อยู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้ ว่าทำไมฉันถึงยังไม่ได้กล่าวถึงอีกหนึ่งหน้าที่สำคัญในกองถ่าย นั่นคือคือฝ่ายควบคุมความต่อเนื่อง หรือเรียกง่ายๆ ไปว่าคอนตินิว หรือคนทำคอน
หน้าที่นี้เหมือนคนมีกรรมสำหรับฉัน คือจะเป็นที่ไม่ค่อยต้อนรับเท่าไหร่จากแทบทุกแผนกในกอง ยิ่งทำงานดี ยิ่งมีคนเบื่อ, ว่างั้นเถอะ
การถ่ายทำนี่ส่วนใหญ่ กองถ่ายจะจัดคิวเป็นที่ๆไปตามโลเคชั่น ตามคิว หรือตามแต่บทจะออกมา น้อยมากที่จะเอาอย่างเทอเรนซ์ มาลิคหรือสายเมธอดต่างๆ ที่ถ่ายเรียงเรื่องไปทีละฉากๆ คือถ้าไม่เนี้ยบตัวพ่อแล้วก็มีแต่ละครที่ถ่ายไปออนแอร์ไปเท่านั้นแหละที่จะยอมทำแบบนั้น เพราะอะไรน่ะหรือ?
ก็เพราะมันสิ้นเปลืองมากๆ ไงคุณ ละครหรือหนังสักเรื่อง ยังไงก็จะมีโลเคชั่นหลักๆ ที่ยังไงก็ต้องมีอยู่แล้ว เช่น บ้านพระเอก ห้องนอนนางเอก ออฟฟิศรวมตัวละคร หรืออะไรแบบนี้ ซึ่งถ้าบทเสร็จเรียบร้อยมาตั้งแต่ต้นจนจบ ธุรกิจก็สามารถจัดคิวแบบรวบตึง ปิดโลเคชั่นไปคราวละที่ได้เลย ไม่ต้องกลับมาขอถ่ายทำทีละฉากสองฉาก ซึ่งยากทั้งคิวบ้านคิวดารา เสียเงินค่าเช่าโลเคชั่นไปโดยใช่เหตุอีกต่างหาก เช่นบ้านพระเอกมีทั้งหมด 100 ฉาก จากละครทั้งหมด 15 ตอน ก็สามารถทำเบรคดาวน์มายาวๆ จองคิวบ้านไปเลยสามวันสามคืน ถ่ายกันไปให้จบ จะได้ไม่ต้องกลับมาอีก
ตรงนี้แหละที่คนทำคอนจะเข้ามามีบทบาท
เพราะเมื่อเราถ่ายทำแบบเอาโลเคชั่นเป็นหลัก การทำงานก็จะโดดข้ามจากตอนหนึ่งไปตอนเจ็ด วกกลับมาตอนสามแล้วไปตอนห้า ล้ำหน้าไปตอนสิบเอ็ด จากนางเอกอายุ 15 ใส่คอซอง ก็จะข้ามเป็นนางเอกตอนติดยาโคตรหน้าโทรม แล้วกระโดดไปเป็นนางเอกหัวโล้นบวชชี แล้วกลับมาอีกทีตอนเป็นสาวเปรี้ยว
ก็คนทำคอนนี่แหละจะคอยประสานงานกับดาราและเสื้อผ้าหน้าผม รวมไปถึงของประกอบฉากด้วยว่ามันต้องเหมือนเดิม ไม่โดดออกมาให้คนดูเล่นเกมจับผิดภาพนะ ไม่ใช่ตอนเดินเข้าบ้านมารองเท้าสีนึง พอถึงบ้านเปลี่ยนเป็นอีกสี ต้องจัดวัน (ตามเวลาในละคร) ให้ตรงกัน ไม่ใช่ว่าบ้านนั้นใส่ชุดนอนแล้ว อีบ้านนี้ยังชุดเลื่อมระยับ กลายเป็นนอนกันคนละไทม์โซนไปเสียฉิบ
แต่ที่เป็นทุกขเวทนาระคนหมั่นไส้ก็คือ เรื่องบางเรื่องมันยากมากที่จะต่อเนื่องให้ได้น่ะคุณ เช่น การทำผมหงอก ผมฉันดำๆ ก็ไปทำให้หงอก ซึ่งช่างเขาก็มีอุปกรณ์สารพัดน่ะนะ อะ ทำหงอกเสร็จ เดินออกมาให้คอนตินิวดู อืมมมมมมม
“พี่คะ ตรงขมับมันน้อยไปอะ”
ช่างผมก็เข้ามาเติมแบบแผ่วเบา
“แล้วก็ตรงนี้ด้วยค่ะ”
ช่างผมก็เติมให้อีก
“พี่ๆ อันนี้มันเป็นปื้นๆ ค่ะ เกลี่ยหน่อยได้มั้ย”
ช่างผมก็มาเกลี่ยให้ แต่หน้าเริ่มหงิก เพราะข้าวก็ยังไม่ได้กิน ดาราก็รอทำอีกหลายชีวิต ผมนี่กูก็เทียบเองกับรูปคราวที่แล้วว่าเหมือนกันนี่หว่า คนทำคนเดียวกัน มันต้องเหมือนเสะ!
