หัวข้อข่าวบันเทิงที่น่าสนใจสำหรับฉันในช่วงสัปดาห์นี้ ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในแวดวงบันเทิงเกาหลี (ตอนแรกจะพูดถึงแวดวงเบเกอรี่ เรื่องขนมปังไส้กรอก แต่อย่าเลย ไม่ใช่เรื่องน่ามอง เอ๊ย น่าพูดถึง)
คือเรื่องท่าทีของพระเอกคนหนึ่ง ในงานแถลงข่าวละคร
คิมจองฮยอน (Kim Jung Hyun) ได้ปรากฏตัวในงานแถลงข่าวละครเรื่อง ‘Time’ ทางช่อง MBC ด้วยใบหน้าที่ปราศจากรอยยิ้มเหมือนอินกับบทบาทมากเกินไปและการตอบคำถามสั้นๆ ซึ่งหากเป็นการอินกับบทบาทจริงๆ ก็คงจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
แต่เขายังปฏิเสธการขอควงแขนของซอฮยอน วง Girls’ Generation ที่เป็นคู่กันในเรื่องด้วย ทำให้บรรยากาศในงานเย็นชาขึ้น จากเหตุการณ์นี้ทำให้เขาถูกเหน็บแนมว่าเป็น ‘โรคคิมจองฮยอน’
ผู้เกี่ยวข้องกับ Management แห่งหนึ่ง กล่าวว่า “ในงานแถลงข่าวทุกงาน เหล่านักแสดงจะยิ้มบ้าง หรือแสดงท่าทางจริงจังบ้างมาจนถึงปัจจุบัน แต่หลังจากคิมจองฮยอนก่อเรื่องวิพากษ์วิจารณ์ขึ้น ถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะยิ้มแย้มเท่าที่จะสามารถทำได้ นอกจากนี้ยังมีคลิปที่บันทึกภาพเอาไว้ด้วย จึงไม่ควรแสดงท่าทางที่ไม่เรียบร้อยในเวลางาน” (ขอบคุณข่าวจากเพจpopcornfor2.
ฉันก็ทำการสอบถามผู้ติดตามดูละครเรื่องนี้อยู่ ว่ามันเครียดอะไรกันขนาดนั้นจริงๆ เหรอ? ก็ได้คำตอบว่าเครียดจริง ดราม่าจริง แต่ก็ไม่ใช่เฉพาะบทของจองฮยอน แต่นักแสดงนำทั้งสี่ก็รับบทหนักพอๆ กัน
ยิ่งพอเปิดคลิปดูภาพบรรยากาศงานแถลงข่าวนั้น ฉันก็เหวอหนัก เมื่อถึงช่วงถ่ายรูปคู่กับนางเอก ซอฮยอนก็เขยิบตัวเข้าไปใกล้ๆ กับพระเอก แล้วพยายามจะคล้องแขนถ่ายรูป (ซึ่งอันนี้เป็นท่าทางปกติมากคุณ ไม่ได้โน้มคอตีเข่า หรือทำสะพานโค้งใดๆ) แต่คุณพระเอกกลับเบี่ยงตัวหนี มองหน้าซอฮยอน แล้วทอดสายตาว่างเปล่าไปเบื้องหน้าท่ามกลางแสงแฟลชรุมกระหน่ำ ง่ายๆ คือนางเอกโคตรเจื่อนและโคตรเหวอ
เมื่อปรากฏความวงแตกแบบนี้ออกมา ต้นสังกัดของละครเรื่องอื่นๆ ก็คงอลหม่านกันในการบรีฟนักแสดง ว่ายิ้มหน่อยเถอะจ้า ไหนๆ มางานเปิดตัวละคร ไม่ใช่ปิดตัวบริษัท จะทำหน้าเด๊ดเป็นตัวละครในหนังเต๋อ นวพลไปเพื่ออะไร
ที่ฉันมาเจอข่าวนี้ก็เพราะมีคนไปอ่านเจอมา แล้วโยนคำถามต่อมาที่ฉัน ว่าเคยอินกับบทขนาดนี้หรือเปล่า?
