ตอนที่เขียนอยู่นี่ ก็รู้สึกว่าสถานการณ์ COVID-19 ที่เมืองไทยก็ดูจะน่าจะเป็นห่วงขึ้นเรื่อย เพราะดูเหมือนจะมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งจากกรณีที่ไปดูมวยในรอบเดียวกันนี่ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีติดต่อกันไปได้อีกแค่ไหนนะครับ แต่สุดท้ายแล้วของไทยเราก็ยังไม่ได้เข้าเฟสสามเหมือนหนังมาร์เวล เพราะเขาก็แถลงแล้วว่า ‘ประเทศไทยมีมาตรฐานของไทย’ เรายังไม่เฟสสาม ถามให้พูดแบบภาษาวีรศักดิ์ นิลกลัดพากย์บอล ก็ต้องบอกว่า ตอนนี้เป็นเฟสสองแก่ๆ แต่ยังไม่ถึงสาม ก็สงสัยเหมือนกันว่า จะเฟสสามเมื่อไหร่ แต่นั่นก็เป็นเรื่องของเมืองไทย ผมคงไม่ขอพูดถึงมาก เพราะพื้นที่นี้เราจะเน้นพูดเรื่องญี่ปุ่นกันเป็นหลัก
ซึ่งในญี่ปุ่น เอาเข้าจริงๆ ก็ดูจะเริ่มอยู่ตัว กราฟเริ่มค่อยๆ นิ่งแล้ว ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะการจัดการแบบกึ่งตื่นตัวและกึ่งตื่นตูม (อย่างเช่นปิดโรงเรียนโดยไม่ทันคิดถึงผลกระทบในแง่อื่น) แต่ก็จัดว่าช่วยได้ไม่เบา เพราะผลก็เห็นๆ กันนี่ล่ะครับว่า ทำให้ญี่ปุ่นไม่ได้ร้ายแรงขนาดต้องจัดการคุมพื้นที่กันอย่างหนัก (ยกเว้นในพื้นที่ความเสี่ยงสูง)
คนใช้ชีวิตไม่ต่างจากปกติเท่าไหร่ แค่ลดการเดินทาง ท่องเที่ยว หรือไปไหนโดยไม่จำเป็น บริษัทที่มีศักยภาพพอก็ให้พนักงานทำงานจากบ้านเพื่อความปลอดภัย ส่วนของซื้อของขาย ก็มีที่กระดาษชำระหมดแผงไปช่วงนึงเพราะคนปล่อยข่าวว่า ใช้วัตถุดิบชนิดเดียวกับหน้ากากอนามัย รับรองหมดแน่นอน ทำให้คนแห่ไปซื้อกันจนหมด แต่ช่วงนี้ก็เริ่มดีขึ้น บางห้างก็มีตลอด แต่ในย่านย่อยๆ แถวบ้านหมดก็จะหมดเร็วหน่อยแต่ก็มี คือของเขามีล่ะ แต่ส่งไม่ทันกัน
นั่นก็คือผลกระทบในแง่ส่วนบุคคล แต่ที่อยากจะชวนคุยในวันนี้ ก็คือผลกระทบในส่วนของวงการกีฬานั่นเองครับ
ตัวผมเอง ด้วยงานหลักที่ทำในตอนนี้คือทำสื่อกีฬาจักรยานที่ญี่ปุ่น ไวรัส COVID-19 ก็ส่งผลกระทบวงการที่นี่แน่นอน เพราะต่อให้เป็นกีฬาที่แข่งกันโดยไม่ได้มีคนดูในสนาม มีแต่คนรอดูข้างทาง สุดท้ายแล้วเนื่องจากความเสี่ยงของตัวนักกีฬาที่ต้องเดินทางกันเป็นหมู่มากเสมอ และมีทีมงานรวมไปถึงนักกีฬาที่ติด COVID-19 จากการแข่งที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทำให้สุดท้ายแล้ว
สมาคมจักรยานนานาชาติก็ออกประกาศงดการแข่งจักรยานอาชีพทั่วโลก
ทุกประเภท ทุกระดับ จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
ที่ญี่ปุ่นก็ทำให้ต้องงด Tour of Tochigi หนึ่งในงานสำคัญของญี่ปุ่น ซึ่งจริงๆ พวกผมต้องไปติดตามรายงานการแข่งด้วย แต่ก็ช่วยไม่ได้ครับ เพราะระดับโลกเขาสั่งมาแล้ว จะดื้อแข่งต่อก็ไม่ได้ ส่วนรายการใหญ่ของปี Tour of Japan ในเดือนพฤษภาคม ก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ช่วงนี้นักกีฬานานาชาติก็ต้องซ้อมอยู่บ้านถ้าประเทศตัวเองใช้มาตรการกักตัว ที่ดีหน่อยก็ค่อยได้ออกไปปั่นกันนอกบ้านบ้าง