“เอ๊ยพี่ พอเกลี่ยแล้วมันหายไปเลยอะ เติมใหม่ได้มั้ยคะ”
มาถึงตรงนี้ช่างผมกับดาราก็จะเริ่มหมดความอดทนพร้อมๆ กัน อีดาราก็จะท่องบททำอารมณ์ ยังมีคนมานุงนังกับหัวเดี๋ยวหวีเดี๋ยวสเปรย์ ช่างผมก็งานอีกกระบุงยังไม่เสร็จ หน้ากองเขาก็เร่งมา แล้วเดี๋ยวต้องกลับมาผมดำอีกแล้วเฮ้ย ทำเยอะไปกว่าจะคืนมาดำได้ก็อีกนาน งานมันก็เร่งนะ
แถมซ่อมไปซ่อมมา ก็ขอกลับไปหงอกแบบเดิมเท่าครั้งแรกสุด เพราะที่ตอนนั้นเห็นมันขาวเยอะเพราะโทรศัพท์คอนตินิวที่ใช้ถ่ายรูปดูความต่อเนื่องปรับหน้าจอสว่างไป ว้อยยยยยยยยยย
แต่อันที่เป็นวิบากที่สุดของทุกฝ่ายก็จะเป็นครั้งไหนไปไม่ได้ นอกจากตอนถ่ายนเรศวร (หนังเรื่องนี้รายละเอียดมันยุ่บยั่บแถมอยู่กันนาน จะเลี่ยงไม่มีก็เป็นไปไม่ได้จริงๆ คุณเอ๊ย)
คือเนื้อเรื่องเนี่ย มันดำเนินเวลาต่อเนื่องกันอยู่ภายในระยะ 3 เดือน 6 เดือน แต่ความจริงคือถ่ายกันเป็นปี จะเสื้อผ้าหน้าผมก็มีอันเก่ากรอบไปตามกาลเวลา และถ้าจะยังยากไม่พอ, ก็คือท่านมุ้ยใช้วิธีถ่ายทำย้อนขึ้นจากตอนท้ายไปตอนต้น คอนตินิวกองนี้จึงมีหลายรุ่นมาก เห็นว่าบางคนออกไปถึงกับออกจากวงการแบบถาวรไปเลยก็ยังมี เพราะต้านความเครียดไม่ไหว
แต่คนที่น่าประทับใจในที่นี้ ขอใช้ชื่อเธอว่า ‘ตี๋’
ตี๋เป็นสาวมาดแมนไซส์กะทัดรัด มีหน้าที่รับคำสั่งท่านและเดินมาเช็กคอนฯ ดาราหลักๆ โดยตรง ถ้าตี๋มันไม่ยอมให้ ท่านก็ไม่ถ่าย ว่าอย่างนั้นเถอะ เป็นผู้มีบารมีที่แท้จริง
วิบากกรรมของตี๋ก็คือ ท่านถ่ายย้อนหลังไปหน้า ในซีนสนามรบ คือฉันเนี่ย รบเสร็จแล้ว เดินมานั่งพูดคุยต่อ วิญญูชนที่ไหนก็ต้องรู้ล่ะนะ ว่าการรบมันก็ต้องกระเซอะกระเซิง หน้ามัน เลือดท่วม เหงื่อเพียบ ช่างหน้าช่างผมก็มายีหัวยำหน้า ฝ่ายพร็อพประกอบฉากก็มาทาเลือดให้เกรอะกรังตามแขนขาและอาวุธ ลูกธนูก็เอาออกจากซองบ้างโว้ย เหลือนิดๆ ก็พอ
อือ ก็ดูจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ่ายอันนี้เสร็จ ก็ไปสนามรบกัน พอเลิกกองยามเย็นนี่ตี๋แทบลมจับ
“พี่ทราย วันนั้นที่ถ่ายไปมันไม่มีเลือดตรงหน้านี่!”
