“พอได้ข่าวว่าลูกถูกฆ่าตาย ฉันรู้เลยว่า ฆาตกรคือจอห์น”
1.
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นที่โต๊ะทำงานของนักสืบโรงพักซิมป์สันวิลล์ (Simpsonville) รัฐเซาท์แคโรไลนา สหรัฐอเมริกา ในเวลาหลังเที่ยงคืน ของวันที่ 25 ตุลาคม ปี 2016
“เราพบศพเธอแล้ว”
เจ้าหน้าที่หยุดการทำงาน เป็นสายตรวจที่แจ้งข่าวร้ายขึ้นมา
“ที่ไหน”
“บ้านร้างครับ เพื่อนของเธอเป็นคนไปตรวจสอบ แล้วโทร.แจ้งไปยังสถานี”
นักสืบเดินทางไปที่จุดเกิดเหตุทันที พวกเขาพบหีบทำจากปูนวางไว้ในบ้านร้าง ภายในพบร่างไร้ลมหายใจของหญิงสาว ซึ่งอายุเพียง 22 ปีนอนนิ่ง ผิวซีดเผือด
“มันเหมือนภาพในหนังสยองขวัญเลย” ตำรวจที่อยู่ในจุดเกิดเหตุบอกกับนักข่าวในเวลาต่อมา
เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเก็บข้อมูล แพทย์เข้าตรวจสอบ ก่อนแจ้งว่าสาเหตุการเสียชีวิตคือ ถูกของมีคมแทงเข้าที่คอ เป็นการก่อเหตุอย่างเหี้ยมโหด คนร้ายกระหน่ำแบบสุดสะพรึง ใบมีดบางส่วนหัก และฝังอยู่ในตัวของศพด้วย
หน้าที่สุดหินลำดับต่อมาของนักสืบก็คือ เขาต้องเดินทางไปแจ้งข่าวร้ายนี้แก่ครอบครัวของหญิงสาว เธอไม่ใช่คนเร่ร่อน เธอมีแม่ มีคนรัก มีเพื่อนฝูง แต่บัดนี้เจ้าตัวจากโลกไปแล้ว
เสียงเคาะประตูดังขึ้น แพตตี้ พีเวอร์ (Patti Piver) แม่ของผู้เสียชีวิตเปิดประตู พอรู้ว่าคนที่มาคือนักสืบ เพียงแค่เห็นตราผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
เธอก็ใจสลาย
“เราพบร่าง เคธี่ บลาวเวลท์ (Cati Blauvelt) แล้วครับ”
ลูกสาววัยแค่ยี่สิบต้นๆ บัดนี้ตายแล้ว ภาพความทรงจำมากมายผุดขึ้นในใจของแพตตี้
“ลูกเป็นคนตัวเล็กนิดเดียว รักสัตว์ รักเพื่อน และรักอิสระ”
หญิงชราหยุดห้วงความคิดไว้เพียงเท่านี้ ก่อนจะพูดกับนักสืบว่า
“ฉันรู้ว่าใครฆ่า”
ตำรวจฟังเบาะแส ก่อนเดินทางไปที่บ้านของทหารผ่านศึก วีรบุรุษของเมืองนี้ ชายชาตินักรบ นามว่า จอห์น บลาวเวลท์ (John Blauvelt) อายุ 26 ปี สามีของผู้เสียชีวิต
นักสืบเคาะประตู จอห์นปรากฏตัวออกมา รูปร่างกำยำ กล้ามเนื้อแน่น ดูก็รู้ว่าเป็นทหาร
“ภรรยาคุณเสียชีวิตแล้ว”
ชายหนุ่มแสร้งทำหน้าวิตกกังวล
“เราเสียใจต่อการสูญเสียด้วยนะครับ”
เมื่อตำรวจกล่าวจบ เรื่องไม่ชอบมาพากลก็เริ่มขึ้นในทันที
จอห์นไม่มีอาการตกใจแม้แต่นิด เขาไม่แม้แต่จะถามรายละเอียดการเสียชีวิตครั้งนี้ ไม่พูดอะไรต่อ ไม่สงสัยกระทั่งว่า ศพของเคธี่อยู่ตรงไหน ตายอย่างไร
ราวกับรู้ทุกอย่างอยู่ก่อนแล้ว
กินเวลาสักพัก ทหารหนุ่มจึงถามขึ้นมาว่า
“ผมกำลังจะถูกแจ้งข้อหาหรือเปล่าครับ”
“ไม่ครับ…คุณยังไม่ถูกแจ้งข้อหา..
