เว้นไปหนึ่งสัปดาห์ก็มาเล่ากันต่อ กับหัวข้อว่าด้วยเรื่องแม่ นึกๆ ดูแม่ฉันนั้นก็ขึ้นชื่อว่าป่วงนั่นแหละ แต่เป็นอาการป่วงแบบคัสตอม ส่วนใหญ่จะจัดให้เพื่อลูก เรียกว่าเป็นแบบลิมิเต็ด เอดิชั่น พิเศษเฉพาะเธอ คนอื่นไม่สำคัญ ซึ่งฉันผู้ได้รับเกียรตินี้ก็จะออกอาการแบบพระเอกกำลังภายใน ประเภท-หัวร่อมิได้ ร่ำไห้ไม่ออก-อยู่เรื่อยๆ เพราะที่จัดให้ทราย แต่กองถ่ายเขาก็โดนไปด้วยไงแม่จ๋าาาา
หลังๆ ก่อนจะรามือกันไปนี่ แม่ฉันก็พัฒนาไปไกลลิบ ด้วยการอยู่ๆ ก็โทรมาหาฉันในวันหนึ่งที่ฉันทำงานอยู่ ณ กองถ่ายภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง
“พี่ทรายเหรอ? (แม่เรียกฉันว่าพี่ทรายเสมอ เพื่อให้น้องๆ เรียกตาม และสุดท้ายแม่ก็ติดเรียกไปด้วย) อยู่กองเป็นไงมั่ง?”
“ก็โอเคค่ะแม่ กองน่ารักมากเลย กับข้าวอร่อยด้วย”
“แล้วดูแลพี่ทรายดีมั้ย?”
“ดีมากเลย แฮปปี้ วางซีนดี มีเวลาพัก จริงๆ วันนี้ของพี่ทรายเสร็จแล้วล่ะ แต่พี่ทรายว่าจะขอซ้ำคัทสุดท้ายเมื่อกี้ พี่ทรายว่ามันน่าจะได้อีก”
“ไม่ต้องแล้ว” แม่พูดอย่างร่าเริงมากมาตามสาย “ไม่ต้องเล่นซ้ำแล้วนะ แม่โทรไปวีนกองเธอมาเมื่อกี้ สั่งให้รถตู้มาส่งเดี๋ยวนี้ ละพรุ่งนี้อย่าเลิกดึก สั่งกับข้าวให้แล้วด้วย บอกด้วยว่าพี่ทรายกินแต่น้ำใส่น้ำแข็ง พี่ทรายอยากกินอะไรเพิ่มอีกมั้ย แม่ก็นึกไม่ออกแล้วว่าจะเรียกร้องอะไรอีกดีให้มันเยอะๆ”
มะ…แม่
แม่ทำไปทำไมมมมมมมมมมม?!!?
ฉันเหวอแดกอะ คืออะไรวะ แม่โทรมาถามว่าดีมั้ย พอบอกว่าดีก็บอกว่าไปวีนเค้า! วีนทำไม? กองทำไรผิดวะ? หรือไม่จ่ายค่าตัว แต่ฉันก็เพิ่งเซ็นรับเงินไปให้แม่นี่หว่า แล้วนี่แม่ก็ไม่มา ส่งฉันมากองผ่านรถตู้กองถ่าย แล้วแม่เอาอะไรมาวีนเค้าาาาาาา พอตะกุกตะกักถามแม่ไป แม่ก็ตอบแบบร่าเริงหนักขึ้นจนแทบจะคิกคักว่า “ก็พี่ทรายทำงานง่ายเกินไปอะ ดูแลง่าย กินไรก็ได้ ดื่มไรก็ได้ ใครแต่งหน้าก็ได้” เอ้า เฮ้ย!! ก็ใครสอนมาล่ะแม่จ๋า ถ้าจะไม่ใช่แม่น่ะ ว่าอย่าเรื่องเยอะ แม่ไม่ชอบ
“แม่ไม่ชอบให้เยอะกับแม่อะ แต่กับกองเราต้องเยอะบ้างเนอะ จะได้ดูเป็นดารามืออาชีพ เดี๋ยวเค้าหาว่าลูกชั้นง่ายเกินไป”
โอ๊ยยยยยยยยยยย ง่ายเกินไปนี่มันคืออะไรกัน! ง่ายคือง่ายไง ทำงานง่ายๆ อะ แล้วแม่มาทิ้งระเบิดไว้แบบนี้ ลูกจะทำหน้ากับกองถ่ายเขายังไง ตอนมาเจอกันคิวหน้า