ส่วนกีฬาอื่นๆ ที่ญี่ปุ่นก็ได้ผลกระทบกันรัวๆ ครับ ตั้งแต่กีฬาดังอย่างฟุตบอล ที่เตะได้แค่เกมเดียว ก็ต้องเลื่อนตารางการแข่งขันอย่างไม่มีกำหนด ซึ่งก็ยังไม่เห็นวี่แววจะกลับมาได้ และล่าสุดก็เพิ่งประกาศว่า ฤดูกาลนี้จะไม่มีการปรับตกชั้น ก็ต้องมาดูต่อกันไปว่าจะทำอย่างไร
ส่วนกีฬาชนิดอื่น ก็แข่งกันในสนามปิด ไม่มีคนดู อาศัยถ่ายทอดสดเอาแทน ซึ่งก็น่าหนักใจทางทีม หรือผู้จัดแข่ง เพราะจัดว่ารายได้หายไปเยอะเหมือนกัน แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่มีรายได้จากการถ่ายทอดสด ตอนนี้ที่เห็นๆ ก็มีการแข่งซูโม่กับการเบสบอลอาชีพ ตรงนี้ก็คล้ายกับวงการบันเทิงที่ต้องยกเลิกคอนเสิร์ตกัน เพราะมีคนที่ไปดูคอนเสิร์ตแล้วติด COVID-19 กลับมาด้วย ทำให้หลายต่อหลายวงก็เซอร์วิสแฟนเพลงด้วยการจัดไลฟ์สดสตรีมมิ่งผ่านทางแพลตฟอร์มต่างๆ บางวงก็ไม่ได้จัดแต่เปิดให้ดูบันทึกการแสดงสดของวงฟรีๆ
ช่วงเวลาแบบนี้ก็ต้องช่วยๆ กันไป
ส่วนเบสบอลสมัครเล่นปีนี้ โคชิเอ็งฤดูใบไม้ผลิก็ยกเลิกไปแล้ว น่าเสียดายสำหรับเด็กหนุ่มทั้งหลาย ได้แต่หวังว่า โคชิเอ็งฤดูร้อน (ที่โด่งดังกว่า) จะไม่ได้รับผลกระทบนะ แต่ก็มีเรื่องน่ารักเมื่อ มีอดีตผู้ประกาศหญิงลึกลับทวิตบอกว่า สำหรับนักเบสบอลทั้งหลายที่ไม่มีโอกาสได้ลงสนาม ให้ส่ง Direct Message บอกชื่อ (ชื่อสมมติก็ได้) ตำแหน่ง ชั้นปี แล้วเค้าจะอัดเสียงตอนประกาศตำแหน่ง ให้เหมือนเวลาลงสนามจริงๆ อย่างน้อยก็ปลอบใจกันได้เล็กๆ
ส่วนที่ผมเองว่าจะไปดูแต่ยังไม่มีโอกาส ก็คือ B-League หรือลีกบาสเกตบอลอาชีพของญี่ปุ่น ซึ่งมีทีมเล่นที่สนามไม่ไกลบ้านเท่าไหร่ ว่าจะพาลูกชายไปซึมซับบรรยากาศในสนาม ก็ใช้แนวทางในการแข่งโดยไม่มีคนดู แต่ไปๆ มาๆ มีเกมที่นักกีฬาเตรียมลงสนามพร้อมแล้ว แต่เจ้าหน้าที่มีอาการตัวร้อน สุดท้ายก็ต้องยกเลิกไป ก็ชวนเหนื่อยกันจริงๆ ครับ
แต่เป็นที่เข้าใจได้เพราะการดูกีฬาคือกิจกรรมที่เพิ่มความเสี่ยงได้มาก ด้วยเป็นพื้นที่ปิดแล้วยังมีคนจำนวนมาก ทั่วโลกคงต้องใช้แนวทางนี้ไปก่อน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นลีกฟุตบอล หรือลีกบาสดังอย่าง NBA (ที่มีผู้เล่นติดด้วย) ก็ต้องพักไปก่อนโดยไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไร เพราะว่านี่เป็นภัยที่เรายังดูไม่ออกเลยว่าจะจบตอนไหน มีผลกระทบแค่ไหน ลามแค่ไหน คุมได้รึเปล่า ไม่มีใครอ่านออกจริงๆ ครับ ตอนนี้ก็ได้แค่ ‘พักไปก่อน’ จริงๆ
แต่ในขณะที่ทั่วโลกอยู่ในกระแส ‘พักไปก่อน’ ที่กระทั่งทัวร์นาเมนต์สำคัญของปีนี้อย่าง Euro 2020 และ Copa America ทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลระดับทวีป ก็ยังตัดสินใจเลื่อนไปแข่งปีหน้าแทน