ในตอนนี้
นักสืบกลับขึ้นรถ คู่หูที่มาด้วยกันกระซิบเมื่ออยู่กันสองต่อสองว่า
“ไอ้นี่ฆ่าเคธี่อย่างแน่นอน”
2.
จอห์น บลาวเวลท์ เป็นทหารบก เคยไปรบที่อิรัก เมื่อกลับมาที่เมืองซิมป์สันวิลล์ ที่มีประชากรแค่ 2 หมื่นราย เขาจึงเป็นเหมือนดาราดัง และได้รับการต้อนรับเยี่ยงวีรบุรุษ เจ้าตัวได้งานเป็นเจ้าหน้าที่รับสมัครทหาร ซึ่งมีความสำคัญมาก ในประเทศที่ไม่มีการเกณฑ์นักรบ
ช่วงพักที่สำนักงาน จอห์นจะไปกินอาหารที่ร้านข้างๆ และได้พบกับบริกรสาวนามว่า เคธี่ ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์
“พวกเขาเริ่มเดต และจากนั้นก็ตกลงคบหากันแบบน่ารัก”
ไม่กี่เดือนต่อมา เคธี่ก็แต่งงานกับจอห์น ไปฮันนีมูน แล้วย้ายมาอยู่บ้านเดียวกับวีรบุรุษของเมืองนี้ ท่ามกลางความประทับใจของมิตรสหาย สาวสวยพบรักกับทหารมาดเท่
อะไรจะลงตัวขนาดนี้
แต่แล้วไม่กี่เดือนต่อมา ความสัมพันธ์ที่เหมือนจะงดงาม ก็ดิ่งเหวสู่หายนะ
เคธี่พบว่า บ้านของจอห์นนั้น เป็นสถานที่สุดประหลาด เขาชอบชวนเด็กวัยรุ่น อายุไม่ถึง 20 ปีมาอยู่ด้วย ส่งเสียงดัง แถมยังสูบกัญชา ที่เธอไม่ชอบเลยก็คือจอห์นพาเด็กหญิงวัยแค่ 17 ปีชื่อว่า ฮันนาห์ ทอมป์สัน (Hannah Thompson) มาอยู่ด้วย แถมทั้งสองดูเหมือนจะแอบคบหากันอีก
ต่อมาพ่อของฮันนาห์จะแจ้งตำรวจ ให้มาที่บ้านจอห์น เพื่อนำตัวลูกสาววัย 17 ปีกลับบ้าน ทีแรกวีรบุรุษของเมือง ไม่ยอมเปิดประตูออกมา เจ้าหน้าที่ต้องตะโกนเสียงเข้ม ประตูจึงเปิดออก
“ตอนนั้นพวกเราก็หวั่นใจ เพราะเขาเป็นนักรบ มีประสบการณ์ใช้อาวุธ ถ้ามีปืน แล้วสู้ล่ะ”
ความหวั่นใจของสายตรวจคลี่คลายลง เพราะจอห์นเดินออกมาพร้อมคุกเข่า หมอบไปกับพื้น ให้ตำรวจใส่กุญแจมือ นำตัวไปโรงพัก แจ้งข้อหายุยงให้เด็กทำผิดกฎหมาย ก่อนถ่ายภาพนิ่ง ทำประวัติ แล้วดำเนินคดี
ระหว่างนั้น นักสืบสอบปากคำเคธี่ ก่อนจะพบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสามี เลวร้ายลงมาก ก่อนถูกจับ เขาเคยเอาปืนจ่อใส่เธอ ขู่ฆ่าหญิงสาวและครอบครัว
หลักฐานตรงนี้ ถูกส่งให้ศาลมีคำสั่งห้ามให้จอห์นเข้าใกล้เคธี่ ระหว่างที่ดำเนินการฟ้องหย่า หลักจากนั้นกองทัพมีคำสั่งปลดจอห์นออกจากเจ้าหน้าที่รับสมัครทหาร โยกให้ไปรับผิดชอบหน้าที่ไม่สำคัญ เพื่อพิจารณาว่าจะปลดออกหรือไม่
สิ่งนี้สร้างความไม่พอใจให้กับจอห์นอย่างมาก ก่อนหน้านี้คนทั้งเมือง มองว่าเขาเท่ เป็นทหารผ่านศึก หล่อเหลา น่าหลงใหล แต่เมื่อได้รับคำสั่งเด้งนี้ มันทำให้เขาหมดสง่าราศีและหมดอนาคต เพื่อนของจอห์นเผยข้อมูลกับตำรวจในเวลาต่อมาว่า
“เขาบอกผม สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เป็นเพราะเคธี่ร้องเรียน”
“นังนั่นทำให้กูต้องหมดอนาคต กูจะต้องแก้แค้น กูจะฆ่ามัน”
3.