“พี่ทรายไม่ต้องห่วงนะ ถึงแม่ไม่ได้ไปกับพี่ทรายแล้ว แม่ก็ดูแลพี่ทรายได้ แต่พี่ทรายห้ามพลาดอะไรเลยนะ ห้ามบ่นเหนื่อย ห้ามง่วงให้ทีมเห็น เพราะแม่วีนไปเยอะเลย แต่รู้ว่าพี่ทรายทำได้อยู่แล้ว อะ เดี๋ยวกลับมาเจอกันที่บ้านละกัน”
แล้วแม่ก็วางหู แล้วฉันก็หันไปเจอผู้จัดการกองยืนยิ้มแห้งๆ อยู่ พร้อมบอกให้ฉันขึ้นรถกลับบ้านเถอะค่า เมื่อกี้คุณแม่โทรมาที่กองตอนฉันเข้าฉาก บอกว่าเป็นห่วงมาก ….น้องเขามารยาทดีมากอะ ใช้คำว่า “แม่เป็นห่วงมาก” แต่ฉันว่าฉันรู้ล่ะ ว่าในใจเขาคง…
คราวนี้ก็มาว่ากันถึงเรื่องที่ทำให้พ่อถึงขั้นออกโรงมาวางกติกาทำงานให้ฉันเสียใหม่ โดยให้ฉันไปทำงานได้โดยต้องมีรถตู้กองมารับ ไม่ต้องมีแม่ แต่ไปคนเดียว ไม่มีเพื่อน ไม่มีผู้ติดตาม ไม่มีอะไรใดๆ ทั้งนั้น เช้ามารับ เลิกงานพาส่งหน้าบ้าน มันมาจากเรื่องนางนากนั่นล่ะ
จากที่บอกไปคราวที่แล้ว ว่าสถานที่ถ่ายทำหลักของนางนากนั้นวิบากเหลือหลาย ไม่มีน้ำไม่มีไฟ (ซึ่งที่มีก็ต้องอาศัยเครื่องปั่นไฟกองถ่าย) ไม่มีที่ให้นั่งเล่นนอนเล่นสบายๆ เพราะก็มีแค่บ้านของสองผัวเมีย น้องนากพี่มาก ที่ทีมงานก็อยู่กันในนั้นแน่นเอี้ยดไปหมด แม่ก็ต้องระเห็จตัวมานอนข้างล่างตรงพื้นสวน อยู่ใกล้มากก็ขยับตัวลำบาก เพราะหนังเก็บเสียงแบบนี้ กระดิกตัวที ได้ยินทะลุเข้าไปถึงหูฟังของซาวด์แมน แถมบรรยากาศก็แสนสงัดขนาดนั้น แอบไอค่อยๆ ออกมาสักแค่กนึง ยังดังก้องไปทั่วสวน เลยต้องออกมาลับแลหลืบมุมไกลออกมาอีกหน่อย
แล้วไม่ได้อยู่กันแค่วันสองวัน แต่พวกเราปักหลักที่นั่นเป็นวันๆ เป็นอาทิตย์ๆ ซ้ำไปซ้ำมา ฉันซึ่งตอนแรกก็ตัวดำสมบทบาทสาวชาวนาจากการอาบแดด ก็เริ่มซีดลงเรื่อยๆ เพราะไม่โดนแดด เนื่องจากเป็นผี มีแต่ฉากกลางคืน ช่างแต่งหน้าเลยต้องลงรองพื้นที่ตัวทุกส่วนที่โผล่พ้นร่มผ้าเพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง ซึ่งชุดฉันก็ดันเป็นผ้านุ่งผืนห่มผืน โชว์ผิวเหลือแสน ฉันจะโดนลงรองพื้นนี้ตั้งแต่สี่โมงเย็น กว่าจะเสร็จ กว่าจะกินข้าวก็มืดพอดี แล้วก็ทำงานๆๆๆๆ ยาวไปจนถึงตี 4 ตี 5 ฟ้าเริ่มสาง ผีก็ต้องกลับห้องไปนอน ซึ่งแม่ก็ต้องมาช่วยฉันล้างรองพื้นในบริเวณที่ฉันเช็ดเองไม่ถึง นั่งๆ ให้แม่เช็ดหลังอยู่เคลิ้มจะหลับก็จะโดนซักเพี้ยะนึง ว่าห้ามหลับ! นี่ธุระของเธอทั้งนั้น! วันไหนเลิกกองแล้วต้องกลับกรุงเทพฯ ไม่ได้อยู่ค้าง แม่ก็ต้องขับรถกลับเอง และห้ามฉันหลับ ห้ามฉันคุย ห้ามฉันฮัมเพลงใดๆ แต่ให้ตื่นอยู่เคียงข้างกัน เพราะแม่เกลียดการขับรถเวลามืดๆ หรือแสงสลัวเป็นที่สุด ถึงขั้นไม่เคยอยู่นอกบ้านหลังห้าโมงเย็น (ถ้าไม่จำเป็นต้องรับส่งฉัน ซึ่งก็จะโดนบ่นทุกที)
