ช่วงนี้ประเด็น Consent หรือแปลแบบคร่าวๆ ง่ายๆ ที่สุดคือความสมยอม (ซึ่งจริงๆ ฉันก็ยังไม่ค่อยชอบคำนี้เท่าไหร่นะ แต่ไม่รู้จะแปลทับศัพท์ยังไงให้กระชับกว่านี้ จะใช้ยินยอมก็ดูแปลกๆ จะแปลว่าความร่วมมือร่วมใจก็พาลให้นึกไปถึงการลงแขกเกี่ยวข้าวไปนั่น) ค่อนข้างเป็นประเด็นในเกือบทุกวงการ
ตั้งแต่ข่าวข้าราชการบุกรุกเนื้อตัวลูกจ้าง เรื่องของนักศึกษาและใครต่อใครอีกมากมาย ซึ่งสร้างวิวาทะถกเถียงกันได้หลากหลาย ระหว่างฝั่งหนึ่งที่มองว่า, ผู้หญิงก็ต้องไม่แต่งตัวยั่วยวน (ซึ่งเอาจริงๆ ฉันก็ไม่เคยรู้เลย ว่าแค่ไหนคือยั่วยวน–ใส่บิกินีไปว่ายน้ำทะเลนี่ยั่วยวนไหม เพราะมันคือชุดว่ายน้ำ หรือใส่ชุดนักเรียนนักศึกษาเดินเข้าซอยบ้านนี่มันทำให้เกิดความต้องการขึ้นมายังไง หรือถ้าฉันใส่บิกินีเดินเข้าซอยบ้านได้ไหม? แต่นั่นอาจถูกตั้งข้อหาก่อกวนความสงบเสียก่อนน่ะนะ) ต้องเอาตัวออกห่างจากสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง ฯลฯ กับฝั่งที่บอกว่า, ผู้ชายควรควบคุมตนเองได้ ผู้หญิงเขาจะแต่งยังไง ไปที่ไหน ทำอะไรมันเป็นสิทธิ์ของเขา ไม่ใช่นุ่งกระโปรงสั้นแล้วแปลว่ายั่วยวนทุกคนให้เข้ามาถึงเนื้อถึงตัว
ฝ่ายทะเลาะก็ทะเลาะกันไป ฝ่ายหาสาเหตุก็มองหากันไป แน่นอนว่าหนึ่งในสาเหตุยอดฮิตที่มักตกเป็นเป้าประณามหยำหยี่ทุกครั้งก็คือออออ——ถูกต้องค่าาาาา!! ไม่เกมก็หนังละครนี่แหละ ที่สร้างทั้งความรุนแรง ตัวอย่างที่ไม่ดี ส่งเสริมความรับรู้ผิดๆ
แต่ในกรณีนี้เอาจริงๆ ฉันว่าก็มีส่วนนะ ไม่ได้หมายถึงใครดูละครปุ๊บแล้วจะวิ่งไปจับนมคนข้างบ้านหรอก แต่มันก็สร้างความเข้าใจหรือรับรู้บางอย่างขึ้นมาเหมือนกัน
เช่นกรณีนางเอกโดนพระเอกข่มขืนแล้วรักกันเฉยเลยนี่ก็มีคนพูดเยอะอยู่แล้ว หรือ “ผู้หญิงด่าแปลว่าผู้หญิงรัก” หรือ “แกล้งเราตลอดเลย คิดอะไรกับเราป่าวเนี่ย” หรือเพลงสารพัดตั้งแต่ชวนน้องแต่งงานแบบขอกันซื่อๆ ฟังแล้วชวนหวาดกลัวเพราะขู่ผู้หญิงไปถึงชีวิตหลังความตาย หรือเพลงแอบเหน็บว่าผู้หญิงเล่นตัว “อย่ามาทำเป็นเล่นตัว น่ากลัวจะเสียใจ เจอคนดี๊ดีอย่างเราไม่เอาไว้”
นี่ต้องมั่นใจในตัวเองขนาดไหนถ้าจะใช้เพลงนี้จีบสาว แถมตบท้ายอีกว่า
“ตกลงใจ รักฉันมาเถอะนะอย่าเล่นตัว ไม่ต้องกลัว ขอสัญญาว่าฉันไม่เล่นแรง”
กลายเป็นถ้าไม่รักมึง กูดูเป็นคนผิดไปอีก แล้วไม่เล่นแรงคืออะไรรรรรร ไม่ได้หมายความถึงการดีดมะกอกใช่มั้ย!!