จำได้ว่าฉันเคยเขียนถึงวิธีทำการแสดงสไตล์เมธอด (Method Acting) ที่เน้นไปที่การ ‘เป็น’ ตัวละครนั้นจริงๆ มาแล้ว ประมาณว่าถ้ารับบทเป็นคนขับแท็กซี่ก็ไปขับแท็กซี่ให้สมจริง เล่นเป็นคนอดนอนก็อดนอนมันจริงๆ ไปเลยซักเดือน อะไรแบบนี้เป็นต้น แต่เห็นเวลามาแถลงข่าว นักแสดงสายเมธอดเหล่านั้น ก็ดูตั้งอกตั้งใจทำงานปกติดีนะ (อาจจะยกเว้นเมล กิบสันคนนึง ที่เคยด่านักข่าวออกอากาศตอนสัมภาษณ์ ซึ่งฉันคิดว่าไม่ใช่ความเมธอด แต่น่าจะเป็นความเออเรอร์บางอย่างในชีวิตมากกว่า)
ส่วนตัวลึกๆ แล้ว ฉันอยู่ก้ำกึ่งระหว่างความเมธอดและการตีความภายนอกนะ เพราะ…แหม่ ฉันจะเมธอดยังไงวะ แต่ละเรื่องนี่เล่นเป็นผีงี้ โดนคนรุมโทรมงี้ ขายตัว ค้ายา หรือเป็นเจ้าหญิงนักรบงี้ จะให้ลองไปตายเป็นผีก่อนแล้วกลับมาแสดงแบบเมธอดก็คงเป็นไปไม่ได้อีก ดังนั้นสิ่งที่พอจะทำได้ในแต่ละการทำงาน คือการซ้อม ซ้อม และซ้อม
คล้ายๆ กับทางไปคาร์เนกี้ฮอลล์เลยเนอะ แต่มันก็เป็นหนทางที่ใกล้เคียงที่สุดที่ฉันจะทำได้
ส่วนใหญ่การซ้อมและเตรียมตัวนี้จะเรียกรวมๆ กันไปว่าการเวิร์คช็อป ซึ่งอาจจะเหมือนหรือต่างกันออกไปตามวิธีของนักแสดงแต่ละคน หรือของผู้กำกับ หรือแอคติ้งโค้ช อย่างบางเรื่องที่ต้องเล่นเป็นกลุ่มเพื่อนก็ควรจะมาเจอกันก่อนบ้าง ไม่ใช่วันดีคืนดีโดนถีบไปกองรวมกันหน้ากล้องแล้วต้องสนิทกันเลยมันก็ยากอยู่หนา ภาษาร่างกายและความไม่ราบรื่นบางอย่างก็จะฉายให้เห็นชัดทีเดียว ซึ่งคนดูจะสังเกตเห็นทันที และหมดความเชื่อในการเป็นเพื่อนรักเพื่อนตายของนักแสดงในเรื่องไปเลย พอคนดูไม่เชื่อ ยังไงก็ไปต่อยากแล้วล่ะ อ้าว ถ้าอย่างนั้นบทแบบฉันจะซ้อมยังไงล่ะ ก็ถ้าซ้อมตาย ซ้อมขายตัว ซ้อมค้ายาจริงๆ ไม่ได้ เราก็ฝึกองค์ประกอบรอบๆ ไปก็แล้วกัน
ฉันประเดิมเข้าวงการด้วยละครเรื่อง ‘ล่า’ ที่ถือว่าหนักหน่วงทีเดียว สำหรับเด็กงงๆ อย่างฉัน ตอนนั้นผู้กำกับบอกให้ฉันดูหนังฝรั่งเรื่องหนึ่ง ดูแบบเอาตัวเองไปแทนตัวละครในหนังนั้นแต่ละตัว ภาพยนตร์เรื่องนั้นคือ ‘The Silence of The Lamb’