ถ้าผู้ก่อการร้ายยังทรมานเชลยที่จับมาได้ให้คายความลับด้วยการไม่ให้หลับไม่ให้นอน ให้หลงวันหลงเวลา แม่ฉันซึ่งกินยาผิดเวลา หลับๆ ตื่นๆ แถมโดนจับไปอยู่สถานที่ทุรกันดารขนาดนั้นก็ย่อมจะทนไม่ไหวเช่นกัน คนทำงานมันมีอะไรทำไงคุณ แต่คนรอนี่… ก็เหมือนในเพลงอกหักทั้งหลาย ว่ามันท้อแสนทรมาน
แล้วก็มาถึงคืนหนึ่ง ก็เริ่มมาเหมือนปกตินั่นล่ะ คือฉันสะโหลสะเหลตื่นขึ้นมาตอนสี่โมงเย็น ทาผิว แต่งตัว กินข้าว แล้วเดินข้ามสะพานพาดท้องร่องสวนมาถึงหน้ากอง แม่ก็ไปประจำที่ของแม่ อันประกอบด้วยมุ้งหนึ่งหลังใหญ่ๆ พัดลมซึ่งเสียบไฟจากที่ช่างไฟไลน์สายมาให้เป็นพิเศษ เพราะถ้าไม่มีมุ้งกับพัดลมนี่คงโดนยุงหอบไปทิ้งน้ำได้ง่ายๆ เพราะชุมเหลือใจ มีน้ำมีขนม มีหมอน มีเสื่อพร้อม แล้วฉันก็แยกไปทำงานหน้ากอง
ตอนเที่ยงคืนมีเบรคกินข้าวต้ม ก็ถามไถ่ได้ความว่า สวัสดิการยกไปให้แม่แล้ว แม่รับรู้แล้ว แต่หลับๆ ตื่นๆ ล่ะมั้ง เพราะยังไม่เห็นลุกมากินหรือชวนคุยเหมือนเดิม ฉันก็เออๆ ออๆ ไป คิดว่าก็ปกติเหมือนทุกวัน งานก็เดินหน้าไปเรื่อยๆ จนฉันจะเดินไปเข้าห้องน้ำ เลยแวะดูแม่ซักหน่อย แวะเลียบๆ ไปใกล้มุ้ง เห็นปลายบุหรี่แดงวาบก็งงๆ ว่าทำไมแม่ไม่หลับหว่า ปกติหลับทุกที ยังไม่ทันคิดอะไรต่อ แม่ก็ถามมาจากในมุ้ง
“กี่โมงแล้วพี่ทราย”
“เอ่อ ประมาณตีสามอะจ้ะ เมื่อกี้เห็นผู้ช่วยบอก”
“แล้วเสร็จยัง”
“ยังค่ะ เหลืออีกสองสามคัต”
“มานี่ซิ”
ฉันซึ่งเป็นเด็กว่าง่ายมาทั้งชีวิต ก็เดินไปหาแม่ ซึ่งตอนนี้ตลบมุ้งมายืนท้าวสะเอวดูดบุหรี่อยู่นอกมุ้ง
“กลับ!”
พูดไม่พูดเปล่า แม่มุดไปเอาหมอน ผ้าห่ม และสารพัดเครื่องอัฐบริขารออกมา แล้วยัดบางส่วนมาใส่อ้อมแขนงงๆ ของฉั เอ๊ยยยยยยย กลับไปไหนนนนนนนน ฉันถามแม่ว่าจะไปไหนกัน งานยังไม่เสร็จเลยแม่
“กลับบ้านสิ!! จะถ่ายอะไรกันนักกันหนา ชั้นเหนื่อย! ชั้นทนไม่ไหวแล้ว!”
เสียงแม่ดังมากกกกกก แล้วดึกปานนั้นรอบตัวก็โคตรเงียบ เสียงย้ายกล้องย้ายไฟที่ยังดังอยู่เมื่อกี้เงียบกริบไปพร้อมๆ กัน
“เอ่อ คุณแม่…พี่ทรายว่า…”
“ไม่ว่าแล้ว กลับ!!”