เอ้า กูจะรู้มั้ยล่ะ ก็ตอนทำงานมันกระเด็นมาจากไหนไม่รู้นี่หว่า
“ผ้าคาดเอวก็เบี้ยว”
โอย ก็วิ่งขึ้นวิ่งลงม้า มันก็ต้องเบี้ยวเซ่
“แล้วลูกธนูหายไปไหนหมด!”
เอ๊า กูก็ยิ่งศัตรูไงตี๋ มีธนูก็ต้องยิงอะ ไม่งั้นจะให้ทำไงวะ ดีดมะกอกงี้เหรอ
“แต่ที่ถ่ายไปวันนั้นมันไม่เยินเท่านี้อ้ะะะะ” ตี๋คร่ำครวญงอแง พอไปบอกท่าน ท่านก็ว่า เออ ระหว่างทางจากสนามรบกลับค่าย เลอขิ่นมันแวะล้างหน้า โหลดลูกธนูใหม่ยังไงล่ะ ตี๋ก็ขัดใจเพราะจิตวิญญาณคอนตินิวมันคุกรุ่น ไม่ได้เซ่ มันไม่คอน!!
วันรุ่งขึ้น ณ ฉากสนามรบ ตี๋ก็เดินยิ้มกริ่มมาพร้อมช่างแต่งหน้า
“พี่เติมเลือดเลย ตรงนี้เลยๆ”
ฉันก็เฮ้ยยยยยย ตี๋ มันไม่ได้เว้ย มันไม่เคยมีนะ
“มี!” ตี๋ยืนยัน “เดี๋ยวให้ช่างเติมทีละนิดๆ ให้เหมือนมันค่อยๆไหลมาไง ตอนนี้กล้องรับหน้าอีกฝั่งนึง เพราะพี่ทรายสะบัดหน้า ก็คอนฯพอดี พี่ทรายต้องสะบัดด้วยนะ ให้เหมือนว่าพอสะบัดแรง เลือดเลยกระเด็นมาโดน”
เอ้อ เอากับมันสิ กำกับการแสดงกูไปอีก
แล้วถ่ายไปๆ ผ้านุ่งผ้าโพกเริ่มซีด ตี๋ก็จัดแจงสั่งให้ระบายสีผ้าเพิ่ม จะเปลี่ยนผ้าใหม่ก็ไม่ได้ มันว่าใหม่ไป ชุดหนังที่ใส่ พอเปลี่ยนตัวใหม่มันก็ว่ารอยยับไม่เหมือนเดิม ฉันก็เลยต้องทนทู่ซี้ใส่เกราะหนังพันปีนั่นซ้ำอยู่ตัวเดียว ซักก็ไม่ได้ เปลี่ยนก็ไม่ได้ ใส่ย้ำไปสิบปีจนแทบจะกลืนกลายเป็นผิวหนังฉันเข้าไปจริงๆ
ถ่ายฉากเลิฟซีนมันก็มานั่งจำ ว่ามือที่นัวเนียกันแปะไปถึงตรงไหน ยังไงก็ต้องแปะตรงนั้น ท่านถ่ายคัตกว้างฉันหยิบธนูดอกไหนมายิง มันก็จะมาจ้ำจี้จ้ำไช ว่าเวลารับภาพใกล้ ฉันต้องหยิบธนูให้ได้ดอกเดิม
โว้ย มันยากไปมั้ย! ตาหลังฉันก็ไม่มี จะไปตรัสรู้ได้ไงว่าลูกไหน หยิบๆ แตะๆ ไว้ก่อนก็ไม่ยอม บอกไม่คอนตินิว
แต่เป๊ะจัดขนาดนี้ ก็มีวันที่ตี๋พลาด