แต่เอาเข้าจริงบทอัศจรรย์ในละครหรือภาพยนตร์นั้นเป็นเรื่องห่างไกลความจริงอย่างชนิดที่ว่า ใครรักจะดูหนังโรแมนติกมาทั้งชีวิต พอมีโอกาสเข้าห้องหอคืนแต่งงานจะต้องผิดหวังหรือตกกะใจงุนงงกันขึ้นมาบ้าง
เพราะชีวิตจริงๆ ไม่มีการจัดแสงจัดไฟ เทียนวอมแวมแบบในหนังนั้นพอจุดเข้าจริงเดี๋ยวก็ไหม้บ้านตายห่า แล้วกว่าจะจุดครบมลังเมลืองทั่วห้องก็แสนจะกินเวลาพอๆ กับหล่อเทียนพรรษา ผ้าปูที่นอนก็ไม่ได้เป็นผ้าฝ้ายอียิปต์ทอขนาดเก้าร้อยเส้นด้ายสีขาวเนื้อเนียน
แถมพอจบเกมรักแล้ว แทนที่จะนอนก่ายคลอเคลียกันอย่างในหนังก็กลายเป็นแยกย้ายล้างเนื้อล้างตัว แทบจะถกผ้าปูที่นอนลดราคาลายการ์ตูนไปซักกันแทบไม่ทัน
ถือว่าเป็นเรื่องที่ฉันโดนถามบ่อยเหมือนกัน ว่าเวลานักแสดงเข้าฉากเลิฟซีนนั้นมันเป็นอย่างไร แอบกิ๊กกั๊กสปาร์คติดไฟกันขึ้นมาบ้างหรือไม่ แล้วร่างกายนั้นตอบสนองหรือต่อต้านการทำการแสดง
ฉันก็คงตอบได้ในกรณีฉันเท่านั้นน่ะนะ พูดแทนคนอื่นแบบเต็มร้อยคงไม่ได้ แต่คิดว่าคงไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ เพราะบรรยากาศกองถ่ายไหนๆ ในโลก (รวมถึงกองถ่ายหนังโป๊) ก็คงไม่ต่างกัน ยกเว้นคุณจะถ่ายคลิปลับบทอัศจรรย์ยิมนาสติกลีลาจัดของคุณและคู่ด้วยโทรศัพท์มือถือ อันนั้นก็ตามสบาย
คำตอบคือ–เวลาต้องทำงานกับฉากพวกนี้สุดแสนจะไม่โรแมนติก ไม่เทิร์นออน ไม่อ่อนไม่แข็งใดๆ ทั้งสิ้น เพราะ
1. ร้อน : แน่นอนว่าเวลาคุณอยากแสดงความรัก คงน้อยมากที่ใครจะอยากซัดกับแฟนหลังจากเหงื่อแตกท่วมตัว หัวเหนียวชื้น หน้าเต็มไปด้วยรองพื้นและผมเป็นสเปรย์แข็ง หรือถ้าคุณบอกว่าเวลาคู่รักคุณเหงื่อออกนี่สุดจะเซ็กซี่ฟีโรโมนพุ่งฉันก็ไม่เถียง แต่นั่นมันคู่รักของคุณไงคะ ลองมาเป็นใครก็ไม่รู้ที่เพิ่งซ่กๆทำงานและพักกินข้าวเที่ยงเป็นน้ำพริกกะปิ ชะอมทอดมาด้วยกัน มันก็คงไม่สนุกนักหรอก จะเอามือวางตรงไหนก็เหนียวหนับอับชื้น จะพร่ำคำรักตามบทก็กรุ่นไปด้วยกลิ่นกะปิและชะอม ต่อให้บ้วนปากแปรงฟันอมลูกอมแล้ว กลิ่นอันฉมนั้นก็จะระเหยขึ้นมาจากเหงื่อ เพราะสถานที่ถ่ายจะอัดแน่นไปด้วยไฟเจิดจ้า ที่ซุกซ่อนทำตัวสลัวอยู่ตามมุมต่างๆ เหมือนเป็นแสงจันทร์แสงเทียน แต่จริงๆ คือร้อนฉิบหาย แอร์ก็เปิดไม่ได้เพราะเดี๋ยวเสียงเข้าไวร์เลสที่ก็ต้องเอาไปแอบซุกติดไว้ตามผ้าห่มบ้าง หัวเตียงบ้าง เนื่องจากจะติดกับเสื้อผ้านักแสดงอย่างเคยก็ไม่ได้เสียแล้ว ทำเอาคนเล่นต้องระวังไม่ให้อัศจรรย์พันลึกกันจนหัวไปโขกไมค์ สร้างซาวด์เอฟเฟกต์ประหลาดขึ้นมาอีก
