ไหนไหนก็บ่นติดกันมาสองสัปดาห์แล้ว ฉันก็ขอพูดถึงอีกหนึ่งเรื่องข้อข้องใจต่อวิสัยของดารานักแสดงก็แล้วกัน นั่นก็คือเรื่องของความรัก
ฉันว่าจริงๆ แล้ว ผู้ประกอบสัมมาอาชีพนี้ เป็นกลุ่มหนึ่งของผู้ที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองมากเท่าไหร่ คืออย่างน้อยก็ไม่มากเท่ากับที่คนเขามักจะเชื่อกันว่าเรามั่นใจ ด้วยความโดดเดี่ยวทางการทำงานที่แม้อยู่หน้ากองคนเป็นร้อยก็ประหนึ่งเข้าเงียบอยู่บนแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเล ทุกสิ่งที่พูด คิด หรือทำออกไป อาจจะย้อนกลับมาทำร้ายเราได้ในภายหลังทั้งสิ้น โดยสิ่งที่ทิ่มแทงใจนั้นไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แต่แค่ผู้มีคดีใจต่อกัน แต่หมายรวมเลยเถิดไปถึงวงเชียร์ของแต่ละฝ่าย และในยุค ‘ชาวเน็ต’ นี้ก็ระเรื่อยลุกลามไปถึงกองเชียร์ของกองเชียร์ของกองเชียร์ (และกองแช่ง) อีกที
ทำให้เรื่องที่ธรรมดาก็ลำบากใจจะตายห่าอยู่แล้ว กลายเป็นเรื่องลำบากคูณสองเข้าไปอีก เพราะแค่สนใจความต้องการของตัวเองยังไม่พอ แต่ต้องดูจังหวะอาการของคนที่ง้างตีนรอกระทืบอยู่ข้างนอก หรือคนที่เร้นตัวรอลูบหลังลูบไหล่ให้กำลังใจอยู่เหมือนกัน
ไอ้ครั้นจะบอกว่าอย่าไปสนใจอะไรมาก โลกมันก็ไม่ได้ให้โอกาสเราทำอะไรง่ายๆ ขนาดนั้น
-เริ่มจีบ-
เราต่างก็รู้ดีว่าเรื่องของความรักนั้นต้องอาศัยความร่วมมือของคนทั้งสองฝ่าย รวมไปถึงคนรอบตัวที่ใกล้ชิดซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจและความยืนยาวหรือสั้นกุดของความสัมพันธ์ในแต่ละครั้ง และไม่ได้หมายความว่า, เมื่อเราชอบใครเขาจะต้องชอบตอบ ไม่ได้หมายความว่าเราจะชอบทุกคนที่เข้ามาจีบ ช่วงเวลาของการ ‘ดูๆ กันอยู่’ นั้นมีอยู่จริง และเงื่อนไขอีกสารพัดสารเพเท่าที่จะเกิดขึ้นได้
แต่ส่วนใหญ่ปัญหาก็มักเริ่มจากไอ้การ ‘ดูๆ กันอยู่’ นี่ล่ะ เพราะตอนดูๆ กันนี่มันก็ต้องหาเรื่องเจอกัน แล้วจะไปเจอกันที่ไหน พื้นๆ ก็ไปกินข้าวดูหนัง แต่มันจะไม่พื้นๆ ก็เพราะพอควงกันไปก็จะกลายเป็นประเด็นให้ตอบคำถามไม่รู้จบสิ้น ถ้าสวยสมกันก็จะถูกเชียร์จนตะขิดตะขวงใจ ครั้นไม่เหมาะสมกัน (ในสายตาของคนนอก) ก็จะโดนวิจารณ์แกมด่าจนแทบท้อแท้ พอโดนสัมภาษณ์แล้วตอบว่ากำลัง ‘ดูๆ กันอยู่’ ‘เป็นพี่น้องกัน’ ก็โดนล้อ แต่จะให้กูตอบว่าไรคะ เพิ่งดูหนังกันไปเรื่องเดียว จะรวบตึงเป็นแฟนเลยมันก็ไม่ใช่อีก จะบอกว่าไม่ได้ไปไหนก็เป็นเรื่องโกหกอีก โอ้ยยยยยยย
หลายคนคงสงสัยเชิงหมั่นไส้ ว่าทำไมดารามักจะได้กับคนรวยๆ (คำว่า ‘มักจะ’ ไม่ได้หมายความร้อยทั้งร้อย และไม่ได้หมายความว่ารับประกันความถูกต้อง สุขสงบ ดีงาม) ความเป็นส่วนตัวที่ซื้อหาได้ด้วยทุนทรัพย์ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ว่านั่น มันออกจะกระอักกระอ่วนอยู่ในเวลาที่อยากไปพักผ่อนแล้วโดนคนขอถ่ายรูปหรือชวนพูดคุยตอนคุณกำลังจะตีกับคู่รัก