โอ้โหคุณ, สำหรับเด็กน้อย มันเคร่งเครียดสาหัสมาก และด้วยความซื่อสัตย์ ฉันก็ดูทีละรอบ ทีละรอบ เอาตัวไปแทนตัวละครในนั้นทีละตัว ทีละตัว สักกรอบที่ 4 นี่ฉันก็จ้องตา ดร.เลคเตอร์ในหนังแล้วเดินไปอ้วกเป็นที่เรียบร้อย
คือประสาทเสียสุดๆ แล้วน่ะ
หลายคนอาจจะงง ว่าเรื่องไม่เห็นจะเหมือนกันเลย ดูทำไมวะ แล้วเครียดไรอะ ฉันว่ามันมีความหวั่นไหวของความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อหน้าตัวละครของเราเหมือนๆ กันนะ ทั้งบทของคลาริซ สตาร์ลิงและน้องผึ้ง คือฉันไม่ได้บอกว่าฉันเทียบเท่าโจดี ฟอสเตอร์นะ แต่พอนึกออกว่านี่เป็นการสร้างบรรยากาศแห่งความรุนแรงบางอย่างที่ครอบงำวิถีชีวิตปกติ และทันทีที่ฉันอันล็อคความรู้สึกนี้ ก็ไม่ได้สัมผัสความสบายๆ อีกเลย
มันบวกกับความกลัวว่าฉันจะแสดงไม่ได้ บวกความไม่มั่นใจว่าจะทำให้กองถ่ายเสียเวลาหรือเปล่า แล้วยังความเครียดของการเลิกเรียนในแต่ละวันเพื่อมาทำงานต่อในกองถ่าย ทำงานแบบนั้นไปสักพัก ฉันก็โดนแม่กรี๊ดใส่ว่าเป็นอะไรนักหนา ซึมกระทือลงไปทุกวัน ฉันอยากจะจับแกช็อตไฟฟ้าขึ้นมาจริงๆ บ้างแล้วนะ!!
แม้แต่พี่นก สินจัยที่เรียกว่าเป็นระดับยอดฝีมือแล้ว ยังมาบอกกับกองถ่ายในบางวัน ว่าละครเรื่องนี้ทำพี่เขาเครียดจนลูกๆ สัมผัสได้ กลายเป็นกลัวและเกร็งที่จะเข้ามาหาแม่ไปเลย นี่แหละ คือการซ้อมบรรยากาศ
ตอนเล่นเป็นสาวค้ายานี่ฉันหัดสูบบุหรี่ โดยมีแม่เป็นคนฝึกให้ หมดปอดไปเกือบข้าง กว่าจะสูบได้ก๋ากั่นสมจริง ส่วนตอนเป็นกะหรี่นี่ฉันหัดเล่นไพ่ ซึ่งยากมาก พอสับไพ่ได้ ท่าก็ไม่ได้ พอท่าได้ สับไพ่ได้ เอ้า กูดูแต้มไม่เป็นจ้า งั้นเอาใหม่ สับไพ่ได้ ท่าได้ เข้าใจแต้ม ปรากฏหน้าไม่ลุ้นไพ่เสียอย่างนั้น จนผู้กำกับบอกว่าถ้ายังไม่ได้ คราวหน้าจะให้วางเดิมพันเป็นค่าตัวฉัน ฉันเลยมีพัฒนาการขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เล่นเป็นเจ้าหญิงนักรบก็หัดขี่ม้าไป ซ้อมอาวุธไป สมจริงตรงครึ่งนักรบได้ก็ยังดีวะ ตรงเจ้าหญิงอย่าไปจริงจังมาก แต่เวิร์คช็อปสุดประทับใจของฉันก็คือตอนเล่นนางนาก