2. คนเยอะ : ถึงแม้จะพยายามจำกัดคนก็เถอะ แต่มันก็เยอะอยู่ดี สถิติทีมงานสูงสุดที่ฉันทำไว้ระหว่างแสดงบทเลิฟซีนคือมีคน 20 คนอยู่รอบตัว ตากล้องก็สองคนแล้ว ไหนจะผู้ช่วยกล้อง ไหนจะช่างไฟที่ยืนคัตแสงช่วยสร้างเงาสลัว แล้วยังมีพนักงานดึงมุ้งให้เรียบตึงไม่หย่อนยานตกท้องช้าง เพื่อที่กล้องจะได้ถ่ายทะลุม่านโปร่งๆ ได้สบาย ไหนจะผู้กำกับ ไหนจะช่างเสียง แล้วอีคนที่จะต้องจูบปากกันนี่ก็เพิ่งรู้จักตอนเปิดกล้อง เรื่องนิสัยใจคอไม่ต้องพูดถึง แค่ชื่อมันกูยังจะจำไม่ค่อยได้เลย แถมแฟนเค้านั่งกดดันรออยู่นอกฉากเสียอีก
ค่ะ โรแมนติกมาก
ครั้นเราจะลูบจะคลำจะนัวจกตูดกันตามแต่ใจปรารถนาและอารมณ์พาไปก็ไม่ได้ เพราะภาพต้องมีความต่อเนื่อง ถ้าถ่ายครั้งแรกใช้เลนส์กว้างแล้วฉันยกมือสี่สิบห้าองศาขึ้นมาเสยผมคู่นอนอย่างแผ่วเบา พอเปลี่ยนขนาดภาพ ฉันจะเปลี่ยนแนวมานอนทับมือตัวเองก็ไม่ได้เสียแล้ว ก็ต้องยกสี่สิบห้าองศานั้นอยู่ร่ำไป แค่นั่งจำว่าตัวเองทำอะไรไปบ้างนี่ก็กดดันแล้ว แถมต้องทำให้ดูเคลิบเคลิ้มวาบหวิวกระซิบรัก ผู้กำกับก็จะคอยสั่งมาว่าโน้มตัวลงไปอีก หรือกอดอีก หรือจูบอีก อย่าลืมตาสิ หลับไว้
ฉันยังนับว่าโชคดีที่ไม่เจอสภาวะบีบคั้น ประเภทถ่ายฉากเลิฟซีนติดกัน 10 วัน หรือผู้กำกับสั่งให้ทำอะไรนอกเหนือจากที่ตกลงกันไว้อย่างที่นักแสดงต่างชาติหลายคนโดนจนเป็นข่าว ไอ้งานนี่ก็รู้แหละว่าต้องทำ แต่ความกดดันว่าต้องรักแสนรักคนนี้ จนได้มาร่วมสวาทกัน หรือแค้นแสนแค้นนังคนนี้ ต้องย่ำยีมันให้สาแก่ใจก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่เป็นบวกต่ออารมณ์เท่าไหร่ ไหนจะความเครียดของการเปิดเผยเนื้อตัว ซึ่งต่อให้สวยเนียนซิกส์แพคยังไง ก็ไม่ใช่เรื่องจะสบายใจกันได้ง่ายๆ ไหนจะความอึดอัดเวลาทำการแสดงเสร็จแล้วต้องถ่ายฉากอื่นกันต่อทั้งที่เพิ่งปลดเสื้อในกันมาหมาดๆ นั่นอีก
3. เครียด : มันเครียดหลายอย่างอยู่นะคุณ บางทีก็เกิดจากคนทำงานด้วยกันนี่แหละ เช่นแซวกันเรื่องรูปร่างบ้าง ลีลาบ้าง มุมหนึ่งฉันก็เข้าใจนะ ว่ามันลดความเก้อเขินเปิ่นกระดากระหว่างกัน แต่ในอีกทางมันกลายเป็นความกดดันไปเลย เช่น ทุกครั้งที่ต้องมีฉากอุ้มนางเอก/นางร้ายโยนลงเตียงก่อนจะเข้าโรมรันพันตูประชิดตัวกัน จะต้องมีคนแซวว่าตัวใหญ่ ใครก็อุ้มไม่ขึ้น/ให้ผู้หญิงอุ้มง่ายกว่ามั้ย/ โอ้โห คล่องเชียวนะ ทำบ่อยล่ะสิ