หลังเกิดเรื่อง ระหว่างการเตรียมหย่า เคธี่มาพักกับแม่ แต่ดังที่บอกไปแล้วว่าหญิงสาวเป็นคนรักสัตว์ และบ้านของจอห์น มีสุนัขน่ารักที่เธอเลี้ยงไว้ ตอนว่าที่อดีตสามีไปทำงาน เธอจะกลับไปดูแลหมาตัวนี้เสมอ
เช้าวันที่ 24 ตุลาคม 2016 คือวันสุดท้ายที่มีคนพบเคธี่ ขณะมีชีวิต เมื่อหญิงสาวหายตัวไป ไม่กลับบ้าน แม่ก็แจ้งตำรวจ นักสืบระดมกำลังควานหา
ระหว่างนั้น เพื่อนของเคธี่ไปสำรวจที่บ้านร้างหลังนี้ เพราะสมัยก่อนตอนเคธี่กับจอห์นรักกันดี ก็มักจะมาปาร์ตี้ที่นี่เป็นประจำ ดังนั้นเมื่อหญิงสาวหายตัวไป เพื่อนของเธอจึงลองมาที่นี่ดู ก่อนจะพบร่างไร้ลมหายใจของเคธี่
ตำรวจเชื่อว่า หญิงสาวน่าจะถูกนัดไปพบที่บ้านร้างแห่งนี้ ก่อนจะถูกมีดแทง แล้วพยายามนำร่างมาใส่หีบปูน เพื่อนำไปฝังอำพรางสักที่ แต่ทุกอย่างไม่เป็นใจ ฆาตกรคงรู้แล้วว่า มีการแจ้งว่าเคธี่หายตัวไปและตำรวจกำลังตามหา จึงไม่อยากเสี่ยงเอาศพขึ้นรถไปด้วย เลยปล่อยร่างไร้ลมหายใจของเคธี่ทิ้งไว้ในบ้านร้าง แล้วค่อยมาจัดการทีหลัง
วันที่ 26 ตุลาคม 2016 ตำรวจเชิญตัวจอห์นไปสอบปากคำ เขายืนยันว่าไม่ได้ฆ่าเคธี่ และไม่ได้พบหน้าว่าที่อดีตภรรยามาเป็นเดือนแล้ว เพราะตอนนี้อยู่กินกับฮันนาห์ เด็กสาววัย 17 ปี
เมื่อปฏิเสธแบบนี้ นักสืบเลยพาตัวแฟนสาววัย 17 ปีของจอห์นมาสอบปากคำด้วย เพราะเห็นว่าอายุยังน้อย อาจจะร่วมมือเผยข้อมูลบางอย่างก็เป็นได้
แต่ทุกอย่างจบลงที่ความล้มเหลว ฮันนาห์อ้างไม่รู้ ไม่รู้ และไม่รู้อีท่าเดียว แม้จะปลอบจะขู่เท่าไหร่ เธอก็ไม่ยอมพูด
“นี่คือรูปของเคธี่ หนูลองมองผู้หญิงคนนี้สิ เธอตายแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับเธอ”
“ฉันไม่รู้” ฮันนาห์พูดด้วยความหวาดกลัว
“หนูอายุแค่ 17 ปี ยังมีเวลาในชีวิตอีกเยอะ ทำไมต้องปกป้องจอห์นด้วย
“ฉันไม่รู้เรื่องใดๆ ทั้งสิ้น”
สุดท้ายตำรวจจำต้องปล่อยตัวจอห์นและฮันนาห์ไป ท่ามกลางความเจ็บปวด ทางการรู้ว่านี่คือผู้ก่อเหตุ แต่เมื่อไม่มีอะไรแน่ชัด ก็ต้องเคารพกฎหมาย
“เรานั่งอยู่ตรงข้ามชายที่เป็นคนฆ่าเคธี่ แต่เราไม่มีหลักฐาน ดังนั้นต้องเร่งหา ก่อนเขาจะหนีออกจากเมืองไป”
เมื่อออกจากโรงพัก สิ่งที่นักสืบหวาดหวั่นก็เกิดขึ้น
จอห์นพาฮันนาห์ขึ้นรถหนีไปจากเมืองนี้ทันที
นักสืบวิตก “ถ้าเขาฆ่าเคธี่ได้ กะอีแค่แฟนเด็ก ทำไมเขาจะทำไม่ได้ เราต้องหาตัวมันให้พบ”
เจ้าหน้าที่รวบรวมหลักฐาน พฤติการณ์หลบหนีนี้ ยิ่งเพิ่มน้ำหนักความน่าสงสัย ประกอบกับคำพูดของแม่เคธี่ เพื่อนฝูง และมิตรของจอห์น ทำให้ศาลอนุมัติหมายจับวีรบุรุษของเมืองนี้ในทันที
4.
