1. ตอนที่โอเว่นอายุได้ไม่ถึงสามขวบดี ครอบครัวก็ได้พบว่าลูกชายคนนี้เป็นออทิสติก พวกเขาเริ่มเอะใจจากความเปลี่ยนแปลงไปของโอเว่น จากแต่ก่อนที่เคยเป็นเด็กช่างพูดจา แต่ไปๆ มาๆ โอเว่นกลับหยุดพูดไปเสียเฉยๆ ถ้อยคำที่เคยสื่อความกลายเป็นเสียงงึมงำในลำคอไม่สื่อความหมาย และแม้พ่อกับแม่จะพยายามหาวิธีให้ลูกชายพูดออกมาสักเท่าไหร่ หากมันก็ไร้ประโยชน์ พวกเขาไม่อาจทำให้โอเว่นกลับมาพูดเหมือนเมื่อก่อน
ตั้งแต่เริ่มจำความได้ โอเว่นก็ชื่นชอบการ์ตูนดิสนีย์มาโดยตลอด หลายๆ เรื่องเขาดูมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับไม่รู้จักเบื่อ แถมบ่อยครั้งที่เขากรอกลับไปดูฉากเดิมซ้ำๆ จดจ่อความเคลื่อนไหวบนจอโทรทัศน์ด้วยดวงตาเบิกกว้าง ซึ่งจนกระทั่งวันหนึ่งพ่อกับแม่ของเขาก็ถึงได้รู้ว่า โอเว่นไม่เพียงแค่รื่นเริงบันเทิงไปกับการ์ตูนดิสนีย์แค่เปล่าๆ แต่เขายังจดจำคำพูด การกระทำ และวิธีคิดของตัวละครต่างๆ ขณะที่เขาดูมันอย่างซ้ำๆ เรียกได้ว่าโอเว่นเรียนรู้โลกผ่านการ์ตูนดิสนีย์ เขาได้รู้จักความสุข ความเศร้า และความรัก ก็จากการเฝ้าดูการ์ตูนเหล่านี้ และผ่านการท่องจำคำพูดนี่เองที่ในที่สุดก็ทำให้โอเว่นกลับมาพูดอีกครั้ง
สำหรับครอบครัวของโอเว่น การ์ตูนจึงไม่ได้เป็นความบันเทิงไร้สาระ แต่มันเป็นกุญแจสำคัญที่เปิดประตูให้ลูกชายของพวกเขาซึ่งถูกผลักออกจากโลกภายนอกเพราะภาวะออทิสติกได้ก้าวเข้าไปสู่โลกกว้างนั่นอีกครั้งต่างหาก
2. เมื่อโอเว่นเติบโตขึ้น เขาได้เข้าเรียนในโรงเรียนเพื่อเด็กที่มีภาวะพิเศษ และแม้ว่าสภาพแวดล้อมหรือหลักสูตรในโรงเรียนน่าจะช่วยให้โอเว่นปรับตัวเข้ากับสังคมได้ในระดับหนึ่ง ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป โรงเรียนกลับแจ้งมาถึงครอบครัวเขาว่าโอเว่นมีพัฒนาการที่ช้ากว่าเด็กคนอื่น หนำซ้ำเขายังถูกกลั่นแกล้งจากเพื่อนในโรงเรียน จนมันผลักให้โอเว่นกลับสู่โลกใบเล็กๆ ของเขาอีกครั้ง หวาดกลัวต่อโลกภายนอก และออกจากโรงเรียนมาในที่สุด
เพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำ และเพราะรู้สึกว่าสังคมข้างนอกนั่นไม่ใช่พื้นที่สำหรับเขา ความเจ็บปวดของโอเว่นสะท้อนออกมาให้เห็นผ่านความชื่นชอบตัวละครดิสนี่ย์ที่เป็นแค่ลูกหม้อ หรือคู่หู (sidekick) อย่างยาโก นกแก้วจอมเสี้ยมใน Aladdin หรือเซบาสเตียน เจ้าปูสีแดงใน Little Mermaid
ในขณะที่เขาชื่นชอบตัวคู่หู แต่โอเว่นไม่เคยรู้สึกว่าตนเชื่อมโยงกับตัวเอกอย่างอลาดินหรือเจ้าชายอีริคเลย ด้วยเพราะตัวเอกเหล่านั้นต่างก็เก่งกาจ โดดเด่น และมีสถานะซึ่งสังคมยอมรับ (แม้แต่อลาดินในตอนจบ) โอเว่นบอกว่าตัวเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น ซึ่งก็อาจยกเว้นแต่เพียงตัวเอกใน The Hunchback of Notre dame ที่เป็นชายหลังค่อมที่ถูกสังคมรังเกียจเท่านั้นที่โอเว่นเชื่อมโยงด้วยได้
3. ผ่านการ์ตูนดิสนีย์ที่โอเว่นได้เรียนรู้ชีวิต แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตที่เขาได้เรียนรู้ หนังได้ชี้ให้เห็นในจุดนี้ โดยแสดงให้เห็นว่าการ์ตูนดิสนีย์นำเสนอภาพที่ไม่ได้อธิบายภาพของสังคมภายนอกอย่างครอบคลุมนัก กล่าวคือ แค่เพียงเฉพาะบางพื้นที่ หรือแง่มุมที่ถูกคัดกรองแล้วเท่านั้นที่ดิสนีย์จะหยิบจับมานำเสนอ อาจเรียกได้ว่าเป็นการเสนอภาพของสังคมซึ่งผ่านการขัดถูว่าปลอดภัยต่อการรับรู้ของเด็กแล้วนั่นเอง