แล้วแม่ก็จ้ำพรวดๆ พร้อมข้าวของและบุหรี่ที่ยังไม่หมด มวน ไอ้ฉันก็ละล้าละลัง นั่นก็แม่ นี่ก็กองถ่าย แล้วไอ้ที่มีแววจะบี้แบนอยู่ตรงกลางก็เห็นจะเป็นตัวกูนี่เอง ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก เอาไงดีวะ เอาไงดีวะ …ก็ต้องเลือกแม่อะนะ…
ระหว่างนั้นทั้งพี่อุ๋ย-ผู้กำกับ-และทีมงานทุกชั้นทุกแผนกคงได้ยินเสียงแม่ และเข้าใจเรื่องกันขึ้นมานิดๆ เลยมีเสียงผู้ช่วยสั่งทีมไฟขึ้นมา ว่าแพนไฟไปที่สะพานหน่อยคร้าบ เพราะเวลาทำงานกันนั้น รอบบริเวณจะมืดสนิทจนมองอะไรแทบไม่เห็น แถมแม่ฉันก็เดินจะถึงสะพานไม้ไผ่นั่นแล้ว ฉันเลยก้าวตามแม่ทันอย่างไม่ยาก เพราะของน้อยกว่า แล้วฉันก็ยังอยู่ในชุดนางนาก คือห่มแถบนุ่งโจงและเท้าเปล่า ก็เดินๆ ไปเนียนๆ ประหนึ่งไม่มีอะไรเล้ยยยยยยย (เสียงสูง) ไม่มีงานที่ค้างคา ไม่มีกองถ่ายทั้งกองมองมาที่เรา พร้อมไฟเดย์ไลต์ฟอลโลว์ตามประหนึ่งศิลปินดัง ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริงจริ๊งงงง (ฮัมเป็นทำนองไปแบบคนเสียสติ) เดินๆ ไปแม่ก็เสียงเขียว สั่งฉันให้หยุด
“เก่งนักเหรอเดินนำน่ะ ลื่นตกสะพานแขนขาหักไปมันพ้นชั้นมั้ยฮะ! ไม่ต้องเลย!”
เอ่อ คุณแม่ สะพานมันลื่น แม่ถือของเยอะ ก็…
“ชั้นเป็นเด็กอ่างทองนะยะ! เด็กบ้านนอกอย่างชั้นน่ะ สะพานแบบนี้หลับตาวิ่งยังได้เลย”
จ้ะแม่ จ้ะแม่-ลูกครึ่งอ่างทองนครศรีธรรมราชอย่างฉันก็ต้องเบี่ยงทางให้ประกาศิตของแม่ แม่คาบบุหรี่ มือถือหมอน กระเป๋า และข้าวของจุกจิกซ้อนๆ กัน เดินแซงฉันขึ้นมาอยู่ข้างหน้า ก้าวฉับๆ ลงท้องร่องไปตรงสะพาน ตู้ม…เอ้อ ลงไปในน้ำเลยว่ะ
ภาพตอนนั้นน่าจดจำมาก คือมีฉันซึ่งยังยงโย่ยงหยกในชุดโบราณอยู่บนริมตลิ่ง ไฟฟอลโลว์แพนตามเราไปมาแบบเลือกไม่ถูก ว่าจะไล่ไปแนวไหนดี สะพาน ดารา หรือแม่ดาราที่โผล่จากน้ำมาครึ่งตัว มือชูข้าวของขึ้นสูง และปากยังคาบบุหรี่ไว้ ฉันผวาไปถามแม่ว่าเป็นไงบ้าง เจ็บมั้ยแม่ เอาของมาๆ พี่ทรายช่วยถือ แม่ยื่นของที่ชูอยู่ให้ฉัน เอามือคีบบุหรี่ออกจากปาก แล้วหันไปมองทางไฟ
“ไม่เคยเห็นคนตกน้ำเรอะ!!”
แค่นั้นล่ะ ไฟแพนหนีไปอีกทิศอย่างรวดเร็ว เสียงตะโกนกันว่าเฮ้ย เคลียร์ของเว้ยๆ ไปเร็ว เก็บๆๆๆๆ ดังระงมขึ้นมาแทนที่ วงแตกมากจ้าาาา ก็นั่นล่ะ และบวกกับน้ำตาจากพี่อุ๋ยที่ร้องไห้ให้แม่เห็นในวันเลี้ยงปิดกล้อง (“อุ๋ยเค้าขอบคุณแม่มากๆ เลยนะ” แม่พูดอย่างปลื้ม…อือ ปลื้มก็ดีแล้วแม่) เรื่องนี้เลยไปถึงพ่อในสองเวอร์ชั่นคือเวอร์ชั่นแม่เล่ากับฉันเล่า ซึ่งคุณรุจน์คงคิดสะระตะแล้วเป็นอันดี ว่าถ้ายังปล่อยเมียตัวเองออกไปกองถ่ายแบบนี้เห็นทีจะไม่ดีกับธุรกิจบันเทิง และที่แน่ๆ จะไม่ดีกับอนาคตการแสดงของลูกด้วยปฏิญญาว่าด้วยรถตู้รับส่งก็เลยออกมาตอนนั้น ในช่วงใกล้เคียงกับที่ฉันได้ใบขับขี่พอดี
เอวังเรื่องของมารดากับกองถ่ายของฉันก็มีแต่เพียงเท่านี้ล่ะจ้ะ
เฮ่อ โล่งอก