กระนั้นเจ้าหน้าที่ก็หาตัวจอห์นและฮันนาห์ไม่พบ สหรัฐอเมริกาไม่ใช่ดินแดนเล็กๆ แต่มันกว้างใหญ่ แถมชายคนนี้เป็นทหาร เคยไปรบมาจริงๆ ถูกสอนให้ฆ่า ให้หลบหลีก ซ่อนตัวอำพราง นี่จึงเป็นภารกิจสุดหินของเหล่าตำรวจในการล่าตัว
แพตตี้ แม่ของผู้ตายหวาดผวา บางทีฆาตกรอาจไม่ถูกจับกุมเลยชั่วชีวิต เช่นเดียวกับตำรวจที่หวั่นเกรงว่าความคิดของเธอจะเป็นจริง แต่ทางการก็ยังไม่ยอมแพ้ ไม่สิ้นความหวัง พวกเขาต้องการแค่โชคดีสักครั้ง น่าจะเพียงพอล่าจับจอห์นได้
2 เดือนต่อมา ฮันนาห์โทรศัพท์ถึงครอบครัว จากรัฐออริกอน ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศ ห่างจากรัฐที่เธอเกิด ถึง 4 พันกว่ากิโลเมตร
“หนูอยากกลับบ้าน”
นักสืบประสานงานรับตัวเธอ เดือนธันวาคม พวกเขาพาตัวเข้าห้องสอบปากคำอีกครั้ง
“เขาสารภาพกับหนูว่าเป็นคนฆ่าเคธี่ โดยการใช้มีดแทงเข้าที่คอ”
“แล้วจอห์นอยู่ไหน”
“หนูไม่รู้ เขาขับรถไปทางตะวันตก พาหนูเดินป่า และขู่ว่าจะไว้ชีวิต หากไม่แพร่งพรายเรื่องทั้งหมดให้ตำรวจฟัง”
ฮันนาห์เผยว่าจอห์นพูดอย่างดุดัน “กูฆ่าเคธี่มาแล้ว และสามารถฆ่ามึงได้ด้วย” ถึงจุดนี้อดีตแฟนของฆาตกร ร้องไห้อย่างเจ็บปวดและหวาดกลัว
“เขาบอกให้หนูโกหกตอนสอบปากคำครั้งแรก เพราะจะทำให้เขาปลอดภัย”
เมื่อทั้งสองหนีกันไปไกลมากจากรัฐเกิดเหตุ จอห์นก็คิดว่าเขาคงรอดเงื้อมมือกฎหมายแล้ว พอฮันนาห์ซึ่งหวาดกลัวคนรัก ตัดสินใจหนีออกมา ฆาตกรก็รู้สึกเฉยๆ ไม่คิดจะตามล่า ปล่อยให้เธอเผชิญความเปล่าเปลี่ยวห่างจากบ้านเกิดนับพันกิโลเมตรเพียงลำพัง ดีเสียอีก เขาจะได้หนีอย่างสะดวกโยธินขึ้นกว่าเดิม โดยไม่มีภาระตัวถ่วงด้วย
พอนักสืบฟังการสอบปากคำเสร็จ พวกเขาเริ่มเข้าใจในตัวฮันนาห์ เธอกำลังเจอชายวัยใกล้ 30 ปี มีความสามารถหลอกล่อปั่นหัวเด็กหญิงให้คิดว่าถูกรัก และบังคับจิตใจให้เธอทำไปแบบนี้
ดูเหมือนเด็กหญิงวัย 17 ปีจะเป็นเหยื่ออีกคนของจอห์น
อย่างไรก็ดีเมื่อสอบปากคำไปเรื่อยๆ ฮันนาห์รับว่าเธอมีส่วนเอารถเคธี่ไปซ่อนด้วย นี่เองทำให้ตำรวจขมวดคิ้ว คำพูดตรงนี้กลายเป็นหลักฐานชั้นดีว่า เธอเป็นผู้ร่วมสมคบคิดก่อคดีฆาตกรรมกับจอห์น
“แต่เราจะเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน เป้าหมายหลักคือล่าตัวจอห์นมารับโทษให้ได้”
พวกเขาปล่อยตัวฮันนาห์ไปโดยไม่แจ้งข้อหา เธอไม่เคยออกจากเมืองนี้เลย หลายปีผ่านไป หญิงสาวเติบโตขึ้น ในปี 2022 เธอก็เดินขึ้นโรงพัก พร้อมแจ้งเบาะแสสำคัญ
“หนูรู้ว่าจอห์นอยู่ที่ไหน”
5.
