราปฏิเสธขึ้นเวทีไป ลูกก็ถามว่า แล้วทำไมแม่ถึงไม่ขึ้นล่ะ ทำไมไม่ทำ (สิ่งนี้) เราก็คิดเออ ทำไมตอนนั้นเองก็เลยตัดสินใจว่าจะไปขึ้นเวทีนี้
ไปขึ้นเวทีนี้แล้วเป็นยังไงบ้าง
คือพี่ห่างจากการร้องเพลงบนเวทีไปนานมาก ตั้งแต่วันที่รู้ว่าต้องขึ้นเวทีพี่ก็ซ้อมคนเดียวอยู่เรื่อยๆ แต่พอวันที่เขานัดว่าต้องเข้าไปซ้อมที่ตึกแกรมมี่ ต้องไปร้องเพลงต่อหน้าคนอื่น ต่อหน้าวงดนตรี แล้ววันนั้นจำได้ว่ามีคนอยู่ในห้องซ้อมประมาณ 20 กว่าคน มีพี่อ้อม (สุนิสา) ด้วย ก็ตื่นเต้นมาก ประหม่ามาก แต่พอร้องๆ ไปก็มานึกได้ว่าเราร้องเพลงนี่เราไปสนุก ไปดื่มด่ำกับบรรยากาศ กับเพลงดีกว่า แล้วพอได้ขึ้นไปบนเวที มันก็เป็นอย่างนั้น มันเป็นความรู้สึกที่ดี
ลูกได้เห็นแม่บนเวทีครั้งแรก เขาว่ายังไงบ้าง
(หัวเราะ) เขาช็อคเลย เขางง เขาไม่รู้…ไม่สิ เขารู้แหละว่าแม่เคยเป็นนักร้อง แต่เขาไม่รู้ว่าแม่เคยเป็นนักร้องยังไงแบบไหน แล้ววันนั้นคนในอิมแพ็คสองหมื่นกว่าคนช่วยกันร้องเพลงในตอนนั้นที่พี่ร้อง ลูกพี่เขาก็ช็อกเลย (น้ำเสียงยิ้มอีก) เขาก็แฮปปี้
ย้อนไปตอนออกอัลบั้มแรกที่ทำผมสีชมพู ตอนนั้นภาพออกมาเหมือนเป็นขบถแห่งยุคเลยเพราะไม่ค่อยมีใครทำผมสีนี้ ตอนนั้นรู้สึกยังไงบ้าง
จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจทำผมสีนั้น แต่อยู่ในหอพักนักศึกษาแล้วยาย้อมผมมันเหลือ เราก็บอกเพื่อนว่าทำให้หน่อยสิ เพื่อนก็ทำให้ เราก็ผมสีชมพูแบบนั้นนั่นแหละกลับมาไทยเลย พออากู๋เห็นเขาก็บอกว่าเอาสีนี้ออกอัลบั้ม มันก็เลยเป็นผมสีชมพูแบบนั้นออกอัลบั้ม แล้วก็อยู่กับผมสีชมพูนั้นทั้งปี
คิดจะกลับไปย้อมเป็นสีนั้นอีกไหม
โอย ไม่แล้วล่ะ ที่จะไปขึ้นคอนเสิร์ตคราวนี้ที่ผ่านมาตอนแรกเขาก็ถามว่าย้อมเป็นสีน้ำเงินไหม พี่ก็บอกว่า ไม่เอาแล้วดีกว่านะ (หัวเราะ)
ถ้าเราได้เห็นญารินดาทำเพลงอีกครั้ง เราน่าจะได้เห็นญารินดาทำเพลงแบบไหน
คงจะคล้ายแบบเดิมเลย พี่ชอบดนตรีออเคสตร้า อย่างเพลง แค่ได้คิดถึง จะมีความออเคสตร้า หรืออัลบั้มที่ 2 อัลบั้มที่ 3 กับ Smallroom ก็จะมีใช้เครื่องสายเครื่องเป่าเยอะมาก เพราะพี่สนุกกับเสียงอย่างนั้น ถ้าทำอีกก็คงไปทางนั้นพี่เอาตัวเองเปนตัวตั้งล้วนๆ การทำเพลงสำหรับพี่มันเป็นการระบายความรู้สึก เป็นตัวเลือกเป็นอะไรที่เฉพาะตัวมากๆ สำหรับพี่ จะขายได้ขายไม่ได้พี่ไม่สน พี่ชอบสิ่งนี้ พี่รู้แต่ว่าพี่มีความสุขที่จะทำแบบนี้ พี่ก็จะทำ
พี่ชอบศิลปินคนไหนบ้าง
เดวิด เบิร์น (David Byrne) นี่พี่ชอบมาก แล้วก็พวกวงอินดี้เมืองนอก แล้วพี่ก็เป็นคนอิน ดนตรีมิวสิคคัลมาแต่ไหนแต่ไร ตอนเรียนพี่เคยไปฝึกงานที่ West End (ชื่อย่านย่านหนึ่งในลอนดอนที่เป็นศูนย์รวมละครเวที) ด้วย พี่ก็ชอบแนวนั้น หลังนี่ก็ชอบฟัง Sunset Boulevard ที่เขาเอา นิโคล เชอร์ซิงเงอร์ (Nicole Scherzinger) (นักร้องนำวง Pussycat dolls) มาร้อง อันนั้นพี่ก็ชอบ
สุดท้ายนี้ถ้าเลือกทำได้แค่อาชีพเดียวเท่านั้น อยากเลือกทำอาชีพไหน
คงตอบไม่ได้ เพราะไม่มีตัวเลือกนั้นอยู่แล้วสำหรับพี่