ช่วงนั้นทำงานกันหนักมาก เรียกว่าเช้ายันเช้า จนทุกคนก็เริ่มเบลอ แล้วฉันก็ต้องถ่ายฉากตกม้า กว่าจะจัดไฟขึ้นเครนตั้งกล้องเสร็จก็ค่อนคืนเข้าไปแล้ว ฉันก็สะลึมสะลือคว้าชุดมาใส่ แล้วขึ้นมาขี่ม้าตกม้าทั้งง่วงๆ แบบนั้นแหละ ก็จบไป จนวันรุ่งคืน ตี๋เดินยิ้มหวานมาหา
“พี่ทรายยยยยย เป็นไงมั่งงงงงงง”
เดี๋ยวนะ นี่ผีอะไรกินอีตี๋เข้าไปแล้วคายออกมาวะ ทำไมมันหวานผิดปกติ
“ก็โอเคอะ จะเอาไรเนี่ย”
“ไม่ๆๆๆ ไม่มีไรเล้ย ตี๋คิดถึง”
เริ่มไม่ดีละ ตี๋คิดถึงกูเนี่ย
“จะเอาไรบอกมาเลยดีกว่า”
“คือเมื่อคืนอะ ฉากตกม้าอะ”
“อือ ใช่ ทำไมเหรอ”
“พี่ทรายไม่ได้ใส่ปลอกแขน”
“อีตี๋…แล้วมึงมาบอกตอนนี้ทำไม”
“เมื่อคืนง่วง ดูไม่ทัน พอฟิล์มล้างมาละเค้าเพิ่งเห็นอะ”
“มึงไปบอกท่านมุ้ยดิ มาบอกไรกูล่ะ”
“ตี๋ไปบอกท่านแล้ว ว่าปลอกแขนโดด…ท่านบอกว่าถ้าอยากให้ถ่ายซ่อมใหม่ ให้ตี๋มาขอพี่ทรายเอง”
ว่าแล้วไง หวานๆ มาแบบนี้ล่ะไม่มีเรื่องดีหรอก
ตี๋งอนง้ออยู่นาน ซึ่งฉันก็เล่นตัวไปอย่างงั้นแหละ รู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ไม่พ้นต้องรีชูตให้ใหม่ แต่นานๆ เห็นตี๋ยอมง้อแทนจะสั่งเอาสั่งเอาเหมือนทุกวันก็สนุกดีเหมือนกัน สรุป, ฉันก็ต้องตกม้าให้มันอีกรอบ และตกลงไปปุ๊บ สิ้นเสียงคัต ตี๋ก็วิ่งมาหา ฉันรีบชูแขนให้ดู ว่ากูใส่ปลอกแขนแล้วเว่ย!!
“พี่ทรายยยย ดีมากเลยอ่า”
…แต่ตี๋ขออีกทีนะ….
“โอ้ยยยยยยย อิตี๋ กูตกจนยอกแล้ว จะเอาอะไรอีกกกกกกก”
“ตุ้มหูพี่ทรายหลุดอ่า มันเห็น”
“ตี๋ คนดูเค้าไม่เห็นหรอก กล้องก็อยู่อีกฝั่ง ตกม้าบ่อยๆ มันไม่สนุกนะโว้ย”
“น่า ตกอีกทีนะตกอีกที ตี๋เอายู้ฮูมาให้แปะแล้ว คราวนี้ตุ้มหูไม่หล่นแน่ๆ ติดกับหูไปเล้ย”
แล้วฉันจะทำอะไรได้ นอกจากเอากาวยู้ฮูติดหูเข้ากับตุ้มหูและตกม้าให้ตี๋มันอีกรอบ
ทุกวันนี้เวลาไปเจอกันอีกทีตามกองต่างๆ ฉันยังสวองใจกับความละเอียดของตี๋ไม่หาย
ถ้าต้องทำงานกันอีกคราวนี้ ขอแค่เสื้อตัวกางเกงตัวก็พอนะตี๋
พอกันทีปลอกแขนกับตุ้มหู!