ตั้งแต่ COVID-19 ระบาดมา ผลกระทบต่อโลกเราก็สูงชนิดที่เรียกได้ว่าเป็นการ disrupt สิ่งต่างๆ ที่เคยเป็นมาจนหลายคนก็พูดว่า ต่อจากนี้คงจะกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว และแน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แบบนี้ก็ส่งผลกระทบต่อคนจำนวนมาก ดูในระดับโลกแล้วก็เห็นปัญหาการว่างงานจำนวนมาก ขนาดบริษัทใหญ่ๆ ยังปรับคนออกจำนวนมหาศาล มองกลับมาเมืองไทยก็อย่างที่เห็นกันคือ หลายคนไม่สามารถประทังชีวิตไปได้เหมือนเดิม จนนอกจากเงินช่วยเหลือของภาครัฐ ก็ทำให้ได้เห็นสามัญชนคนทั่วไปออกมาพยายามช่วยเหลือกัน เรียกได้ว่าคนลำบากกันไปถ้วนหน้าจริงๆ
แต่ต่อให้มีคนลำบากขนาดเห็นข่าวคนฆ่าตัวตาย หรือออกมาขอเงินกันอยู่เกือบทุกวัน ก็ยังมีคนมา romanticize ว่า ไวรัสตัวนี้มารักษาสภาพแวดล้อมของโลก หรือเป็นของขวัญให้กับชาวโลกให้ได้ใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น ซึ่งก็มีตั้งแต่ ไลฟ์โค้ช (ก็ยังเป็นอาชีพที่ผมงงๆ อยู่) นักเขียน กระทั่งพระ ที่เสนอแนวคิดแบบนี้ผ่านทางสื่อต่างๆ ราวกับไม่เห็นคนที่ลำบากกับปัญหาที่เกิดขึ้น จนโดนกระแสต่อต้านไปไม่น้อย และของแบบนี้ก็ไม่ใช่ที่เมืองไทยเท่านั้น ทางตะวันตกก็มีเช่นกัน ด้วยการที่เหล่าดาราออกมาร้องเพลงผ่านโซเชียล หวังจะปลอบใจคน แต่พอเจอบ้านดาราหรูหรานอนสบายกัน แทนที่คนจะสบายใจขึ้น ก็เดือดแทน
แน่นอนว่า ที่ญี่ปุ่นก็เช่นกันครับ แม้ในวงการบันเทิงจะมีเรื่องเศร้าตั้งแต่ เคน ชิมุระ (Ken Shimura) ดารารุ่นใหญ่ที่เราคุ้นเคยกันดีเสียชีวิตไปเพราะ COVID-19 ก็ยังมีดาราหญิงรุ่นใหญ่อีกท่านที่เสียชีวิตไปโดยกะทันหันจากการติดเชื้อไวรัสนี้ กลายเป็นความเศร้าของวงการบันเทิงญี่ปุ่น แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีคนบันเทิงที่ออกมาพูดหรือทำอะไรไม่เข้าท่าในเวลาแบบนี้ กลายเป็นเรื่องเดือดดาลในสังคมญี่ปุ่นเช่นกัน
คนแรกที่เป็นหัวหอกของเราในวันนี้คือ ฮิโตชิ มัตซึโมโต้ (Hitoshi Matsumoto) ดาวตลกรุ่นใหญ่ของวงการ หนึ่งในสองของดูโอ Downtown ที่บ้านเราน่าจะคุ้นเคยกับรายการตอนพิเศษ ห้ามหัวเราะ 24 ชั่วโมง ที่ผมก็เคยเขียนถึงเรื่องการเล่นมุกตลก Blackface ไม่เข้าท่าไป รอบนั้นคือคู่หู ฮามาดะ แต่รอบนี้ ตัวฮิโตชิที่มีผลงานอื่นนอกจากตลกมากมาย ทั้งเขียนหนังสือ กำกับภาพยนตร์ รวมไปถึงร่วมรายการเล่าข่าวสไตล์ญี่ปุ่นอีกด้วย