แต่ปัญหานี้จะน้อยลงมาก หากคุณมีทุนทรัพย์พอจะไปพักผ่อนต่างบ้านต่างเมืองได้ และนี่ไม่ได้หมายความว่าที่คบหากับคู่รักที่มีเงินเพราะจะให้เขาจ่ายให้ แต่หมายความว่า กูจะได้ไม่ต้องไปจ่ายให้ เป็นจ่ายใครจ่ายมันกันไป ไม่ต้องมานั่งไฝแห้งว่าเราเบียดเบียนเงินที่เขาเก็บหอมรอมริบมา หรือต้องกินอยู่อย่างประหยัดตามแบบกระทู้พันทิป (ซึ่งแน่นอน ไม่ได้หมายความว่าประหยัดเป็นเรื่องไม่ดี แต่บางทีหลังจากการตรากตรำอยู่หน้ากอง เราก็อยากพักสบายๆ งดการตะลอนบ้าง) (นี่กูจะใส่วงเล็บออกตัวอธิบายอะไรเยอะแยะ–อ่อ ก็กลัวแหละว่าจะโดนด่า–ซึ่งคิดว่าน่าจะโดนแน่ๆ) ซึ่งผู้มีเวลา มีทุนทรัพย์ และมีความหุนหันพลันแล่นพอจะวางตารางชีวิตไปตามจังหวะอันไร้รูปแบบของกองถ่ายได้ ก็มีแต่กุมารแลกุมารีของผู้มีทรัพย์ศฤงคารอยู่พอสมตัว ไม่ต้องตอกบัตรเข้างานทุกเช้าหรือรอสะสมวันหยุดเพื่อจะได้ใช้โบนัสให้คุ้มค่า
แต่มองในมุมกลับกัน ดารานักแสดงก็ใช่จะไม่รู้ว่าการเติมเต็มในความรักนี้ บางทีก็เป็นการสมประโยชน์ร่วม ซึ่งเอาเข้าจริงก็ถือเป็นธรรมดาโลกที่เราต้องการความมั่นใจที่มาในรูปแบบที่แตกต่างกัน แปลอย่างหยาบๆ ที่สุดก็คือเรามีชื่อเสียง เขามีเงินทอง เราไม่เบียดเบียนกันและกัน ต้นไม้งาม คนงดงาม รวมน้ำใจไหลเป็นสายธาร ทุกชีวิตทุกฝ่ายเบิกบาน มีคนมีต้นไม้ มีสัตว์ป่าาาาาาาาาาา (เปิดเพลงชีวิตสัมพันธ์ประกอบการอ่าน)
ความป่วงอีกอย่างที่มาพร้อมกับการมีแฟนเป็นดาราคือ-เพื่อน-
จะเพื่อนใคร ก็เพื่อนแกนั่นแหละ!!
อะ ฉันยกตัวอย่างกรณีฉันเองก็ได้ เวลาฉันแสดงหนัง -ซึ่งก็ไม่รู้ทำไมจะต้องมีเลิฟซีนได้ทุกเรื่อง- ฉันก็เล่นของฉันไปตามปกติ เหมือนฉากเดิน ฉากวิ่ง ฉากกินข้าว กับฉากเลิฟซีนฉันก็ถ่ายไป คู่รักฉันก็ไม่ถามอะไร และฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องอธิบาย ก็นี่มันงานที่ฉันทำมาเป็นโกฏิปีแล้ว
แล้วก็ทันทีที่ภาพยนตร์หรือละครออกฉาย เหล่าคนรอบตัวคู่รักของฉันก็จะเริ่มมาพร้อมเสียม
“ยังงายยย ดูยังงงง แอะๆๆๆ” (แอะโพ่งงงง จะพูดอะไรก็พูดมา-ฉันคิดในใจ)
“หูยยยย ถ่ายนานมั้ยอะฉากนี้ นัวมากเลย” (มันใช่เรื่องจะมาถามมั้ย ก็ดูงานไปเซ่)
“ฮอตมาก เฮ้ย พูดต่อหน้าได้มั้ยเนี่ย เพื่อนกูจะขึ้นมั้ยเนี่ย” (เพื่อนมึงไม่ขึ้นหรอก กูเนี่ยขึ้นมาเป็นริ้วๆ ละ)
วนไปวนมาด้วยรูปประโยคลับๆ ล่อๆ แบบนี้ จนจากไอ้คนไม่คิดอะไรก็เริ่มจะคิด พอคิดก็เริ่มจะถาม พอถามฉันก็เริ่มหงุดหงิดว่าจะถามทำไม แล้วพอหงุดหงิดก็–นั่นแหละ
ล่ม
นี่ยังไม่รวมถึงอาการสามวันดีสี่วันไข้ของตารางการทำงานที่พิสดารกว่าคนทั่วไป เสาร์-อาทิตย์ที่ไม่ได้มีไว้เที่ยวแต่มีไว้รับอีเวนต์ การโดนลอบมองและวิพากษ์วิจารณ์ตั้งแต่หนังหน้าไปยันหมาที่เลี้ยง ฯลฯ เรียกว่าถ้าจิตไม่แข็งจริง ก็จะเกิดอาการพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกได้อย่างง่ายๆ
แต่ที่เขียนมาทั้งหมดนี่ไม่ใช่การขู่ให้กลัวหรือหงุดหงิดโกรธเคืองแต่อย่างใด แค่บางทีก็อยากให้มิตรรักแฟนเพลงเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับความรักของเหล่าคนทำงานอย่างเราๆ บ้าง เพราะเราก็มนุษย์ที่โหยหาความรักเหมือนๆ กันกับคุณนั่นเอง
เน่ เป็นไง จบดีๆ ก็ทำได้เหมือนกัน!!