เนี่ย ไอ้การแซวอะไรแบบนี้มีทุกครั้ง ทุกที่ เกิดได้กับทุกคน ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าจะพูดทำไม จะให้กูหดตัวหรือแขม่วไหล่ ตัดขาทิ้งก็ไม่ได้อยู่แล้ว หรือฝ่ายชายถ้าเงอะงะเหยาะแหยะเพราะเครียดหรือเกรงใจนักแสดงหญิง ก็กลายเป็นโดนล้อว่า ‘อ่อน’ ไปอีก หรือพอทำท่ามั่นใจไม่เขิน คิดเสียว่าทำงานก็โดนแซวอีกว่าคงทำบ่อย เป็นมืออาชีพ
ไอ้คนที่โดนมาบ่อยๆ อย่างฉัน (นี่เป็นเรื่องตลกอีกอย่างหนึ่งของฉัน คือแม้จะไม่มีชื่อเสียงด้านความเซ็กซี่ขยี้ใจใดๆ แต่ทำไมต้องโดนเลิฟซีนทุกเรื่องก็ไม่รู้เหมือนกัน) ก็ต่อปากต่อคำได้แหละ แต่กับคนที่เพิ่งทำงานใหม่ๆ โดนอย่างนี้ก็เงอะงะไม่สบายใจ กลายเป็นฉากเลิฟซีนที่ควรจะเล่นให้น้อยเทคที่สุดเพื่อจะได้ไม่จาบจ้วงร่างกายกัน กลายเป็นมหกรรมเทคสนั่นเพราะเกร็งไปหมด ยิ่งเล่นยิ่งเครียด ยิ่งเครียดก็ยิ่งทำไม่ได้ จากที่ฉันควรจะโดนจับนมแค่ทีเดียวก็กลายเป็นโดนจับเสียนึกว่าตัวเองมีลูกอ่อน ที่ถ้าไม่ได้คว้านมฉันแล้วจะนอนไม่หลับยังไงยังงั้น
ก็ด้วยเหตุผลต่างๆ ดังนี้ ฉันเลย ‘ทรีต’ ฉากเลิฟซีนที่ต้องเล่นเป็นฉากธรรมดาทั่วไปฉากหนึ่ง เหมือนฉากกินข้าวหรือขับรถ ฉันยอมให้คนในกองแซวว่าก๋ากั่นเหลือเกิน เป็นฝ่ายรุกเหลือเกิน เพื่อที่การทำงานมันจะได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น และไม่ติดค้างในใจใครนานจนเอามาอำเล่นเห็นขำกันบ่อยๆ
ดังนั้นฉันจะเบื่อมาก เวลามีคนเอาเรื่องอะไรแบบนี้มาอำ เช่นเพื่อนแฟน หรือคนไม่รู้จักมักจี่ที่เอามาพูดเหมือนฉันทำไปโดยส่วนตัวไม่รู้ว่ามีกล้องอยู่ เหมือนฉันหื่นกระหาย ยั่วสวาท หรือมาบอกว่าอิจฉาฉันจริงๆที่ ‘ได้’ กับคนนั้นคนนี้
คือมันไม่ใช่เรื่องว่าต้องได้หรือต้องเสียอะไรหรอก ก็จริงอยู่ที่ในหนังในละคร ฉากเหล่านี้จะมาพร้อมจุดประสงค์แฝงบางอย่างของตัวละคร ที่คนเขียนบทเขาเขียนออกมา เพื่อแสดงความรัก เพื่อระบายความแค้น เพื่อให้ตายใจ หรืออะไรก็ตาม
แต่มันไม่ใช่ความปรารถนาของฉันเอง ที่จะเดินจู่ลู่ไปบอกคนเขียน ว่าหนูชอบพระเอกคนนี้มากค่ะ เขียนให้ได้กันหน่อยนะคะ แล้วจะกำนัลพี่ด้วยกระเช้าผลไม้เมืองหนาว
เพราะเอาเข้าจริง การสปาร์ครักในกองถ่ายมักเกิดขึ้นจากฉากธรรมดาๆ ที่ต้องมองหน้ามากกว่าการแก้ผ้าใส่กันเสียอีก
ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ต่างจากชีวิตจริงของเราๆ ท่านๆ นักหรอก