แต่มีมหกรรมกีฬาของชาวโลกหนึ่งที่ยังไม่มีการเคลื่อนไหว
โตเกียวโอลิมปิก ไงล่ะครับ
ทุกวันนี้ คนที่ตามข่าวแวดวงกีฬาอย่างผมก็ยังงงว่า ตกลงจะเอาอย่างไรกันแน่ ขนาดชาวญี่ปุ่นกันเองเกือบ 70% เขายังไม่คิดว่าทางประเทศตัวเองจะสามารถจัดโอลิมปิกตามกำหนดได้เลยครับ ซึ่งก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะสถานการณ์โรคระบาดเป็นแบบนี้แล้ว ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ยิ่งถ้าจะจัดในเดือนกรกฎาคมตามกำหนดเดิมให้ได้นี่ยิ่งคิดไม่ออกเลยล่ะครับ
ซึ่งแม้ความเห็นมหาชนจะเป็นอย่างนั้น แต่ดูเหมือนทางการจะไม่นำพา นายกรัฐมนตรีชินโซะ อาเบะ (Abe Shinzō) ยังคงออกมายืนยันว่า โตเกียวโอลิมปิกจะต้องเดินหน้าไปตามแผนการที่ตั้งไว้ ซึ่งพอเข้าใจได้ว่า มันสำคัญต่อประเทศญี่ปุ่นอย่างไร ก็ดูการลงทุนต่างๆ ของเขาสิครับ ญี่ปุ่นหวังเป็นอย่างมากว่า โอลิมปิกจะเป็นการจุดประกายเครื่องยนต์เศรษฐกิจของญี่ปุ่นให้เดินหน้าอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ไม่ต้องพูดถึงการยกเลิกหรอก แค่ ‘เลื่อน’ ก็ส่งผลกระทบเยอะแล้ว เพราะมันสานต่อกันหลายด้าน ไม่ว่าจะการท่องเที่ยว หรือเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบกันเป็นทอดๆ หมด แค่ตอนนี้ ภาคการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นก็เรียกได้ว่าจะตายกันหมดแล้วครับ ปีนี้ทรุดอย่างรุนแรงจริงๆ
แต่สำหรับอาเบะแล้ว
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ หรืออะไรเท่านั้น
แต่เกี่ยวกับตัวเขาตรงๆ
เพราะในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ครองตำแหน่งนานที่สุดของญี่ปุ่นแล้ว เขาก็คงหวังที่จะปิดฉากตำแหน่งของตัวเองอย่างสวยๆ กับโอลิมปิกในครั้งนี้ เพราะต้องไม่ลืมว่า ในช่วงหลังอาเบะเองก็โดนโจมตีแผลเหวอะไม่น้อย โดยเฉพาะกับคดีโรงเรียนโมริโตโมะ ที่ก็ยังไม่เคลียร์ซะที แต่เขาก็ยังอาศัยเครือข่ายที่แน่นหนาของพรรค LDP ครองตำแหน่งต่อไปได้ การออกมายืนยันว่า “จะจัดโอลิมปิกตามกำหนดการณ์เดิม” เพื่อเป็นการแสดงว่า ‘มนุษยชาติ’ สามารถเอาชนะโรคภัยรายได้ ก็ฟังดูเลื่อนลอยและไม่มีน้ำหนักเอาซะเลย เพราะเขาเองก็ควรจะคิดว่า เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องของญี่ปุ่นเท่านั้น
ก่อนอื่นก็ต้องมองก่อนเลยว่า แม้ญี่ปุ่นจะปลอดจากไวรัส COVID-19 ได้สำเร็จ แล้วผลกระทบที่ประเทศอื่นได้รับ จะฟื้นฟูทันไหม เวลาแบบนี้การแข่งกีฬาก็เป็นสิ่งที่สำคัญอันดับรองจากการรักษาชีวิตของประชาชนแน่นอนครับ ใครมันจะมีอารมณ์มาแข่งกีฬาโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะปลอดภัยแค่ไหน เอาแค่การเดินทางนี่ก็มีเพิ่มความเสี่ยงต่อการระบาดแล้ว