และก็เป็นรายการเล่าข่าวนี่ล่ะครับที่เป็นที่มาของดราม่าครั้งนี้ เนื่องจากเมื่อตอนที่รัฐบาลญี่ปุ่นมีแนวทางช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการทำงานไมได้เป็นครัวเรือนละ 300,000 เยน แน่นอนว่าใครที่ดำเนินธุรกิจไม่ได้หรือถูกพักงานทำให้รายได้ลดลง ก็สามารถยื่นขอเงินส่วนนี้ได้ และในรายการก็มีการพูดกันถึงธุรกิจกลางคืนว่าจะอยู่ในข่ายที่ควรได้รับเงินช่วยเหลือหรือไม่ รายการข่าวก็ต้องรายงานและถามความเห็นคนในรายการ ซึ่งพอถึงคิวฮิโตชิก็ออกความเห็นว่า
“อืม พวกสาวๆ ทำงานกลางคืนแบบเด็กนั่งดริงค์เนี่ย ไม่ต้องทำงาน แล้วจะเอาเงินภาษีพวกเราไปจ่ายแทนเงินเดือนเหรอ…เอ่อ ผมไม่อยากจ่ายนะ”
แน่นอนว่า คนดังและมีอิทธิพลในวงการขนาดนี้ พูดอะไรแบบนี้ออกมา ก็ต้องมีผลกระทบตามมาแน่นอน ซึ่งพอได้ฟังอย่างนั้นเหล่าสาวนั่งดริงค์รวมไปถึงเจ้าของสถานประกอบการก็เดือดกันทันที แน่นอนว่า งานสาวนั่งดริงค์ รวมไปถึงกิจการแนวใกล้เคียงกันเช่นสแนคบาร์หลายแห่งก็ได้รับผลกระทบเพราะลูกค้าไม่กล้ามาเที่ยวเพราะความเสี่ยงสูง (พื้นที่แคบ นั่งใกล้กัน อากาศไมได้ถ่ายเทดีเท่าไหร่) ทำให้หลายที่ก็ต้องพักกิจการกันไป
ซึ่งในแง่ของการได้รับความลำบากแล้ว
ก็เหมือนกับกิจการอื่นๆ นั่นล่ะครับ
การออกมาพูดแบบนี้ทำให้คนรู้สึกว่า เลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน บางคนก็แสดงความเห็นว่า ปกติเวลาไม่มีอะไรก็ไปเที่ยวสถานบันเทิงเหล่านี้แท้ๆ แต่พอมาเวลาแบบนี้กลับพูดเหมือนไม่สนใจอะไร ทั้งๆ ที่เขาก็ลำบากเหมือนกัน บางคนก็บอกว่า ฮิโตชิอาจจะคิดว่าเหล่าสาวนั่งดริงค์ได้เงินกันเยอะ แต่ในความเป็นจริง ส่วนใหญ่แล้วก็ได้เงินพอเลี้ยงตัว ไม่ใช่ไปมองแต่ตัวท็อปเงินเป็นฟ่อน
เหล่าตัวแทนของคนทำธุรกิจบันเทิงยามราตรีก็ออกมาบอกว่าจะล่ารายชื่อแสดงพลังกันด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนมองว่า ก็เห็นด้วย ถ้าเกิดสถานที่เที่ยวเหล่านี้ไม่ได้จ่ายภาษีถูกต้องก็ไม่ควรได้รับการช่วยเหลือ แต่ในทางกลับกัน เหล่าเจ้าของสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้เขาก็บอกชัดเจนว่าจดทะเบียนถูกกฎหมาย ส่งงบการเงินเสียภาษีทุกปี เวลาแบบนี้จะรับความช่วยเหลือจากรัฐไม่ได้เหรอ
แต่กระแสตรงนี้ก็ซาลงไปเมื่อรัฐบาลเปลี่ยนแนวทางเป็นจ่ายให้ทุกคน 100,000 เยน แทนเฉพาะคนที่ลำบาก ส่วนฮิโตชิเองก็บริจาคเงินเข้าการกุศลเช่นกัน ทำให้เรื่องซาๆ ไป แต่ว่าต่อไปฮิโตชิอาจจะไปเที่ยวกลางคืนลำบากหน่อยล่ะครับ