หรือกระทั่งในเรื่องของความรู้สึกและพัฒนาการของตัวละครดิสนีย์เองก็ตาม ที่ถึงแม้พวกเขาจะพบกับความผิดหวัง หรือโศกเศร้าอยู่บ้าง ทว่าในตอนท้ายบทสรุปของหนังก็จะหมดจดงดงาม ราวกับว่าท้ายที่สุดแล้วชีวิตก็จะมีเรื่องดีงามรออยู่
ฉากหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือเมื่อโอเว่นต้องรับมือกับอาการอกหัก เมื่อเขาถูกคนรักทิ้งและต้องรับมือกับหัวใจที่เจ็บปวดซึ่งเขาไม่เคยรู้สึกหรือเข้าใจในอาการนี้มาก่อน โอเว่นตีโพยตีพายว่าชีวิตมันช่างไม่ยุติธรรม ทำไมเขาต้องมาเจอกับอะไรแย่ๆ แบบนี้ด้วย ซึ่งเมื่อเทียบกับการ์ตูนดิสนีย์ที่ไม่ได้ดีลกับความผิดหวังประเภทนี้ จึงเท่ากับว่าดิสนีย์ได้สร้างกรอบอันจำกัดให้กับการรับรู้โลกของตัวโอเว่น และซึ่งความเจ็บปวดสารพัดที่เขาอาจได้พบต่อจากนี้ เมื่อเทียบเข้ากับความสุขที่เขารู้จักอยู่แล้วผ่านโลกการ์ตูน มันก็อาจใหญ่โตเกินจริงเพียงเพราะเขาไม่เคยเห็นมันมาก่อนในโลกของวอลต์ ดิสนีย์
4. แต่แม้ชื่อของหนัง กับเรื่องเล่าโดยย่อจะชวนให้คิดว่า Life, Animated เป็นสารคดีที่ให้น้ำหนักกับการ์ตูนเป็นสำคัญ หากกระนั้นสิ่งที่หนังแสดงให้เห็นกลับกลายเป็นว่า การ์ตูนเป็นเพียงแค่ชนวนเริ่มต้นเท่านั้น ก่อนที่เราจะได้เข้าไปรู้จักกับตัวตนของโอเว่น ผ่านมิติอันละเอียดอ่อนในตัวตนของเขา
จุดที่น่าชื่นชมอย่างที่สุดคือความซื่อสัตย์ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนผ่านตัวครอบครัวโอเว่นว่า การที่สมาชิกสักคนมีภาวะออทิสติกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มันเป็นความจริงอันเจ็บปวด เป็นความเศร้า เป็นความกังวล หนังได้เปิดเปลือกให้เราเห็นถึงความเปราะบางและความกดดันที่พวกเขาต้องแบกรับในการเลี้ยงดูโอเว่น หรือทั้งอนาคตของบุตรชายว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปหากวันหนึ่งพวกเขาไม่อาจอยู่ดูแลเขาได้เหมือนเช่นเคย และถึงแม้ว่าตัวโอเว่นเองจะเข้าเรียนในโรงเรียนที่ช่วยเตรียมความพร้อมให้กับผู้มีภาวะออทิสติกให้สามารถช่วยเหลือตัวเอง และมีชีวิตด้วยตัวเองในโลกภายนอกได้ หากแต่ความกังวลที่ครอบครัวมีก็ยากที่จะหายไปได้อย่างหมดจดอยู่ดี
มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับใครๆ และตัวโอเว่นเองก็ตระหนักดีในภาวะที่เขาเป็น ซึ่งหนังก็แสดงให้เห็นถึงความพยายามของตัวโอเว่นเอง รวมถึงครอบครัวที่ก็ให้การสนับสนุน และผลักดันให้ลูกชายมีได้ใช้ชีวิตด้วยลำพังตัวเองอย่างคนธรรมดาคนหนึ่ง
5. แต่แม้ว่า Life, Animated จะพาเราไปสำรวจชีวิตของบุคคลอื่น หากในขณะที่ผมจดจ้องไปที่ชีวิตของโอเว่นอยู่นั้น ผมกลับรู้สึกได้ถึงความรู้สึกซึ่งสะท้อนกลับมายังตัวเอง ราวกับว่าสิ่งที่เรารับรู้ผ่านชีวิตของโอเว่นนั้นได้มอบบทเรียนและมุมมองบางอย่างต่อชีวิตของเรา
ในช่วงท้ายของหนัง พ่อของโอเว่นได้พูดถึงบุตรชายไว้ว่า ชีวิตของโอเว่นต่อจากนี้ยังตองมีล้ม มีพลาด มีผิดหวังอีกมาก แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขากลัว เพราะเขาเองก็เคยผ่านเรื่องเหล่านั้นมาเหมือนกัน ด้วยคำพูดนี้ เราจะเห็นได้ว่า พ่อของโอเว่นก็มองบุตรชายเขาไม่ต่างอะไรกับมนุษย์คนหนึ่ง ที่ชีวิตย่อมจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้น แต่เช่นกันที่มันจะกลายมาเป็นบทเรียนซึ่งช่วยให้เขาเข้มแข็งและมีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับชีวิตซึ่งต่อแต่นี้จะไม่ได้เป็นไปตามที่เขาคุ้นเคยและรู้จักจากการ์ตูนดิสนีย์อีกต่อไป

คาลิล พิศสุวรรณ