นักสืบตกตะลึงในพฤติกรรมของฮันนาห์อีกครั้ง เพราะหลายปีที่ไม่โดนแจ้งข้อหา กลายเป็นว่าหญิงสาวยังแชตคุยกับจอห์นเสมอ โดยเขาเล่าว่า หลังเธอหนีออกมา เขาก็ยังไม่ย้ายไปไหน แต่ยังอยู่ในรัฐออริกอนเหมือนเดิม
ทางการรับฟัง ก่อนแจ้งอัยการ พวกเขาตกลงกันแล้วว่า ถ้าจับจอห์นได้ ฮันนาห์ซึ่งให้ข้อมูลตรงนี้อาจจะโดนแจ้งข้อหาด้วย เพราะตลอดเวลาเธอมีพฤติกรรมรับรู้ว่าฆาตกรอยู่ไหน แถมยังปิดบังไม่บอกตำรวจ นี่เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ยอมรับไม่ได้โดยเด็ดขาด
สายสืบโรงพักซิมป์สันวิลล์ รวบรวมหลักฐาน พร้อมประสานข้อมูลไปยังตำรวจศาล ซึ่งมีหน้าที่ล่าคนร้ายหนีหมายจับทั่วประเทศ พวกเขาได้รับรูปพรรณลักษณะของจอห์นอย่างละเอียด จากนั้นจึงเริ่มปฏิบัติการล่าฆาตกรโหดทันที
ข้อมูลจากฮันนาห์ เผยว่าจอห์นได้เล่าว่า ตอนนี้เขาอยู่กินกับหญิงสาวคนใหม่ ที่เมืองเม็ดฟอร์ด (Medford) ในรัฐออริกอน
ตำรวจศาลยกขบวนไปที่เมืองนี้ทันที สุ่มดู สอดส่อง ค้นหา ตามบ้านแต่ละหลัง 6 ปีผันผ่าน จอห์นอาจเปลี่ยนแปลงตัวเองไปบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่อาจจะยังคงเหมือนเดิม
นั่นก็คือรอยสักที่ท่อนแขนขวา ที่เป็นรูปโจรสลัด
ถ้าเขาไม่ลบรอยนี้ ยังไงทางการก็ต้องหาตัวพบ
20 กรกฏาคม ปี 2022 หรือเกือบ 6 ปีหลังเหตุฆาตกรรม ตำรวจศาลรายหนึ่งขับรถลาดตระเวน แล้วเขาก็เห็นชายคนหนึ่งเดินออกจากบ้าน ถอดเสื้อ ตรงท่อนแขนขวา มีรอยสักรูปโจรสลัด
เจ้าหน้าที่ระดมกำลัง บุกไปที่บ้านหลังนี้ทันที เมื่อเห็นชายคนนี้ ก็กรูกันลงมา พร้อมตะโกนเสียงเข้ม “นี่คือตำรวจศาล ยกมือขึ้น แล้วหมอบไปกับพื้น”
เป้าหมาย ตาเบิกกว้าง ตื่นตกใจ เขาตัวเปล่า ไร้อาวุธ แถมขณะนี้มีปืนหลายกระบอกเล็งใส่ เจ้าตัวจึงยอมจำนน นอนราบกับพื้น ตำรวจศาล ตรงเข้าใส่กุญแจมือ
“พวกคุณจำผิดคนแล้ว ผมชื่อเบน ไคลน์นะ”
ตำรวจศาลชะงัก หรือเราจับผิดคน แต่เมื่อทีมงานนำเครื่องตรวจลายนิ้วมือมาเช็ก 5 นาทีต่อมา ความจริงก็ปรากฏ
“เอ็งคือจอห์น บลาวเวลท์ ต่างหาก”
ฆาตกรที่ฆ่าเคธี่ ยอมแพ้ เขาถูกจับแล้ว
6.