ถ้าอันที่แล้วจัดว่าแกว่งปากหาเสี้ยนแล้ว ก็ยังถือว่าเบาเมื่อเทียบกับรายต่อมา เพราะอันก่อนคือหาเรื่องกับวงการสถานบันเทิงยามราตรี แต่อันต่อมานี่คือวงกว้างมากกว่าครับ ซึ่งเจ้าของคำพูดคือ ทาคาชิ โอคามุระ (Takashi Okamura) จากดูโอตลก Ninety Nine สังกัดโยชิโมโต้เหมือนกับ Downtown นั่นล่ะครับ Ninety Nine ก็ถือเป็นตลกที่อยู่ในวงการมานานเหมือนกัน เป็นรุ่นที่ดังถัดมาจาก Downtown และมีรายการทีวีมากมายถือเป็นพี่ใหญ่ของวงการตลกอีกคน
แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นเมื่อทาคาชิจัดรายการวิทยุประจำ ช่วงปลายเดือนเมษายน แล้วไม่รู้คิดอะไร พอคุยกันเรื่อง COVID-19 แล้วก็บอกว่า
“หลังจากจัดการการระบาดของ COVID-19 ได้ ก็มีเรื่องสนุกอยู่แน่นอน” “คนสวยๆ ก็จะมาทำงานหมอนวด” “ช่วงสามเดือน (หลังจากจัดการการระบาดได้) จะมีสาวน่ารักๆ มาทำงานแบบนั้นกันเยอะแน่นอน” “ผมเชื่อมั่นในสามเดือนนั้น ตอนนี้จึงพยายามตั้งใจทำงาน” (แปลแบบให้ใกล้เคียง)
พูดง่ายๆ ก็คือ ตอนนี้ทนไปก่อน รอช่วงจัดการกับไวรัสได้แล้วก็จะมีสาวๆ ที่เดือดร้อนเงินหันมาทำงานให้บริการทางเพศกันเยอะ จากที่ไม่เคยสนใจมาก่อน ทำให้ตอนนี้ตั้งใจทำงานอดเปรี้ยวไว้กินหวาน กะเที่ยวตอนนั้นให้เต็มที่ เอาเรื่องนี้มาเป็นแรงจูงใจในการทำงาน
เรียกได้ว่าเรียกตีนรอบวงอย่างแท้จริง
ปัญหาตรงนี้คือ สิ่งที่พูดออกมานอกจากจะแสดงทัศนคติที่เรียกได้ว่า แย่ อย่างเต็มปากแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความไม่รู้ร้อนรู้หนาวถึงความลำบากของคนอื่น แถมยังจะหาประโยชน์จากตรงนั้นอีก ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เป็นตลกดังไม่ได้ลำบากอะไร
เรียกได้ว่าพอออกมาแบบนี้ก็ไม่เหลือ คนรุมด่ากันอย่างเต็มที่แบบสามัคคี เพราะสิ่งที่พูดออกมามันฟังดูน่าเกลียดจริงๆ แถมไม่ใช่แค่เรื่องการเหยียดผู้หญิงอย่างเดียว แต่เป็นการที่ไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวว่า สภาพสังคมแบบไหนที่ทำให้เด็กผู้หญิงที่ลำบากต้องออกมาหาเงินด้วยการขายบริการทางเพศ โดยมีเหล่าลุงๆ ทั้งหลายยิ้มรออยู่ ทำให้ทาคาชิรีบถอยกรูดๆ ออกมาแถลงขอโทษผ่านทางต้นสังกัด แต่ก็ยังโดนถล่มอย่างต่อเนื่อง