คือฉันไม่เหงาเลยนะ ทุกคนหัดทำไปพร้อมกันทั้งกองถ่าย เพราะพี่อุ๋ยจัดเวิร์คช็อปกันไปเลยสามเดือนเต็มๆ ฉันนั่งหัดสานปลาตะเพียน จุดเตาถ่าน ปอกหมากจีบพลู นุ่งโจงกระเบนผ้าแถบด้วยตัวเอง วนไปอย่างนั้นแทบทุกวันที่ออฟฟิศพี่อุ๋ย โดยมีเพลงประกอบเป็นดนตรีไทยสลับกับเพลงกล่อมเด็ก พี่อุ๋ยและทีมงานทุกคนพร้อมใจกันตัดผมทรงเดียวกับฉันและพี่เมฆ (วินัย ไกรบุตร) เรียกว่าเห็นจนชินกันไปเลย
วันดีคืนดี พี่อุ๋ยก็พาไปโฮมสเตย์บ้านริมคลอง หัดเดินแบบถอดรองเท้า (เออ อันนี้ต้องหัดจริงๆ นะ สำหรับคนที่ชินกับการใส่รองเท้าเดินมาทั้งชีวิต อยู่ๆ ถ้าถอดแล้วเดินเลย ท่าทางมันจะแหยงๆ แถมเท้าจะซีดกว่าผิวส่วนอื่นๆ ที่ฉันโดนสั่งให้อาบแดดจนตัวดำด้วย) ซักผ้ากับน้ำคลอง กินข้าวด้วยมือ ลงเล่นน้ำในคลอง ตีโป่ง อุ้มลูกป้อนข้าว (ซึ่งป่านนี้เด็กคนนั้นคงโตมากแล้ว น้องจะรู้มั้ยนะ ว่าเคยทำการแสดงมาก่อน)
ทำวนไปจนวันนึงพี่เมฆลุกขึ้นจูงฉันเข้าห้องไปหน้าตาเฉย
เฮ้ยยยยยยยย เดี๋ยวก่อนนนนนนนน
ไปไหนว้อยยยยยยยยยย
อีตาพี่เมฆก็ตอบมาหน้าตาเฉย ว่าพี่หมดกิจกรรมจะทำตามใจพี่อุ๋ยแล้วว่ะ ก็เหลือจับทรายทำเมียนี่ล่ะ ที่ยังไม่ได้ลอง
โอเคพี่ งั้นหนูต้องตายให้สมจริงด้วยมั้ยวะ!!
เป็นอันว่าเวิร์คช็อปเรื่องนางนากก็จบกันวันนั้นแหละ ถือว่าใช้การได้ เหมาะแก่การแสดง ไม่ใช่เพราะพี่เมฆได้ฉันเป็นเมีย แต่น่าจะเป็นเพราะถ้ามากกว่านี้ แทนที่ฉันจะตายอย่างในบท อีพี่เมฆจะโดนฉันถีบตกเรือนไปเสียก่อน
ดังนั้นพอตาจองฮยอนออกมาหน้าหงิกงอโดยมีคนให้คำอธิบายว่าเป็นเพราะอินกับบทนี่ฉันเลยรู้สึกชอบกล
แต่ก็มีวิธีแก้อยู่นะ น่าจะเอาไปลองดูกัน
ก็คือผู้บริหารละครก็เดินไปบอกเลย ว่าจองฮยอนโอปป้า ในเมื่อคุณอินกับบท กลายเป็นตัวละครได้ถึงขนาดนี้ คุณก็อยู่เหนือกว่านักแสดงทั่วไป เพราะคุณกลายเป็นคนคนนั้นไปอย่างสมบูรณ์
อย่ากระนั้นเลย, ไม่มีใครได้รับค่าตัวจากการเป็นตัวเองหรอกนะ
ขอบคุณจองฮยอนโอปป้ามากที่จะไม่รับค่าตัว และไม่คิดจะแสดงเรื่องอื่นอีกแล้ว และคงจะอินกับตัวละครนี้ไปจนหมดลมหายใจ เพราะกระทั่งบนเวทียังอิน
บอกแค่นี้ฉันว่าจองฮยอนน่าจะเข้าใจ
แหม
ก็เรื่องค่าตัวเนี่ย มันภาษาสากลนะคุณ!