อีกทั้งยังส่งผลให้เกิดความไม่ยุติธรรมต่อนักกีฬานะครับ เอาแค่นักกีฬาประเทศที่ต้องกักตัวเองในบ้านตอนนี้ กับนักกีฬาในประเทศที่ไม่ได้รับผลกระทบ แค่นี้ก็ต่างกันแล้ว เขาไม่ใช่แค่ซ้อมวันสองวันก่อนแข่ง พวกนี้เขาต้องซ้อมเป็นปี แล้วแบบนี้จะยุติธรรมเหรอ (นายกฯไม่ใช่นักกีฬาอาจจะคิดไม่ได้) เอาแค่วงการจักรยานนี่ ของแบบนี้เขาต้องวางแผนกันเป็นปีว่าจะแข่งงานไหน รักษาฟอร์มอย่างไร เพื่อให้ไปพีคตรงอีเวนต์สำคัญที่ตัวเองอยากได้แชมป์ให้ได้ นักกีฬายังออกมาบ่นว่า ไม่ว่าจะซ้อมอย่างไร ตั้งเป้าอย่างไร เพราะทุกอย่างดูไม่แน่นอนไปหมด
แล้วแบบนี้ในฐานะนักกีฬาเขาจะยอมรับได้เหรอ
ถ้าเกิดไม่สามารถเค้นฟอร์มที่ดีที่สุดออกมาได้ตามกำหนดการณ์
รวมถึงเรื่องการคัดเลือกตัวนักกีฬา ในสถานการณ์ที่การแข่งขันกีฬาทั้งหลายไม่แน่นอนแบบนี้ แล้วทีมชาติจะคัดเลือกตัวกันอย่างไร ดูตัวอย่างง่ายๆ ก็ขอยกวงการจักรยานญี่ปุ่นนี่ล่ะครับ ที่ในการแข่งโอลิมปิก เขาจะมีระบบการให้คะแนนนักแข่งจากผลงานการลงสนามแข่งขันในปีโอลิมปิก ซึ่งจะมีค่าสัมประสิทธิ์ให้ตามระดับความยากของการแข่ง แล้วก็จะคัดเลือกนักกีฬาที่มีคะแนนสูงสุดมาลงแข่งในนามทีมชาติ ซึ่งการแข่งที่ว่าก็ต้องเป็นการแข่งที่ได้รับการรับรองโดยสมาคมจักรยานนานาชาติ ซึ่งก็อย่างที่ผมบอกไปว่า ตอนนี้ถูกระงับการแข่งหมด แล้วจะคิดคะแนนอย่างไร ตัดจบแค่นี้ หรือว่าจะรอให้มีการแข่งอีก ซึ่งก็งงว่าจะมาเมื่อไหร่ เพราะเขาตัดคะแนนที่สิ้นเดือนพฤษภาคม นี่คือระบบของประเทศเจ้าภาพเองนะครับ ยังได้รับผลกระทบแบบนี้ แล้วกีฬาอื่นๆ ล่ะครับ จะขนาดไหน
ยังไม่นับว่ามีเสียงวิจารณ์จากสมาชิกของคณะกรรมการโอลิมปิกสากลว่าคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้คนน้อยเกินไป แล้วถ้าเกิดต้องจัดแข่งจริงๆ แต่ไม่มีคนดู มันจะสมเกียรติของโอลิมปิกจริงเหรอ อ้อ แต่เรื่องหนึ่งที่ไม่ต้องห่วงคือ ยอดรายรับจากค่าตั๋วเข้าชม เพราะพอมีการตรวจสอบแล้ว ในเงื่อนไขของการซื้อตั๋วโอลิมปิกคือ “ไม่มีการคืนเงินให้” ดังนั้น รายรับตรงนี้เข้าบัญชีไปแบบไม่ย้อนคืนมาล่ะครับ (อ่า…)
ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวว่าจะเอาอย่างไรกับการแข่งขันโอลิมปิก ผมก็เข้าใจได้นะครับว่าเพราะลงทุนไปเยอะมาก และหวังไว้สูง ก็อยากจะจัดแข่งจริงๆ แต่ถ้าอาเบะมัวแต่ห่วงเรื่องหน้าและผลงานของตัวเองหลังลงจากตำแหน่ง ก็ควรจะคิดด้วยว่า ถ้าเกิดจะจัดแข่งโดยที่ไม่มีคนดู หรือจัดออกมาแล้วเละเทะมีปัญหา นั่นน่าจะเป็นตราบาปต่อตัวอาเบะเอง มากกว่าการได้รับการยอมรับกว่ากล้าพอที่จะเลื่อนเพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย ก็แล้วแต่ว่าจะเลือกอะไรนั่นล่ะครับ
อ้างอิงข้อมูลจาก