จอห์นปลอมตัวพรางกายเป็นอย่างดี หญิงสาวที่อยู่ด้วย ไม่เคยรู้ว่าเขามีความหลังสุดสะพรึงแบบนี้ และเธอถึงกับร้องไห้ด้วยความตื่นตกใจ
ฟากแพตตี้ เมื่อรู้ข่าว เธอดีใจมาก ฝันร้ายที่คิดว่าฆาตกรจะลอยนวล ไม่เป็นความจริง เขาถูกคุมตัวกลับมาที่จุดเกิดเหตุอีกครั้ง
อัยการใช้ไดอารี่ที่จอห์นเขียนไว้ขณะหลบหนี ซึ่งเจ้าตัวสารภาพว่าเป็นคนฆ่าภรรยาตัวเอง เมื่อทุกอย่างขึ้นสู่ชั้นศาล แม้จะไม่มีดีเอ็นเอปรากฏในจุดเกิดเหตุ แต่คำให้การของฮันนาห์ อดีตคนรักของจอห์น ก็เพียงพอให้ทุกอย่างดำเนินไปสู่คำตัดสิน
5 ชั่วโมงหลังไต่สวนเสร็จ ลูกขุนก็มีคำพิพากษาว่าจอห์นมีความผิดฐานฆาตกรรมเคธี่ ส่วนฮันนาห์นั้น ตัวเธอมีสิทธิ์ติดคุกนานถึง 55 ปีในคดีนี้ กระนั้นหญิงสาวก็ยังยอมขึ้นให้การปรักปรำอดีตคนรัก เพื่อเห็นแก่กระบวนการยุติธรรม โดยไม่ขอตกลงลดโทษจากทางการ
หากผิด ก็พร้อมเข้าคุก โชคดีที่ถึงทุกวันนี้ ลูกขุนยังพิจารณาอยู่ว่าฮันนาห์ต้องรับโทษจากความผิดในคดีนี้หรือไม่
เธอจึงยังมีอิสรภาพจนถึงปัจจุบัน
ส่วนอดีตทหาร ยอดนักรบ วีรบุรุษของเมือง ถูกตัดสินลงโทษจำคุกตลอดชีวิต โดยไม่มีการขอลดหย่อนโทษ เขาถูกพาตัวไปเรือนจำ ซึ่งจะเป็นบ้านหลังสุดท้ายในชีวิตเขานับจากนี้เป็นต้นไป
พลันที่รู้ผลพิพากษา แพตตี้แม่ของเคธี่ ก็ร่ำไห้ออกมาด้วยความดีใจ “ไอ้นี่ มันเป็นปีศาจ ทำได้แม้กระทั่งผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้ โทษนี้สมควรแล้ว”
ในที่สุดจอห์นก็ถูกนำตัวไปอยู่ในที่ซึ่งเขาควรอยู่เสียที
แม้ความเจ็บปวดของแพตตี้ ไม่อาจจางหายจากความสูญเสียนี้ได้ทั้งหมด แต่เธอก็ยอมรับว่าคำพิพากษานี้ได้ช่วยชะล้างบาดแผลในใจไปบ้าง เพราะอย่างน้อย เธอก็ได้เห็นว่าความยุติธรรมยังมีที่ยืนอยู่บนโลกใบนี้จริงๆ
ก่อนออกจากศาล เธอหันไปหาลูกขุน “ฉันคิดถึงความตายของลูกทุกวันเลย มันเจ็บปวดเอามากๆ และการตัดสินคดีของพวกคุณ ทำให้ฉันเหมือนได้รับแสงสว่าง”
“ขอบคุณนะคะ”
จากนั้นแพตตี้ได้หันไปพูดกับนักข่าว “ถ้าฉันพูดกับเคธี่ได้ ก็อยากจะบอกลูกว่า แม่เสียใจนะ
“และสุดท้ายนี้ แม่ยังคงรักลูกเสมอ และตลอดไปนะ เคธี่”
อ้างอิงจาก