มีเสียงเรียกร้องให้ถอดเขาออกจากรายการทีวีทั้งหลาย โดยเฉพาะรายการให้ความรู้ทางช่อง NHK ที่เขาเป็นผู้ดำเนินรายการหลัก ซึ่งโดยมากแล้ว NHK ก็มักจะพยายามเลี่ยงทำงานกับคนที่มีภาพลักษณ์ไม่ดีอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเท่าไหร่ เพราะว่ารายการส่วนใหญ่ก็ต้องอาศัยเทปเก่าๆ ไปก่อนเพราะถ่ายทำไม่ได้ ก็ไม่แน่ใจว่าจะได้รับผลกระทบแค่ไหน แต่แน่นอนว่า ภาพลักษณ์ของทาคาชิในสายตาผู้คนก็ไม่เหมือนเดิมล่ะครับ
ส่วนคนสุดท้ายที่อยากจะพูดถึงคือ จุนอิจิ อิชิดะ (Junichi Ichida) ดารารุ่นใหญ่ สายเพลย์บอยเจ้าสำราญ ที่เจ้าตัวไม่ได้ออกมาพูดอะไรเสียหายหรอกครับ แต่เป็นการกระทำที่เป็นปัญหา
ที่ว่าเป็นปัญหาคือ หลังจากรัฐบาลประกาศขอความร่วมมือไม่ให้ออกจากสถานที่พัก รวมไปถึงงดการเดินทางที่ไม่จำเป็น แต่จุนอิจิกลับหนีเที่ยว ไปเที่ยวโอกินาว่าอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร ซึ่งตอนไปก็ไปเงียบๆ ไม่ได้มีใครรู้อะไร แต่ดันไปอาการไม่ดีตอนไปเที่ยว แล้วพอกลับโตเกียวมาก็ไปโรงพยาบาล พบว่าเป็น COVID-19 เลยต้องเข้ารับการรักษา สื่อก็รายงานเป็นข่าวใหญ่ แต่พอเผยเส้นทางว่าไปไหนมาบ้าง คนก็เดือดล่ะครับ
ก็ไม่แปลกอะไร เพราะไปแบบเงียบๆ แล้วดันติดโรคมา โดยไม่ได้สนคำขอร้องของรัฐบาลเลย แถมยังเป็นโอกินาว่า ที่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ขอความร่วมมือไม่ให้คนมาเที่ยว หรือหนีไวรัสมา เพราะตัวเมืองเองก็มีผู้สูงอายุอยู่เยอะ เกิดมีการระบาดมา ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ชาวโอกินาว่าถือว่าเป็นสมบัติของชาวเมืองก็เสี่ยงกว่าคนอื่น แต่กลับกลายเป็นว่ามีดาราดังแอบมาเที่ยวแถมยังออกอาการที่นี่ด้วย มหาชนก็เดือดกันกับความไม่สนถึงความลำบากของคนอื่น เห็นบางคนบอกว่า ถ้าเป็นอะไรไป ก็คงไม่เสียใจด้วย เพราะทำตัวเองแถมยังจะทำให้คนอื่นลำบาก แต่ก็ยังดีหน่อย (รึเปล่า) ที่สุดท้ายแล้ว จุนอิจิก็หายดี เพิ่งออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันก่อน แต่ว่าหลังจากนี้คงจะไม่กล้าซ่าและทำท่าทางแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวแบบที่ผ่านมา
ก็เรียกได้ว่าวงการบันเทิงญี่ปุ่นก็มีดราม่าจากเรื่องนี้เยอะเหมือนกัน แต่มองมุมหนึ่งก็ดีเหมือนกันที่ไม่ใช่แบบแต่ก่อนที่อยากจะพูดอะไรก็พูดไป นี่พอพูดอะไรไม่เข้าท่า ก็มีเสียงตอบกลับจากประชาชนเหมือนกัน อย่างน้อยก็ได้สะท้อนกลับได้บ้างว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่ถูกที่ควรนะครับ